ทำใจให้ยอมรับว่าตัวเรามีแต่ของเน่าเสีย ผมทำไม่ได้
#1
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 07:53 AM
#2
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 08:34 AM
สงสัยต้องผู้ชายด้วยกันตอบ!
#3
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 08:48 AM
#4
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 08:54 AM
1. เมื่อตื่นนอนแล้ว ก่อนจะลุกจากที่นอน ให้เอาใจเข้าศูนย์กลางกายสัก10นาที
2. อย่าพึ่งเข้าห้องนํา อย่าพึ่งล้างหน้า และอย่าพึ่งแปลงฟัน ให้หากระจกที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วไปยืนส่องดูตัวเอง แล้วนึกในใจว่า นี่หรือคือตัวจริงของเรา
3. ให้เอามืออังปากตัวเองแล้วพ่นลมหายใจออกมาทางปาก แล้วสูดดมเข้าไปลึกๆ แล้วนึกในใจว่า นี่คือกลิ่นภายในที่แท้จริงของเรา
4. เมื่อใดที่ต้องเสียเหงื่อ จนมีกลิ่นกายออก ให้นึกเสมอว่านี่แหละกลิ่นตัวของเรา แม้จะพยายามปกปิดด้วยนําหอมหรือเครื่องประดับสุดท้ายก็ไม่เป็นผล ปกปิดได้แค่ชั่วคราว สุดท้ายกลิ่นตัวเราก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมาอยู่ดี
5. ให้สังเกตุเครื่องประดับ ว่ามีความสกปรกหรือไม่ หากมี ให้คิดในใจว่า เครื่องประดับเหล่านี้ตอนซื้อมาก็สวยดี แต่พอโดนตัวเราปุ๊บของสวยงามนี้ก็หม่นหมอง ร่างกายเรามีแต่ของสกปรก เครื่องประดับที่ตอนแรกดูสวยงามกลับต้องมาหม่นหมองเพราะร่างกายเรา
เอาแค่5ข้อนี้ไปลองทำดูก่อนนะครับ ถ้าคุณเจ้าของกระทู้เอา5ข้อนี้ไปฝึก ผมคิดว่าต้องช่วยได้ไม่มากก็น้อยครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 09:08 AM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#6
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 09:38 AM
มีสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตร (พระลูกศิษย์ที่ท่านบวชให้) ออกบวชจากตระกูลช่างทอง พระอุปัชฌาย์เห็นว่าดูแล้วพวกช่างทองคงจะมีอุปนิสัยรักความสวยความงาม ก็เลยให้กรรมฐานประเภทอสุภกรรมฐาน (ดูศพบ้าง ดูอาการ 32 บ้าง) แต่ยิ่งให้ ก็ดูเหมือนนักเรียนก็ยิ่งจะเครียด ก็พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอพระองค์ตรวจดูอุปสัยที่สั่งสมมาปรากฏว่าสั่งมาแต่เรื่องสวยๆ งามๆ ทั้งนั้น ก็เลยประทานกรรมฐานที่เหมาะสมให้ (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นดอกไม้สีแดง) และนั่นเองจึงเป็นเหตุให้ท่านใจหยุด จนได้บรรลุอริยผลในที่สุด
ถามว่าพระสารีบุตรท่านไหม? ท่านไม่ผิดเลย ท่านก็ว่าไปตามหลักสูตรของท่านเลยครับ (เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ) แต่ภิกษุท่านนี้ เป็นแบบพุทธเวไนย ต้องให้พระพุทธเจ้าโปรดเท่านั้น
ส่วนคุณสาคร ก็พอที่จะประยุกต์ใช้ได้ ถ้าอารมณ์ดังกล่าวไม่ถูกกับอัธยาศัยตนเอง ก็ต้องเลือกเอาอารมณ์ที่สบาย ให้เหมาะกับจริตตนเองครับ ขอแต่เพียงให้อารมณ์นั้นทำให้ใจเราหยุดนิ่งได้ ก็ถือได้ว่าทำถูกวิธีแล้ว
#7
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 09:42 AM
สำหรับตัวเอง เรื่องที่ทำใจอยู่พักใหญ่สมัยเข้าวัดใหม่ ๆ คือ ยอมรับว่า ผู้หญิงเป็นเพศอาภัพ เกิดมาเป็นผู้หญิงเพราะทำผิดกาเม แต่เดี๋ยวนี้ยิ่งกว่ายอมรับอีก ยิ่งฟังเคสมาก ยิ่งยอมรับมาก รวมถึงความรู้ที่ยิ่งเรียนรู้ยิ่งยอมรับว่าใช่เลย
ในเรื่องทำใจว่าภายในตัวมีแต่ของเน่าเหม็นนั้น ไม่แน่ใจว่าจำผิดหรือเปล่า
สมัยหลวงปู่ ให้พระบวชใหม่เก็บผมที่โกนเอาไว้หลาย ๆ วัน แล้วเอามาดูภายหลัง...ผมเปียกที่เก็บไว้มีกลิ่นแน่นอน
ไปวัดบ่อย ๆ ฟังธรรมมาก ๆ นั่งสมาธิเยอะ ๆ บวชด้วยยิ่งเยี่ยม อีกหน่อยก็ยอมรับไปเองแหละค่ะ ...ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจนะคะ
อนุโมทนาบุญค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 09:46 AM
#9
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 01:44 PM
#10
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 02:08 PM
#11
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 06:18 PM
แตกทำลายง่าย ร่างกายอันเน่าเหม็นนี้
จักแตกสลายพังภินท์
เพราะชีวิตสิ้นสุดลงที่ความตาย
จงดูร่างกายที่ว่าสวยงามนี้เถิด
เต็มไปด้วยแผล สร้างขึ้นด้วยกระดูก
มากด้วยโรค มากด้วยความครุ่นคิดปรารถนา
หาความยั่งยืนถาวรมิได้
พุทธพจน์
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#12
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 06:26 PM
ตอบ การที่จะทำให้ใจของเรายอมรับว่า ร่างกายของเราเป็นสิ่งไม่สะอาด ไม่น่าดู ไม่น่าชม นั้น ต้องพิจารณาตามหลักอสุภกรรมฐาน หรือ กายคานุสติ ซึ่งเริ่มแรกที่เราพิจารณานั้น เราอาจจะยังยอมรับไม่ได้ว่าร่างกายของเราเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด เราต้องหมั่นพิจารณาบ่อยๆ จึงสามารถมองเห็นร่างกายของเราตามความเป็นจริงได้
แต่ถ้าปัจจุบัน เรายังไม่สามารถยอมรับได้ว่าร่างกายของเราเป็นสิ่งไม่สะอาดสกปรก หรือยังเห็นว่าร่างกายเราเป็นของสะอาดอยู่
ขอให้เราลองนึกถามตัวเอง เป็นต้นว่า หากตัวเราสะอาดจริงแล้ว ทำไมเราถึงต้องอาบน้ำ แปรงฟัน ทุกวันเล่า ? ก็เพราะตัวเราไม่สะอาดมิใช่หรือ เราจึงจำเป็นต้องอาบน้ำชำระร่างกายทุกวัน เพื่อให้ร่างกายของเรานี้ ไม่สกปรกยิ่งกว่าที่เป็น
น้ำลาย น้ำมูก สิ่งปฏิกูล ที่ออกมาจากร่างกายของเรา เมื่อพ้นจากตัวเราออกสู่ข้างนอกแล้ว มีแต่คนว่า น้ำลาย น้ำมูก สิ่งปฏิกูลเหล่านั้นไม่สะอาด มีแต่คนรังเกียจ ไม่กล้าแตะต้อง ขอให้เรานึกถามตัวเองว่า ก็น้ำลายน้ำมูก หรือสิ่งปฏิกูลอันหลากหลายที่สกปรกเหล่านี้ ได้ออกมาจากร่างกายของเราเองมิใช่หรือ แล้วด้วยเหตุนี้ ร่างกายของเราจะเป็นของที่สะอาดได้อย่างไรกัน
พิจารณาอย่างนี้เป็นต้น
ขอให้หมั่นพิจารณาบ่อยๆตอนแรกๆอาจจะยังยอมรับไม่ได้ แต่เมื่อทำบ่อยๆแล้วทำเป็นประจำ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จะทำให้เรามองเห็นร่างกายของเราและผู้อื่นไปตามความเป็นจริง ทำให้เราคลายความกำหนัด กามราคะ ต่างๆลงได้
_/|\_ ส า ธุ อ นุ โ ม ท น า บุ ญ ค รั บ
*************************************
ใ ค ร เ ชิ ด. . .ใ ค ร ชู. . .ช่ า ง เ ข า
ใ ค ร เ บื่ อ. . .ใ ค ร บ่ น. . .ท น เ อ า
ใ จ เ ร า. . .ร่ ม เ ย็ น. . .เ ป็ น พ อ
. . .|2@|<_|3( )( )|\| @ |-|()T/\/\@I|_.C()/\/\. . .
#13
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 09:04 PM
อันดับแรก คุณต้องมียอมรับประโยคกระทู้ที่คุณตั้งนะคะ ว่าร่างกายมนุษย์และสัตว์มีของเน่าเสียอยู่จริง
2. คุณลองตื่นมาแล้วไม่บ้วนปาก ไม่แปรงฟัน ไม่อาบน้ำ คุณไปกินข้าวเช้าแล้วก็ไม่แปรงฟันหลังอาหาร แต่งตัวไปทำงาน โดยไม่ใช้โรลออน หรือน้ำหอมทุกอย่าง ข้าวเที่ยงก็ทานเลย จนถึงตอนเย็น กลับบ้านก็ไม่ต้องอาบน้ำแปรงฟัน ทำธุระก่อนนอน แล้วก็นอนเลยค่ะ คือให้ลองใช้ชีวิตแบบร่างกายมนุษย์เพียวๆ ดูสัก 2-3 วัน (ถ้าทนได้นะ)
แล้ว....
ไม่เกิน 7 วัน
3. เพื่อนที่ทำงานของคุณจะยอมรับได้เองละค่ะว่า ตัวมนุษย์มีแต่ของเน่าเสีย ..เพื่อนคุณจะมาบอกคุณ มาตอกย้ำคุณ ให้คุณทราบเอง
ในทางตรงข้าม ถ้าคุณต้องการยอมรับความจริง ให้คนสนิทของคุณ หรือเพื่อนที่คุณต้องทำงานด้วยที่นั่งใกล้คุณที่สุด ลองทำแบบนี้ ไม่นานคุณจะยอมรับได้ด้วยตัวคุณเองค่ะ แต่คนอื่นในที่ทำงานจะทนไหวรึเปล่าไม่รู้นะคะ
..............................................................................................
แต่ถ้ายังทำใจรับไม่ได้ คุณก็ไปที่สถาบันนิติเวช หรือโรงพยาบาลที่สอนนักษาศึกษาแพทย์ (ไม่รู้ว่าเขาอนุญาตยังไงนะ คือเคยมีหมอพาให้ไปดูเองแล้ว ส่วนใหญ่เจอแต่อาจารย์ใหญ่ที่แห้งแล้วค่ะ) จะดูรูปอย่างเดียว หรือจะขอเข้าไปดูการผ่าศพก็ชัดดีนะ ว่า(เมื่อปราศจากฟอร์มาลีนแล้ว) นอกจากเน่าเสียได้ กลิ่นก็รุนแรงมากๆ ค่ะ
คิอร่างมนุษย์เนี่ย ยังมีชีวิตอยู่ก็เน่า มีขี้ต่างๆ ไหลออกทุกทวาร ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมากมาย และเสริมสวยเสริมหล่อกันมาก เลยลืมๆไปว่าร่างนะเน่าเป็นปกติ
แต่คุณสาคร พยายามยอมรับความเป็นจริง เนี่ยถือว่ากำลังพยายามอยู่ ดีมากค่ะ ขอให้ทำได้สำเร็จนะคะ
#14
โพสต์เมื่อ 13 September 2006 - 09:24 PM
#15
โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 07:26 PM
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ