หนังสือเล่มนี้ควรอ่านหรือไม่ครับ
#1
โพสต์เมื่อ 13 August 2006 - 08:32 PM
#2
โพสต์เมื่อ 13 August 2006 - 09:05 PM
๑. มา อนุสฺสาเวน อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
๒. มา ปรมฺปราย อย่าเชื่อโดยเหตุสักว่าตามสืบๆ กันมา
๓. มา อิติ กิราย อย่าเชื่อโดยตื่นข่าว
๔. มา ปิฎกสัมฺปทาเนน อย่าเชื่อโดยอ้างปิฎก
๕. มา ตกฺกเหตุ อย่าเชื่อโดยนึกเดาเอาเอง
๖. มา นยเหตุ อย่าเชื่อโดยคาดคะเน
๗. มา อาการปริวิตกฺเกน อย่าเชื่อโดยการตรึกตรองตามอาการ
๘. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนกฺขนฺติยา อย่าเชื่อโดยเห็นว่าถูกตามลัทธิของตน
๙. มา ภพฺพรูปตาย อย่าเชื่อโดยเห็นว่า ผู้พูดควรเชื่อได้
๑๐. มา สมโฌ โน ครุ อย่าเชื่อโดยถือว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา
แต่จงเชื่อ ก็ต่อเมื่อ เราได้ลงมือปฏิบัติ จนรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเราเองแล้วครับ
#3
โพสต์เมื่อ 13 August 2006 - 09:37 PM
#4
โพสต์เมื่อ 13 August 2006 - 10:27 PM
#5
โพสต์เมื่อ 13 August 2006 - 11:01 PM
#6
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 03:13 AM
๑. มา อนุสฺสาเวน อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
๒. มา ปรมฺปราย อย่าเชื่อโดยเหตุสักว่าตามสืบๆ กันมา
๓. มา อิติ กิราย อย่าเชื่อโดยตื่นข่าว
๔. มา ปิฎกสัมฺปทาเนน อย่าเชื่อโดยอ้างปิฎก
๕. มา ตกฺกเหตุ อย่าเชื่อโดยนึกเดาเอาเอง
๖. มา นยเหตุ อย่าเชื่อโดยคาดคะเน
๗. มา อาการปริวิตกฺเกน อย่าเชื่อโดยการตรึกตรองตามอาการ
๘. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนกฺขนฺติยา อย่าเชื่อโดยเห็นว่าถูกตามลัทธิของตน
๙. มา ภพฺพรูปตาย อย่าเชื่อโดยเห็นว่า ผู้พูดควรเชื่อได้
๑๐. มา สมโฌ โน ครุ อย่าเชื่อโดยถือว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา
ขอเสริมต่อจากพี่หัดฝันต่อสักนิดว่า เพียงแค่หลักของกาลามสูตรเท่านั้นยังไม่พอนะครับ ต้องเพิ่มโยนิโสมนสิการ คือ การพิจารณาใคร่ครวญอย่างแยบคายด้วยปัญญาอันชอบอีกด้วยว่า เนื้อความที่มีปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนั้น เมื่ออ่านแล้ว ยังกิเลสานุสัยในดวงจิตของเราให้บางเบา ยังภูมิธรรมภายในของเราให้เจริญขึ้นหรือไม่? หากการอ่านหนังสือเล่มนั้น เป็นการยังกิเลสของเราให้บางเบา ยังภูมิธรรมภายในของเราให้เจริญขึ้น ก็จงอ่านต่อไปเถิด แต่ถ้าหาเป็นเช่นนั้นไม่แล้ว ก็ขอให้ท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลายจงวางลงเสียเถิด เพราะ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#7
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 03:53 AM
#8
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 08:55 AM
#9
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 10:32 AM
ถ้าพระยังแพ้แล้วมนุษย์ที่ไหนจะรบชนะ-------มนุษย์มีกิเลสด้วยนะครับ
แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้ว
ก็ปราบมารนี้แหละครับ---ทำไปทำมา--ดันมีบารมีมากกว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำ---เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก
จิตคนเขียนร้อนจะตายไป
นั่งฝันใครก็เก่งทั้งนั้นแหละ
#10
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 12:01 PM
ให้ปฎิบัติจนเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
แล้วคุณจะทราบคำตอบเองครับ
#11
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 02:02 PM
ขนาดรุ่นหลวงปู่ ยังมีรุ่นที่พากันเรียกว่า บารมีสิบทัศน์
คือ มีพระ สิบรูปที่หลวงปู่ไล่ออกจาก โรงงาน พวกที่เลอะๆ
เพราะฉะนั้น เชื่อครูอาจารย์ดีที่สุด
#12
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 02:20 PM
ขอเสริมว่า ถ้าจะให้ถูกต้องตามหลักของกาลามสูตร ท่านควรพิสูจน์ก่อนลงมือเชื่อ มิใช่เชื่อก่อนลงมือพิสูจน์ ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่า นั่นคือ ครูบาอาจารย์ผู้มีวาทะควรแก่การเชื่อถือนะครับ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนให้พุทธสาวกของพระองค์เชื่อในปัญญาจากการตรัสรู้ชอบที่เกิดมีในตนเอง เพราะเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของ slogan ประจำตัวของผมที่ว่า "รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาญาณอันเกิดมีในตน" ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#13
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 03:51 PM
อ่านแล้วรู้สึกตัวเองฟุ้ง ไม่เป็นผลดีต่อการนั่งสมาธิเลย
ต่อมา ผู้หลักผู้ใหญ่ห้ามอ่าน ให้โยนทิ้งไปเสีย ก็เลยเอาไปซุกไว้ในลิ้นชัก (ที่ไม่กล้าทิ้งขยะ เพราะหน้าปกหนังสือมีรูปพระธรรมกาย) ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน
ที่ทิ้ง เพราะเชื่อท่านผู้ใหญ่ท่านนั้น เชื่อในภูมิธรรมของท่าน
และเชื่อว่าท่านรักเรา ปรารถนาดีต่อเรา
จากนั้น ก็หันมาอ่านธรรมะในใจ ไม่มีหนังสือเล่มไหน ดีและน่าอ่านเท่าเล่มที่เราเขียนเอง
สลัดความฟุ้งฝันทั้งหมด จิตนิ่งดีแล้ว ใจจึงสงบ ได้พบความจริงตามขั้นตอนภูมิธรรมของเราเอง
#14
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 06:07 PM
#15
โพสต์เมื่อ 14 August 2006 - 06:09 PM
สรุปว่าหนังสือปราบมารนั้น ไม่ควรอ่านอย่างยิ่งครับ นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังเกิดโทษแก่ตัวเราอีก
#16
โพสต์เมื่อ 15 August 2006 - 10:39 AM
#17
โพสต์เมื่อ 15 August 2006 - 11:06 AM
จากหนังสือปราบมารภาค 5 ของนายการุณย์ บุญมานุช ในหัวข้อ ผลงานปราบมารในยุคของต้นปราบตรีภพ หยกชมพู มีอะไรบ้าง ?
ชีวิตของข้าพเจ้าเหมือนมีกรรมตลอดชีวิต ที่ต้องกำกับตัวเองให้อยู่ในข้อบังคับตลอดชีวิต ไปเที่ยวก็ไม่ได้ ไปงานสังคมก็ไม่ได้ ไปทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไปทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ด้วย เพราะใจจะฟุ้งไปอีก ทำวิชาไม่ได้อีก เพราะเอาใจไปคิดเรื่องกำไรขาดทุน จะส่งผลให้ทำวิชาไม่ได้ เป็นอันตรายต่อการทำวิชาทั้งนั้น
ตลอดชีวิตราชการของข้าพเจ้า เราหวังอะไรจากทางราชการไม่ได้เลย เงินเดือนก็ดี ตำแหน่งหน้าที่ราชการก็ดี ความดีความชอบก็ดี ต้องปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของธรรมชาติ ได้ก็เอา ไม่ได้ก็แล้วไป หากไปหวังอะไรเข้า จะเกิดการกระทบทางจิตใจทันที ส่งผลให้ทำวิชาไม่ได้ งานปราบมารชะงักลงทันที ต้องตั้งต้นกันใหม่ ต้องมาฝึกวิชาเบื้องต้นกันใหม่ กว่าที่วิชาจะเลื่อนระดับสูงได้ ต้องใช้เวลายาวนาน
ทั้งยังต้องเตรียมสภาพใจ รอรับการตอบโต้ของมารด้วยเรื่องราวต่างๆ ในสารพัดรูปแบบ เพราะมารเขาก็ต้องหาเรื่องกระทบจิตใจให้แก่เรา เพื่อให้เราแพ้เขาให้จงได้ อะไรที่เราจะทุกข์ร้อนได้ มารเขาจะทำสิ่งนั้นแก่เรา อะไรที่จะทำให้เราตายได้ มารเขาจะเลือกทางนั้น เขาจะทำเช่นนั้นแก่เรา ชีวิตของข้าพเจ้าได้รับความชอกช้ำมาแล้วสารพัดรูปแบบ อดทนทำวิชาปราบมารมาได้ถึงวันนี้ นับว่ามีความอดทนมาอย่างโชกเลือดทีเดียว ที่ต้องขอบคุณอย่างมากคือลูกเมีย ที่เขาไม่ได้ไล่ข้าพเจ้าออกไปจากบ้าน วันหนึ่งเอาแต่นั่งหลับตา ไม่ไปทำมาหากินอะไรให้เกิดความร่ำรวยขึ้นมาเหมือนชาวบ้านอื่นเขา คนอื่นเขามีแต่คิดก้าวหน้า เขาคิดแต่จะให้มีเงินมีทอง แต่ข้าพเจ้าเอาแต่นั่งหลับตาสถานเดียว ต้องขอบคุณลูกเมียที่เขาไม่รังเกียจเรา มีกินมีใช้แค่นี้ ก็อยู่กันไปได้
งานทำวิชาปราบมารไม่ใช่มีความรู้วิชาธรรมกายชั้นสูงแล้วจะทำได้ ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ถ้าบวชเป็นพระแล้ว ก็ยิ่งทำไม่ได้เลยทีเดียว เพราะอะไรหรือ ? เพราะวินัยสงฆ์จะเป็นเครื่องมือสำคัญของมาร ที่มารเขาจะสอดละเอียดมาให้เราผิดวินัยด้วยวิธีง่ายๆ แล้วงานปราบมารก็จะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า มารเขาชนะมาแล้ว แล้วเขาก็จะชนะต่อไป การเป็นฆราวาสดีอยู่อย่างหนึ่ง ที่มารจะเอาศีลหรือวินัยมาอ้างกับเรา เอาอะไรมาอ้างกับเราไม่ได้ทั้งนั้น เมื่อเขาเอาวิธีนี้ไม่ได้ เขาก็ต้องดูอย่างอื่น ว่าอะไรบ้างที่เขาจะเอามาถล่มเราได้ อะไรที่เขาจะเอามาเล่นงานเราได้ มารมันเอาทั้งนั้น เราจะตั้งรับไม่ทันทีเดียว หมดปัญหานี้ขึ้นปัญหาใหม่ จบเรื่องนี้ขึ้นเรื่องใหม่ จะให้เราถอดใจไม่สู้ไปเอง อะไรก็ได้ที่จะให้เราวินาศ มารมันจะใช้วิธีนั้น หน้าที่ของเราคือระวังไว้ ระวังได้ไหม ? ถ้าระวังได้ก็รอดตัว หากพลาดไปก็เป็นเหยื่อของมารไป อดทนได้ไหม ? ถ้าอดทนได้ ก็อดทนกันไป
ส่วนนี่คือ คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "สุขที่สัตว์ปรารถนาจะพึงได้" ๑๙ กันยายน ๒๔๙๗
นี่เจอพุทธศาสนานี่เป็นเป้าหมายใจดำ อย่าไปทำเรื่องอื่น อย่าไปหลงเลอะเทอะ เอ้า...ต่างว่ามีครอบครัวแล้วได้อะไรบ้าง ได้ลูกคนหนึ่ง แล้วเอามาทำไมล่ะ เอามาเลี้ยง ลูก ๑๐ คน เอ้า เอาไปไว้เลี้ยงยังไงก็เลี้ยงไป บ่นโอ๊กแล้วได้ลูก ๑๐ คน เอ้า...ได้ ๕๐ คน เอ้า เปะปะไปซี อยากได้ลูกใช่ไหมล่ะ ไม่จริง เหลว โกงตัวเอง โกงตัวเอง พาให้เลอะเลือน
ไม่เข้าไปค้นกายของตัวให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตรวจตัวถึงที่สุด เป็นมนุษย์ กับเขาทั้งที เพราะเชื่อกิเลสเหลวไหล เหล่านี้แหละจึงได้เลอะเลือน
จะครองเรือนไปสักกี่ ๑๐๐ ปีก็ครองไปเถิด มันงานเรื่องของคนอื่นเขา ทั้งนั้น เรื่องของพญามารทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของตัว ไม่ใช่งานของตัว ไป ทำงานให้พญามารเขาทั้งวันทั้งคืน เอาเรื่องอะไรไม่ได้
พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำท่านบอกว่า การครองเรือนเป็นเรื่องของพญามาร แต่นายการุณย์ดันบอกว่า เป็นฆราวาสครองเรือนดีกว่า อ่านแล้วใช้ปัญญาของแต่ละท่าน พิจารณาดูเองเถิด ผมเองคงจะขอพูดถึงเรื่องนี้และขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย
Someday I'm gonna be free.
#18
โพสต์เมื่อ 15 August 2006 - 01:16 PM
#19
โพสต์เมื่อ 15 August 2006 - 07:13 PM
แค่นี้ก็ไม่น่าเชื่อถือแล้วครับ พระพุทธเจ้าไม่กลัวมารเลยสักนิดเดียวเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่หวาดหวั่น
#20
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 02:33 PM
#21
โพสต์เมื่อ 16 August 2006 - 03:16 PM
#22
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 10:29 AM
#23
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 10:05 PM
และศึกษาเพิ่มเติมตามแหล่งที่ผู้เกี่ยวข้องของทางนั้นลงไว้ ภายใต้นาม สมถะ ในweb พันทิพย์
ผมอ่านทั้งหมดครับ จริงเท็จยากที่จะแยกแยะได้
จุดน่ากลัวคืออ้างถึงหลวงปู่ และเคารพหลวงปู่จริงๆ
ดังนั้น คนใหม่ๆ หรือคนในที่ไม่เคยรู้อะไรมากๆ ไขว้เขวได้แน่ครับ
เหตุน่ากลัวก็คนใน ผู้ปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ทั้งหมด แตกแนวการสอน
ซึ่งคนนอกยากที่จะแยกจริงเท็จได้เพราะยังปฏิบัติไม่ถึง
เพราะการเข้าถึงรู้ได้เฉพาะตนครับ
ข้อแนะนำให้ตั้งสติให้หมั่นนะครับ เกาะหมู่คณะไว้ หมั่นเข้าวัด
และขอให้เพื่อนๆ ชาว DMC ช่วยดึงกันไว้นะครับ
#24
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 08:57 PM
ทางที่ดีควรนั่งสมาธิให้มาก ๆ ๆ แล้วไปรู้ไปเห็นเองดีกว่าค่ะ
และที่สำคัญให้ฟังคำสอนจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะดีกว่า
#25
โพสต์เมื่อ 26 June 2007 - 01:56 PM
#26
โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 12:02 PM
#27
โพสต์เมื่อ 17 September 2008 - 11:45 AM
หนังสือพวกนี้ผมเคยอ่านบ้างแล้วน่าจะเป็นการถอดแบบหรือต่อเติมมาจากหนังวิชชามรรคผลเล่ม1และ2บวกกับความรู้ประสบการณ์ของการนั่งสมาธิของผู้แต่ง ซึ่งไม่มีการรับรองว่าถูกต้องทั้งหมด และก็มีถูกบ้างผิดบ้าง สิ่งที่ถูกต้องก็คือถ้าเป็นหนังสือธรรมะจะต้องไม่มีผิดเลยแม้แต่น้อยยิ่งเป็นธรรมขั้นสูงต้องระวัง ถ้าจะอ่านต้องใช้สติมากๆ และอย่าเกิดความอยากได้อยากเห็นอยากเป็นธรรมกาย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกิดได้เองบนการหยุดนิ่งอย่างถูกส่วนและวางเฉยไม่ใช่ความอยาก
#28
โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 04:09 PM