ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

***ทำไมพระพุทธองค์ต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจ***


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 15 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 สาคร

สาคร
  • Members
  • 764 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 June 2009 - 09:13 AM

ในเมื่อพระพุทธองค์ไม่ต้องกลับมาเกิดแล้ว ทำไมยังต้องละลึกถึงความตายอีก

พระพุทธองค์ ถามพระอานนท์ ว่า วันหนึ่งวันหนึ่ง คิดถึง ความตายบ้างไหม

พระอานนท์ ตอบว่า ท่านได้คิดถึง ความตาย วันละ 7 ครั้ง พระพุทธองค์ ตรัสว่า ยังน้อยไป

เพราะพระองค์ คิดถึงความตาย ตลอดทุกลมหายใจ คำถามครับ

ทำไม พระองค์ยังต้องนึกถึงความตายอีก

พระอานนท์ นึกถึงความตาย วันละตั้ง 7 ครั้ง ทำไมยังน้อยไป

พวกเราชาวพุทธ ไม่เคยนึกถึงความตายเลย เพราะนึกถึงแล้วทำให้กลัวตาย แล้วจะนึกไปทำไม

ช่วยอธิบายให้หน่อยครับ
ความรักความเมตตาและการให้อภัยเป็นสิ่งที่คนดีเขามีกัน


[email protected]

#2 สาธุธรรม

สาธุธรรม
  • Members
  • 1124 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 June 2009 - 09:59 AM

ขอแสดงความเห็นเฉพาะตัว ที่เข้าใจตามกำลังสติปัญญาที่มีเพียงเท่านี้ค่ะ


ก่อนอื่นขอขอบพระคุณสาคร ที่ทำให้ webboard กลับมาคักคึก ด้วยคำถามชวนตอบและชวนคิด และ ชวนให้ผู้ที่ยังไม่เคยคิดได้มาศึกษาและคิดตามค่ะ ขอกราบอนุโมทนาบุญค่ะ สาธู๊


ขอแสดงความเห็น ณ บัดนี้ ค่ะ

1. พระอานนท์ ยังคิดถึงความตายน้อยไป

เพราะพระอานนท์ เป็นพระโสดาบัน ยังไม่พ้นเงื้อมมือพญามารและกฏแห่งกรรม
ดั่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยสอนว่า "มารไม่ใช่หมู แต่มารคือ มาร"
ดั่งที่พระเดชพระคุณหลวงปู่เคยสอนว่า " ดีที่สุดคือพระ ชั่วที่สุดคือมาร"


2. พระพุทธเจ้า ยังต้องระลึกถึงความตายตลอดเวลา
เพราะ
1) ขันธ์ 5 ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง แม้เป็นกายมหาบุรุษ พญามารก็ยังจับถอดกายได้
ในเมื่อพระองค์ยังไม่สิ้นกิจที่จะขนหมู่สัตว์ที่พอจะมีกำลังบุญ ทะยานให้พ้นภัยในวัฏสังสารได้ พระองค์จึงยังต้องยังตนไม่ให้ประมาท เพราะ "เรายังไม่ชนะเขา"
พระมหาเสถียร ได้เทศน์ไว้ในรายการ dmc guide ว่ามีชาติหนึ่งที่พระองค์เล่นมวยปล้ำ ทำให้พระชาติสุดท้ายที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ต้องปวดหลัง เมื่อเทศน์โปรดสักระยะ ต้องไปเปลี่ยนอิริยาบท
2) แม้ว่าพระองค์จะยังไม่อยากปรินิพพาน แต่มารก็ทำให้พระองค์ต้องปรินิพพานได้ นี่ล่ะความร้ายของมาร
ในเมื่อเรายังไม่ชนะเขา และ เขามีกำลังมาก
มากขนาดที่ว่าทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว สะดุ้ง ได้
จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน
เขาจะจับเราถอดกายวันใดก็ได้


*****************************************************


โดยสรุป ที่พระองค์ยังต้องระลึกถึงความตายเพราะ

1. ด้วยเหตุที่ยังไม่บรรลุกิจ ที่จะโปรดสรรพสัตว์ให้ได้มากที่สุด แม้พระองค์พ้นแลว แต่สรรพสัตว์ยังไม่พ้น กว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาบังเกิดสักหนึ่งพระองคืไม่ใช่เรื่องง่าย นี่เองพระมหากรุณาธิคุณอันไม่มีประมาณ
2. ขันธ์ 5 ไม่เที่ยงแท้ แม้ว่าพระองค์จะมี กายธรรมอันเที่ยงแท้แล้ว แต่การที่จะโปรดสรรรพสัตว์โดยใช้กายธรรมไม่มีกายหยาบนั้นย่อมทำไม่ได้ หรือ ทำได้ยาก
เพราะ ขันธ์ 5 ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งเที่ยงแท้ เขา(มาร)จะมาถอดเอาคืนไปเมื่อไรก็ได้ บุญและบาปช่วงชิงกันตลอดเวลา



แม้แต่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ที่น่าจะปลอดภัยที่สุด เขายังเข้าแทรกได้
เมื่อนั้น จึงไม่มีสิ่งใดเลยที่จะกล่าวได้อีกนอกจากคำว่า


"จงยังตนไว้ในความไม่ประมาท" ดังที่ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ ทุกประการเช่นนี้แล สาธู๊

******************************************************

ปล. ที่ตอบมานี้ เป็นความเข้าใจส่วนตัวนะคะ...
ผิดพลาดประการใด หรือ ทำให้ใครเคืองขุ่นใจก็ขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ
หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ

สุนทรพ่อ

#3 usr29468

usr29468
  • Members
  • 99 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 June 2009 - 12:21 PM

คุณรู้ได้อย่างไร ว่า ชาวพุทธไม่เคยนึกถึงความตายเลย? wacko.gif

"พวกเราชาวพุทธ" พวกไหน?

ผมก็นับถือพุทธเป็นชาวพุทธ เคยนึกถึงความตายอยู่ในใจเสมอ และกลัวตายฟรีเพราะ ตอนนี้ยังไม่เข้าถึงธรรมกาย

คุณรู้ วาระจิตผู้อื่น แล้วหรือ? ว่าชาวพุทธไม่เคยนึกถึงความตาย confused_smile.gif

#4 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 June 2009 - 04:21 PM

QUOTE
ทำไมพระพุทธองค์ต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจ
- ขันธ์5 อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์
- ไม่ว่าจะเป็นระดับ จอมจักรพรรดิ เทวะราชันย์ ท้าวมหาพรหม อรูปพรหม ผู้เป็นใหญ่ในภพใดก็ตาม ก็เช่นกัน
- แม้แต่ร่างกายของพระพุทธองค์อันอุดมไปด้วยลักษณะมหาบุรุษอันเลิศนั้น ก็ยังจักต้องดับขันธ์(ถอดกาย)

QUOTE
ในเมื่อพระพุทธองค์ไม่ต้องกลับมาเกิดแล้ว ทำไมยังต้องละลึกถึงความตายอีก
- พระองค์มาบังเกิดในยุคที่มนุษย์มีอายุขัย 100ปี
- เวลาที่ทรงพระชนม์ชีพอยู่จึงมีค่าต่อการเผยแผ่พระสัจธรรมอันจะนำสรรพสัตว์ให้พ้นจากวัฏฏะสงสาร ดังจะเห็นพุทธกิจในแต่ละวันของพระองค์นั้น ทรงบำเพ็ญเพียรมากเมื่อเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นในยุคที่อายุขัยมนุษย์เป็นหมื่นๆปี
- แม้พระองค์จะปลงสังขารก็ตาม ยังทรงทำหน้าที่เป็นบรมครู จาริกเผยแผ่เส้นทางอริยมรรคไปยังแคว้นต่างๆ แม้ในช่วงสุดท้ายยังทรงประทานปัจฉิมโอวาทอันทรงคุณค่ามาถึงทุกวันนี้

QUOTE
พวกเราชาวพุทธ ไม่เคยนึกถึงความตายเลย เพราะนึกถึงแล้วทำให้กลัวตาย แล้วจะนึกไปทำไม
- บางท่านประมาทในธรรม คิดว่ายังเยาว์วัยอยู่อีกนาน...ยังไม่ถึงเวลา จึงไม่ใช้เวลามาศึกษาว่าความตายนั้นไม่มีนิมิตหมาย
- บางท่านไม่อยากคิดถึงความสูญเสีย เพราะความกลัว จึงเพิกเฉย ไม่ยอมพิสูจน์ จนกว่าคนใกล้ตัวจะจากไป ก็จะเศร้าเป็นพักๆแล้วก็ลืม....เวลาตนป่วยไข้ก็มักจะนึกถึงด้วยความหวาดหวั่น พอฟื้นไข้แล้วก็ลืม
- บางท่านยังติดในอวิชชา ความเชื่อว่าตายแล้วสูญ หรือ เชื่อครึ่งๆกลางๆ ก็มี
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#5 hk_girlza

hk_girlza
  • Members
  • 580 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 June 2009 - 07:27 PM

สาธุค่ะ ตอบได้ กระจ่าง เข้าใจดีค่ะ

#6 ส.เสือ

ส.เสือ
  • Members
  • 7 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 June 2009 - 09:32 PM

ทำไม?คุณถึงไม่อยากรู้ว่า พระพุทธเจ้าที่อยู่ในตัวของเรา ท่านทำอะไร มีชีวิตอย่างไร ท่านนึกคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

น่าจะลองหาค้นคำตอบที่ชัวร์ ไม่มั่ว กับพระพุทธเจ้าที่อยู่ในตัวของเราดีกว่าไหม? ความไม่รู้จริงจะได้หมดไป

จะได้ไม่ต้องมา คอยสงสัย ถามผู้อื่นที่เขาก็ไม่รู้ คอยหาคำตอบ จาก ในหนังสือ ซึ่ง ก็ทราบกันดีอยู่ว่า

มีพระไตรปิฏกของแท้จริงๆเท่านั้น อยู่ในตัวมนุษย์ ด้วยวิธีการ นั่งสมาธิ รู้ได้ด้วยการ เห็นแจ้ง

ลองดูเถอะครับ สักวันก็น่าจะรู้แจ้ง แบบมหาปูชนียาจารย์ ของเราได้


http://www.dmc.tv/pr...meditation.html

#7 สาคร

สาคร
  • Members
  • 764 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2009 - 09:10 AM

ขออนุโมทนากับคำตอบ ของคุณ WISH มากเลยครับ ถ้าให้คะแนนก็เต็ม 100 เลยครับ

อย่างน้อยก็ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบได้ทราบ จะได้ปฎิบัติตัวถูกในทางพระพุทธศาสนา

ส่วนท่านที่กำลังใจหมองเพราะผม ผมก็ขอโทษด้วย ที่ไม่สามารถ อธิบายเจตนาของผมให้คุณเข้าใจได้ แต่ถ้าคุณเปิดใจให้กว้าง คุณก็จะเข้าใจ

เพราะผู้รู้ในบอร์ดนี้เขาเข้าใจ ในเจตนาของผม มานานแล้ว
ความรักความเมตตาและการให้อภัยเป็นสิ่งที่คนดีเขามีกัน


[email protected]

#8 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2009 - 01:08 PM

สาธุๆๆกับทุกท่านครับ, ตอบได้ดีมาก, โดยเฉพาะคุณ WISH., ยอดเยี่ยมครับ.

#9 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 10 June 2009 - 07:51 PM

ขอบคุณคุณสาครด้วยที่ให้สติ เพราะผมเองก็หมั่นนึกถึงความตายอยู่เป็นระยะๆ แต่บางครั้งบางคราก็ลืมเลือนไป คำถามของคุณสาครช่วยเตือนสติให้มานึกถึงความตายได้อีกครั้ง
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#10 tor

tor
  • Members
  • 356 โพสต์
  • Location:BKK
  • Interests:meditation

โพสต์เมื่อ 10 June 2009 - 08:41 PM

สำหรับผมแล้ว ผมเข้าใจว่าปกติคนเราพอหลับก็ขาดสติ การจะสามารถคิดถึงความตายได้ทุกลมหายใจก็เท่ากับการไม่ขาดสติเลย ไม่ว่านั่ง นอน ยืน เดิน แม้นอนหลับก็สามารถระลึกถึงความตายได้ เพราะขณะนอนหลับก็ยังมีการหายใจเข้าและออก

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเข้าใจคือ ความตายนั้นเที่ยงแท้แน่นอน การจะไประลึกถึงอย่างอื่นอาจสมมติ แต่ความตายล้วนแน่นอน การคิดถึงความตายจึงเหมาะสมเเละตัดข้อถกเถียงสงสัยไปได้เยอะ ทำให้ไม่เสียเวลาข้างทางครับ

ส่วนเรื่องหมองๆ ในกระทู้ก็ให้นึกถึงโลกธรรม 6 ลาภ ยศ สรรเสริญ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ล้วนปกติธรรมดา โลกเน้อ สาธุ

อัตตาหิ อัตตโนนาโถ = กายเป็นที่พึ่งแห่งกาย

#11 เสียงกระซิบจากสายลม

เสียงกระซิบจากสายลม
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2009 - 10:23 PM

เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เเล้วน้อมไปในวิปัสนา ปัญญาย่อมเกิด

อย่าพยายามถามให้เยอะ ปฎิบัติให้มากๆ แล้วท่านก็จะไม่ต้องเที่ยวถามใครต่อใคร เช่นนี้เรื่อยไป

คนตาบอดบอกทางคนที่ตาบอดจะเห็นจะรู้ได้อย่างไรเหล่า

ให้เราได้รู้ได้เห็นด้วยตัวของเรา


ดั่งมะนาว ท่านต้องชิมดูว่ามันรสชาติเป็นเช่นไร จะให้ใครชิม จะเชื่อใครเล่า


พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้เเล้วว่าอย่าเพิ่งเชื่อ

พิจารณาเอาแต่ในจิตนั่นแหละ มองดูที่เรานั่นแหละ

จะดีก็เรา ชั่วที่สุดก็เรา อย่าไปเพ่งโทษผู้อื่น ผู้ที่เป็นเพื่อนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกับเรา

ม่ายมีใครว่ายเเทนใครได้

อยู่ที่ใครจะมีความเพียร ออกแรงว่ายอย่างเเข็งขัน เพราะการที่เราเหนื่อยวันนี้

อาจจะเป็นสิ่งชื่นใจในวันข้างหน้าก็ได้ glare.gif

#12 จอมเทพreturn

จอมเทพreturn
  • Members
  • 33 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2009 - 10:49 PM

การนึกถึงความตายจะทำให้เราไม่ประมาทครับ จะทำให้เรามุ่งที่จะทำพระนิพพานให้แจ้งเพียงประการเดียว ไม่มัวหลงระเริงอยู๋กับสิ่งที่ล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ทำให้สามารถเข้าถึงความเป็น นิจจัง สุขขัง และ อัตตาได้ในที่สุด นั่นคือการเข้าถึง พระนิพพาน นั่นเอง เมื่อเราไม่ประมาท หมั่นนึกถึงความตายอยู่เป็นนิด ก็จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นนั่นเอง

"กุญแจวิเศษ"

#13 usr29468

usr29468
  • Members
  • 99 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 June 2009 - 06:47 PM

ขอถามคุณ wish และคุณ หัดฝัน หน่อยสิครับ เพราะอ่านๆเว็ปบอร์ดผ่านมามาก ดูคุณทั้ง สอง เชี่ยวชาญในธรรมมะมากๆ

1 ขันธุ์ 5 กับ ธรรมขันธ์ เป็นอย่างไร? พระพุทธเจ้า เป็นขันธ์แบบไหน?

2 ปฏิจจสมุปบาทธรรม คืออะไร?เป็นอย่างไร?

3 อินทรีย์ 22 คืออะไร?

4 ธาตุต่างๆเป็นอย่างไร? มาจากไหน? เช่น ธาตุดิน เป็นยังไง? มาจากไหน?

ผมก็รู้คำตอบมาบ้างจากการอ่านศึกษาธรรมมะ แต่ไม่ละเอียด ดูแล้ว อธิบายไม่เหมือนกันเลยครับ

ถ้าเป็นคุณทั้ง 2 ดูแล้วน่าจะตอบได้ชัดเจนดี

โมทนาในคำตอบด้วยครับ laugh.gif

สาธุ....................

#14 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 12 June 2009 - 01:01 PM

ผมเองก็ยังไม่ใช่ผู้รู้หรอกนะครับ คำถามไหนที่ไม่เกินภูมิความรู้ที่ได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์มา ก็จะนำมาตอบตามสมควร
1. ขันธ์ 5 ก็หมายถึง รูป หรือ ร่างกาย และเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (รับความรู้สึก จำไว้ คิดปรุงแต่ง รู้จากการคิด)ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานของใจ ดังนั้น ขันธุ์ 5 ความหมายคร่าวๆ ก็คือ กาย กับ ใจ ของสรรพสัตว์นั่นเอง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในภพสามล้วนไม่เที่ยง ดังนั้น ขันธ์ 5 ก็ย่อมไม่เที่ยงด้วยเช่นกัน
ส่วนธรรมขันธ์ คุณครูท่านอธิบายว่า เป็นธรรมล้วนๆ หรือ ความรู้แจ้งภายใน ดังนั้น ธรรมขันธ์ จึงเที่ยง เป็นสุขตลอดไป

คนธรรมดาที่ยังไม่บรรลุธรรม จะมีเพียงขันธ์ 5
ส่วนพระพุทธเจ้านั้น รูปกายของพระองค์ก็จัดอยู่ในขันธ์ 5 เพราะไม่เที่ยง เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา แต่จิตของพระองค์ที่บรรลุธรรมแล้ว เป็นธรรมขันธ์ครับ

2. ปฏิจจสมุปบาท ถ้าพูดกันภาษาชาวบ้าน ก็คือ วงจรแห่งการเวี่ยนว่ายตายเกิด หรือ วงจรที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดนั่นเองครับ เริ่มจาก อวิชชา (กิเลสสูงสุด) คือ ความไม่รู้จริง พอไม่รู้จริง ย่อมทำให้เกิดสังขาร คือ ความคิดปรุงแต่งไปต่างๆ นานาๆ เพราะคิดปรุงแต่ง วิญญาณ หรือ ความรู้ที่เกิดจากความคิดปรุงแต่งก็เกิดขึ้น(แต่ไม่ใช่ความรู้จากการบรรลุธรรมนะ) พอรู้ขึ้นมา นามรูปก็มีขึ้นมา นามรูป หมายถึง นามธรรม รูปธรรมต่างๆ พอมีนามรูปขึ้นมา สฬายตนะ หรือ อายตนะทั้ง 6 ได้แก่จุดรับความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ปรากฏ

พอสฬายตนะ หรือ จุดรับความรู้สึกมี ผัสสะ คือ การสัมผัสสิ่งเร้า(เห็นภาพ ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัส รับรส ฯลฯ) จึงเกิดขึ้น เมื่อได้สัมผัสสิ่งเร้า เวทนา หรือ ความรู้สึกก็เกิดขึ้น เช่น รู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ เป็นต้น พอเวทนา เกิดขึ้น ตัณหา ซึ่งเป็นความอยาก ก็เกิดขึ้นตาม พอมีตัณหา อุปทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่น ว่าขันธ์เป็นเรา เป็นของของเรา ขันธ์ 5 เที่ยงแท้(ซึ่งผิด) ก็เกิดขึ้น

ต่อมา เมื่อมีอุปาทาน ภพ คือ สถานที่รองรับการเกิด ก็ปรากฏ เมื่อภพปรากฏ ชาติ การเกิดก็มีขึ้น เมื่อชาติปรากฏ ชรา และมรณะ ก็ตามมา และเมื่อมรณะไปโดยไม่รู้จริง(อวิชชา) วงจรเดิมก็เกิดขึ้นใหม่ เป็นวงจรแห่งการเวี่ยนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ

ขออภัย ถึงเวลาทำงานแล้ว ข้ออื่นๆ ถ้ามีเวลาจะมาตอบต่อนะครับ หรือ คุณ Wish อาจจะมาตอบแทนครับ


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#15 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 June 2009 - 01:15 PM

ผมเองก็ยังไม่ใช่ผู้รู้เช่นกัน...ยังเป็น นักเรียนอนุบาลครับ

3. อินทรีย์ 22 คือ สิ่งที่เป็นใหญ่ในการทำกิจของตน หรือ สิ่งที่ทำให้ธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามตน ในกิจนั้นๆ ในขณะที่เป็นไปอยู่นั้น

ในอินทรียสังยุต(สํ.ม. 19/843-1089/256-318 มีการแบ่งไว้เป็น 5หมวด

หมวดที่ 1
1. จักขุนทรีย์ (อินทรีย์ คือ จักขุปสาท)
2. โสตินทรีย์ (อินทรีย์ คือ โสตปสาท)
3. ฆานินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ฆานปสาท)
4. ชิวหินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ชิวหาปสาท)
5. กายินทรีย์ (อินทรีย์ คือ กายปสาท)
6. มนินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ใจ ได้แก่ จิต ที่จำแนกเป็น 89 หรือ 121 ก็ตาม)

หมวดที่ 2
7. อิตถินทรีย์ (อินทรีย์ คือ อิตถีภาวะ)
8. ปุริสินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ปุริสภาวะ)
9. ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ชีวิต)

หมวดที่ 3
10. สุขินทรีย์ (อินทรีย์ คือ สุขเวทนา)
11. ทุกขินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ทุกขเวทนา)
12. โสมนัสสินทรีย์ (อินทรีย์ คือ โสมนัสสเวทนา)
13. โทมนัสสินทรีย์ (อินทรีย์ คือ โทมนัสสเวทนา)
14. อุเปกขินทรีย์ (อินทรีย์ คือ อุเบกขาเวทนา)

หมวดที่ 4
15. สัทธินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ศรัทธา)
16. วิริยินทรีย์ (อินทรีย์ คือ วิริยะ)
17. สตินทรีย์ (อินทรีย์ คือ สติ)
18. สมาธินทรีย์ (อินทรีย์ คือ สมาธิ ได้แก่ เอกัคคตา)
19. ปัญญินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ปัญญา)

หมวดที่ 5
20. อนัญญตัญญัตญัสสามีตินทรีย์ (อินทรีย์แห่งผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าเราจักรู้สัจจธรรม ที่ยังมิได้รู้ ได้แก่ โสตาปัตติมัคคญาณ)
21. อัญญินทรีย์ (อินทรีย์ คือ อัญญา หรือปัญญาอันรู้ทั่วถึง ได้แก่ ญาณ 6 ในท่ามกลาง คือ โสตาปัตติผลญาณ ถึงอรหัตตมัคคญาณ)
22. อัญญาตาวินทรีย์ (อินทรีย์แห่งท่านผู้รู้ทั่วถึงแล้ว กล่าวคือ ปัญญาของพระอรหันต์ ได้แก่ อรหัตตผลญาณ)
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#16 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 June 2009 - 01:42 PM

4 ธาตุต่างๆเป็นอย่างไร? มาจากไหน? เช่น ธาตุดิน เป็นยังไง? มาจากไหน?

ธาตุ หมายถึง สิ่งที่องค์ประกอบชั้นต้นสุดของสรรพชีวิตทั้งหลาย ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต โดยไม่สามารถจะแยกให้ลึกหรือลงรายละเอียดลงไปได้อีก และ ทำหน้าที่ทรงไว้หรือทำให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงดำรงอยู่ได้

ก็จะกล่าวเฉพาะธาตุ4...(ไม่กล่าวธาตุ6)
1. ธาตุดิน...ลักษณะแข็ง ทำให้สิ่งต่างๆแข็งหรืออ่อน เป็นที่ตั้งของธาตุทั้งหลาย เป็นองค์ประกอบของรูปร่าง
2. ธาตุน้ำ...สามารถทำให้สิ่งต่างๆเกาะกุมรวมตัวเข้าเป็นกลุ่มก้อน เอิบอาบและเคลื่อนไหลได้
3. ธาตุไฟ...ร้อนและเย็น ทำให้สิ่งต่างๆสุก ให้ความอบอุ่น เกิดการย่อย ละเอียดนุ่มนวลได้
4. ธาตุลม...เคร่งตึงและเคลื่อนไหว ค้ำจุนธาตุอื่น ทำให้สิ่งต่างๆ เคลื่อนจากที่เดิมไปได้

ที่มาของธาตุ...ในด้านปริยัติ เรื่องธาตุจัดอยู่ใน โลกจินดา เป็นหนึ่ง อจินไตย4 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พอเห็นโดยสังเขปเกี่ยวกับการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ตามจูฬมายุงกยโอวาทสูตร

ย่อนะ...ท่านสามารถขยายความจาก DOU เรื่องจักรวาลวิทยา
และถ้ายังไม่ชัดเจน ต้องหาคำตอบกับผู้รู้ที่คุณครูไม่ใหญ่ยกย่องว่าเป็นเปรียญ10 เองนะครับ
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC