ในสมัยหลวงปู่ที่วัดปากน้ำ มีการเขียนอาการป่วยส่งให้ทีมงานทำวิชชากลั่นแก้..อยากทราบที่วัดพระธรรมกายสามารถส่งอาการป่วยเพื่อกลั่นแก้บ้างไหมครับ อยากให้มีจังเลย..
..ชื่อหัวข้อตั้งได้ไม่เกิน50ตัวอักษาน้อยไปนิด
รับแจ้งอาการป่วยเพื่อกลั่นแก้แบบสมัยหลวงปู่ไหมครับ
เริ่มโดย rattana_s, Nov 26 2007 02:42 PM
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 26 November 2007 - 02:42 PM
#2
โพสต์เมื่อ 26 November 2007 - 04:49 PM
ที่ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีนะจ๊ะ
#3
โพสต์เมื่อ 26 November 2007 - 05:36 PM
ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ มีให้เขียนส่งอาการโรค อยู่บนหอสังเวชนีย์ฯ ที่ไว้สังขารของหลวงปู่วัดปากน้ำฯ น่ะครับ หรือจะเขียนแล้วเอาไปส่งโดยตรงที่อุบาสิกาแม่ชีที่ทำวิชชาในโรงงาน (ยังมีหลายท่านที่อยู่ทันทำวิชชากับหลวงปู่) หากรู้จักท่านเหล่านั้นเป็นการส่วนตัวนะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็เขียนส่งใบอาการโรคที่บนหอฯ นั่นแหละครับ
ส่วนที่วัดพระธรรมกาย ยังไม่เคยได้ยินว่ามีการรับแก้โรคโดยการเขียนใบแจ้งอาการเจ็บป่วย อนาคตอาจจะมีก็ได้มั้งครับ ถ้ามีทีมทำวิชชาเรียบร้อยแล้วแบบสมัยหลวงปู่ แต่จริงๆจะแก้ตัวเองก็ได้นะครับ หลวงพ่อท่านก็เมตตาสอนอยู่เสมอๆ คือ ให้ทำทุกบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนา แล้วก็แผ่เมตตา อุทิศให้คู่กรรมคู่เวร แล้วก็อธิษฐานจิตขอบารมีมหาปูชนียาจารย์และบุญที่ตนได้กระทำ มาช่วยกลั่นแก้ ถ้ากรรมไม่หนัก บุญมากพอ แรงพอ ก็คงจะช่วยแก้ได้ หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า จากหนักเป็นเบา เบาเป็นหาย ถ้าไม่หาย ตายก็ไปดี
แต่ก็อยู่ที่ว่า เราทำหยุดทำนิ่งได้มากแค่ไหน ถ้าหยุดนิ่งได้มาก ธรรมะชัดใสสว่างมาก ก็ช่วยได้เยอะ คนที่ได้ธรรมกาย แต่ยังทำวิชชาไม่เป็น หลวงพ่อท่านก็บอกว่าช่วยแก้โรคได้ด้วยการแผ่เมตตาอธิษฐานจิตช่วย ส่วนคนที่ทำวิชชาเป็นแล้ว เขาก็ไปแก้เหตุในเหตุ (ฟังจาก รร อนุบาลฯ)
ส่วนที่วัดพระธรรมกาย ยังไม่เคยได้ยินว่ามีการรับแก้โรคโดยการเขียนใบแจ้งอาการเจ็บป่วย อนาคตอาจจะมีก็ได้มั้งครับ ถ้ามีทีมทำวิชชาเรียบร้อยแล้วแบบสมัยหลวงปู่ แต่จริงๆจะแก้ตัวเองก็ได้นะครับ หลวงพ่อท่านก็เมตตาสอนอยู่เสมอๆ คือ ให้ทำทุกบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนา แล้วก็แผ่เมตตา อุทิศให้คู่กรรมคู่เวร แล้วก็อธิษฐานจิตขอบารมีมหาปูชนียาจารย์และบุญที่ตนได้กระทำ มาช่วยกลั่นแก้ ถ้ากรรมไม่หนัก บุญมากพอ แรงพอ ก็คงจะช่วยแก้ได้ หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า จากหนักเป็นเบา เบาเป็นหาย ถ้าไม่หาย ตายก็ไปดี
แต่ก็อยู่ที่ว่า เราทำหยุดทำนิ่งได้มากแค่ไหน ถ้าหยุดนิ่งได้มาก ธรรมะชัดใสสว่างมาก ก็ช่วยได้เยอะ คนที่ได้ธรรมกาย แต่ยังทำวิชชาไม่เป็น หลวงพ่อท่านก็บอกว่าช่วยแก้โรคได้ด้วยการแผ่เมตตาอธิษฐานจิตช่วย ส่วนคนที่ทำวิชชาเป็นแล้ว เขาก็ไปแก้เหตุในเหตุ (ฟังจาก รร อนุบาลฯ)
#4
โพสต์เมื่อ 26 November 2007 - 06:52 PM
ก้อต้องรักษาทั้งทางโลกและทางธรรมนะคะ ทางโลกก้อปฏิบัติตนตามที่แพทย์แนะนำให้เต็มที่ ทางธรรมก้อทำใจสบายๆ อย่ากังวลน่ะค่ะ หายแน่นนอน ทำบุญไว้ ทำใจให้ใส ตายก็ไปดีนะคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
#5
โพสต์เมื่อ 27 November 2007 - 12:37 PM
บุญนั่นแหละ แก้ได้ทุกโรคครัีบ แม้สมัยหลวงปู่ คุณยาย ที่ท่านกลั่นแก้ให้ ท่านก็ไม่ได้กลั่นแก้ให้เฉยๆ ครับ แต่ให้เจ้าของเคส นั่นสมาธิไปด้วย เหมือนผู้ป่วยที่ยอมให้ความร่วมมือให้หมอรักษาทุกโรค นั่นแหละครับ แก้ได้ผล
ผู้ป่วยที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับหมอ หมอแนะให้ทำอย่างนี้ ไปทำอย่างโน้น ต่อให้หมอเทวดา ก็แก้โรคให้ไม่ได้ครับ
ดังเช่น ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ได้เล่าถึงคนเมาคนหนึึ่งผลาญทรัพย์ของพ่อแม่ หมดลงไปในขวดเหล้า ในเวลาไม่กี่ปี กลายเป็นโรคจนทันที แต่พระอินทร์ ซึ่งตอนเป็นมนุษย์ ท่านเป็นพ่อเขา จึงได้มาใช้อำนาจวิเศษช่วยเขา ให้แก้โรคจน (หรืออีกนัยหนึ่ง บุญเขายังมีอยู่ จึงดลใจให้พระอินทร์ (อดีตพ่อ) มาช่วย) โดยเนรมิตหม้อวิเศษให้หนึ่งใบ ให้เขาสามารถล้วงทรัพย์สินจากหม้อได้ดังใจปรารถนา
อนิจจา เขาก็ล้วงทรัพย์จากหม้อไปซื้อเหล้า ซื้อมาแล้วก็ดื่มจนเมา เมาแล้วก็นำหม้อวิเศษมาโยนเล่น ด้วยความคะนอง ผลก็คือ โยนแล้วรับพลาด หม้อตกพื้นแตก เขาจึงต้องกลายเป็นขอทาน อดอยากเสียชีวิตในที่สุด
ผู้ป่วยที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับหมอ หมอแนะให้ทำอย่างนี้ ไปทำอย่างโน้น ต่อให้หมอเทวดา ก็แก้โรคให้ไม่ได้ครับ
ดังเช่น ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ได้เล่าถึงคนเมาคนหนึึ่งผลาญทรัพย์ของพ่อแม่ หมดลงไปในขวดเหล้า ในเวลาไม่กี่ปี กลายเป็นโรคจนทันที แต่พระอินทร์ ซึ่งตอนเป็นมนุษย์ ท่านเป็นพ่อเขา จึงได้มาใช้อำนาจวิเศษช่วยเขา ให้แก้โรคจน (หรืออีกนัยหนึ่ง บุญเขายังมีอยู่ จึงดลใจให้พระอินทร์ (อดีตพ่อ) มาช่วย) โดยเนรมิตหม้อวิเศษให้หนึ่งใบ ให้เขาสามารถล้วงทรัพย์สินจากหม้อได้ดังใจปรารถนา
อนิจจา เขาก็ล้วงทรัพย์จากหม้อไปซื้อเหล้า ซื้อมาแล้วก็ดื่มจนเมา เมาแล้วก็นำหม้อวิเศษมาโยนเล่น ด้วยความคะนอง ผลก็คือ โยนแล้วรับพลาด หม้อตกพื้นแตก เขาจึงต้องกลายเป็นขอทาน อดอยากเสียชีวิตในที่สุด
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#6
โพสต์เมื่อ 27 November 2007 - 01:40 PM
แต่ถ้าเป็นโรคที่เกิดจากวิบากกรรมที่หนักมากจริงๆ แล้วล่ะก็ ที่ไม่หายก็มีนะครับ แต่บุญที่เคยทำเอาไว้ก็สามารถช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ สำหรับในกรณีประจวบเหมาะถึงคราวที่จะต้องตายด้วย และตายแล้วจะไปไหนนั้น ต้องมาตัดสินกันที่สภาพของดวงจิตในขณะที่หัวต่อของกายมนุษย์และกายทิพย์ขาดออกจากกันว่า หมองหรือใส ถ้าหมองก็ไปสู่อบาย ถ้าใสก็ไปสู่สุคติ ไม่ใช่ว่า "ถ้าตายก็ไปดี" เสียทุกรายหรอกนะครับ
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี
#7
โพสต์เมื่อ 27 November 2007 - 01:50 PM
Sa Thu
#8
โพสต์เมื่อ 28 November 2007 - 03:53 PM
สาธุ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์