ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* - - - - 1 คะแนน

เด็กจากโลกอื่น?


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 14 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 13 October 2006 - 10:25 AM

สองคนจูงมือพากันเดินออกมาจากโพรงในพื้นดิน
ความลึกลับของเด็กสองคนที่มีผิวกายสีเขียว ถูกยึดถือเป็นข้อพิสูจน์เรื่องมิติที่สี่ โดยนักวิจัยทางวิญณาญและภูตผีปีศาจ นิยายปรัมปราก็ดี การถือโชคลางก็ดี และการบิดเบือนความจริงก็ดี อาจจะบดบังความจริงเสีย แต่ข้อเท็จจริงยังคงมีอยู่ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งอุบัติขึ้นที่เชิงเขาประเทศสเปน วันหนึ่งในค.ศ. 1887

บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกันเดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราว 90 ปีมาแล้วก็จริง แต่ก็มีผู้ที่มีชีวิตอยู่หลายคนซึ่งยังจำเหตุการณ์นั้นได้ดี ไม่ต้องสงสัยเลย อาจมีการเล่าเกินความจริงไปบ้าง และอาจบิดเบือนความจริงไปบ้างก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงอันเป็นมูลฐานของเรื่องนี้ที่รู้สึกว่าไม่สามารถโต้แย้งได้ก็คือ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัวจริงๆ ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลกและกระท่อนกระแท่น กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

และที่ประหลาดที่สุดก็คือ...ผิวกายเป็นสีเขียวขจี นับเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ ปราศจากเหตุผลแต่ก็ไม่ต้องการคำอธิบาย แม้กระนั้นนักวิจารณ์เกี่ยวแก่ภูตผีปีศาจก็ปักใจเชื่อว่า บางทีอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่มีคุณค่าที่สุดเท่าที่พวเขาเคยได้รับเกี่ยวแก่มิติที่สี่ โลกซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับโลกของเรา เป็นแดนสนธยาซึ่งเด็กสองคนนั้นรอดพ้นออกมาได้ จะด้วยวิธีหนึ่งวิธีใดก็ตาม

ทฤษฎีก็คือว่า เด็กสองคนนี้ตกเข้าไปในของเหลวหรือก๊าซในอวกาศ เหมือนดังคนที่ตกลงไปในโพรงน้ำแข็งและไม่สามารถกลับออกมา จึงได้เข้าไปสู่ที่ราบของมิติที่สาม แล้วเลยเข้าไปในมิติที่สี่ และไม่สามารถกลับมาได้

ประหลาดมหัศจจรย์หรือ? อาจเป็นไปได้ แต่ในบรดาทฤษฎีทั้งหมดที่นำมาพิจารณาเกี่ยวแก่การปรากฏตัวของเด็กที่ผิวกายสีเขียวนี้ ก้เป็นทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่พอจะนำมาอธิบายได้เป็นซ้ำสอง

ในไม่ช้า หลังจากปรากฏการณ์นี้ นักบวชรูปหนึ่งเดินทางจากบาร์เซโลนาเพื่อทำการสอบสวน นักบวชรูปนั้นได้เห็นเด็กทั้งสอง และได้ซักถามประจักษ์พยาน และต่อมาก็ได้เขียนรายงานขึ้นไว้ ความว่า

“อาตมาประหลาดใจมากที่มีประจักษ์พยานรู้เรื่องมากมาย จนต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจ และคลี่คลายได้ด้วยอำนาจแห่งสติปัญญา”

พวกชาวนาที่เกี่ยวข้าวกำลังพักผ่อนรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ เมื่อเด็กประหลาดคู่นั้นปรากฏตัวขึ้นที่ปากถ้ำบนเชิงเขา ทั้งสองมีอาการเงอะงะร้องไห้โฮออกมาอย่างเปิดเผย และที่ประหลาดมากก็คือทั้งสองคนมีผิวกายสีเขียวเข้ม

ด้วยความไม่เชื่อ คนทำงานพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็กสองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้าน

ทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้านของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน

ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนตนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย

เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก

ดา คาลโนพยายามสังเกตดูรูปร่างของเด็กทั้งสอง แม้ว่าจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ใกล้ไปทางเผ่าพันธุ์นิกรอยด์เล็กน้อย นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก

เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย ไม่ทราบว่าอาหารอะไรจึงจะเป็นที่พึงใจเขาทั้งสอง

มีรายงานฉบับหนึ่งกล่าวว่า “ได้มีการนำเอาถั่วที่ตัดหรือเด็ดจากต้นเข้ามาในบ้าน ปรากฏว่าเด็กทั้งสองกรากเข้าหยิบเอาไปฉีกอย่างตะกรุมตะกราม แต่ไม่ยักฉีกที่ฝัก กลับไปฉีกที่ลำต้น คงเข้าใจว่าเม็ดถั่วอยู่ในโพรงลำต้น

“เมื่อไม่พบอะไร เด็กทั้งสองก็ตั้งต้นร้องไห้อีกครั้งแล้วใครคนหนึ่งจึงฉีกฝักถั่วให้ดู เมื่อนั้นแหละ ทั้งสองจึงดีใจมาก และกินถั่วเข้าไปตั้งมากมาย และตั้งนั้นมาก็ไม่ยอมแตะต้องอาหารอื่นใดอีกเลย”

แต่การอดอาหารมาหลายวันดูเหมือนจะเป็นอันตรายแก่เด็กทั้งสองนั้นอย่างร้ายแรง ทั้งๆที่ได้กินถั่วแล้วเด็กผู้ชายก็อ่อนเพลียลงเรื่อยๆ จนในที่สุดได้ถึงแก่กรรมลง หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน

อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิงกลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆจางลง และเป็นคนแปลกประหลาดของหมู่บ้านน้อยลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น

เธอบอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีมีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ “มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก” เธอบอก

ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า “มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว”

นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง และบางทีเธออาจทราบทั้งหมดเพียงเท่านั้นเอง เด็กผู้หญิงมีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก้ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ

นับเป็นเรื่องราวที่ประหลาดมหัศจรรย์ มันเป็นเรื่งปรัมปราที่เล่ากันมาในอดีต เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงหรือเป็นเรื่องที่เล่ากันให้แปลกและตื้นเต้นสืบต่อกันมาลายชั่วคนกระนั้นหรือ?

แต่ถึงอย่างไร เอกสารต่างๆ ก็ยังคงมีอยู่พร้อมด้วยถ้อยคำให้การของบรรดาประจักษ์พยาน ที่ได้สาบานตนว่าจะพูดความจริงและล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้สัมผัสเนื้อตัวมนุษย์ประหลาดซึ่งจูงมือกันเดินออกมาจากโพรงในพื้นดินทั้งสิ้น

มีทฤษฏีหลายอย่างที่เกี่ยวแก่เรื่องนี้ อาทิเช่น เด็กนั้นอาจมาจากดาวอังคาร ดวงดาวซึ่งเย็นลงแล้วและที่เชื่อกันว่าพันธุ์ไม้ที่อาจเป็นสีน้ำเงิน หรือสีเขียวขจีเหมือนผิวกายของเด็กทั้งสอง อย่างที่พบในตอนสูงๆของภุเขาแอลป์ส์

แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบถึงสิ่งมีชีวิตที่ใต้พื้นพิภพว่ามีจริงและเคยโผล่ออกมาให้เห็นจากโพลงลึกลงไปในดิน


ที่มาโลกพิศวง สันตสิริ

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  46264626.jpg   27.68K   305 ดาวน์โหลด


#2 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 13 October 2006 - 11:49 AM

น่าตื่นเต้น ดีแท้
หามาอีกน่ะครับ
ดีนักแล สาธุ
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก

#3 MIHARU

MIHARU
  • Members
  • 620 โพสต์
  • Interests:พระพุทธศาสนา<br />วิทยาศาสตร์

โพสต์เมื่อ 13 October 2006 - 11:57 AM

สนุกดีค่ะ
Relax & Alert

#4 สูตรมิตร

สูตรมิตร
  • Members
  • 49 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 October 2006 - 12:02 PM

แปลกดีจัง

#5 iMac24

iMac24
  • Members
  • 437 โพสต์
  • Location:Dmoc
  • Interests:เกิดมาสร้างบารมี

โพสต์เมื่อ 13 October 2006 - 12:29 PM

ohmy.gif ohmy.gif wacko.gif
จงสู้และอย่าท้อ ลูกเอย
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง

สุนทรพ่อ

มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ

#6 Pungpa

Pungpa
  • Members
  • 458 โพสต์
  • Gender:Female
  • Interests:ผ่านการอบรมมัชฌิมธรรมทายาทหญิง รุ่นที่ 13 /2549 แล้วค่ะ<br /><br />รับบุญ : ฝึกงานอยู่ที่ ศูนย์ประสานงานโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

โพสต์เมื่อ 14 October 2006 - 07:20 PM

โฮะๆๆๆ มันแปลกดีนะ มันแปลกดีนะ มันแปลกดี
หยุดนั่นแหละเป็นตัวสมถะ
หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด

#7 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 14 October 2006 - 11:39 PM

ไปเอามาจากใหนอ่ะ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#8 เราคือใคร

เราคือใคร
  • Members
  • 137 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 10:26 PM

ถ้าเป็นเรื่องจริง คิดว่าคงคล้ายกับชาวเมืองลับแลของบ้านเราน่ะครับ

#9 ละอ่อนดอย

ละอ่อนดอย
  • Members
  • 32 โพสต์
  • Interests:I LOVE THAILAND// เมืองไทยช่างสวยงามและน่าอยู่จริงๆ

โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 12:27 PM

มีจริงๆหรอ มีจริงก็ดีสิเนอะ สาธุ ๆ ๆ

#10 คนรักวัด

คนรักวัด
  • Members
  • 626 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 October 2006 - 12:49 AM

สาธุ
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain

#11 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 06:51 AM

I wonder how much truth is behind the story.... but thank you for taking your time to surf through the net (?) or get it from the forward email and share with us kah....
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#12 diew_ake

diew_ake
  • Members
  • 14 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 November 2006 - 07:48 PM

เป็นเรื่องที่น่าทึ่งครับ ผมชอบ

#13 น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

    เราคือ นักรบกล้าอาสาสมัคร กองทัพธรรม

  • Members
  • 1961 โพสต์
  • Gender:Female
  • Interests:ช่วยงานบุญที่วัด ให้ถึงที่สุดกำลัง ตราบวันที่ชีวิตจะสิ้นลมหายใจ

โพสต์เมื่อ 02 November 2006 - 09:38 PM

มันแปลกดีนะ
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"

น้ำฝนลูกพระธัมฯ

#14 glouy.

glouy.
  • Members
  • 605 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 November 2006 - 12:33 PM

สาธุ wacko.gif

ลูกพระธรรม

#15 ณ ทะเลจันทร์

ณ ทะเลจันทร์
  • Members
  • 78 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 July 2007 - 04:50 PM

อืมม์..น่าสนใจ สนุกค่ะท้าทายจินตนาการดีแท้ๆเลย

และก็น่าค้นหาย้อนกลับไปว่า
ในยุคนั้น คำเรียก สี มีการแยกสีน้ำเงิน
ออกมาจากสีเขียวหรือยัง
เพราะโลกยุคก่อนหน้าเรานั้น
ยังมีคำเรียก สี เพียงไม่กี่สี
ส่วนมากมีคำเรียก สีดำ ขาว แดง เขียว เหลือง
แต่ยังไม่มีสีย่อยๆ เช่น สีชมพู สีฟ้า สีเขียวอ่อน-แก่ สีม่วง ฯลฯ
ขอยกตัวอย่าง เช่น ในเรื่องรามเกียรติที่ไทยได้รับอิทธิพลทางวรรณคดีมาจากอินเดีย
พระรามมีผิวสีเขียว ในขณะที่หลักฐานทางศิลปและวรรณกรรม
ของอินเดียประเทศต้นกำเนิดมหากาพย์รามเกียรติ
มีภาพพระรามผิวกายสีเข้มออก ฟ้าๆน้ำเงินๆ ไม่เขียว ติดจะคล้ำดำมากกว่า
แต่ถ้าศึกษาลึกลงไปในทางชาติพันธุ์วรรณา
จะพบว่า พระรามน่าจะมีความเป็นชาวพื้นเมืองในแถบนั้น
ซึ่งมีผิวสีเข้ม หน้าตาคมขำ อย่างคนอินเดียตอนกลาง
ซึ่งต่างจากชาวอินเดียตอนบน คือผิวสีอ่อนกว่ามาก
ดังนั้น คำเรียก สีผิวของพระรามในสมัยกรุงศรีอยุธยาของเรา
ซึ่งเป็นยุคแรกๆที่มหากาพย์รามเกียรติ์มีการบันทึกเป็นตัวอักษร
ยุคนั้นอาจมีการเรียกสีในโทนสีฟ้า(อย่างปัจจุบัน) ว่าเป็นสีเขียว ก็เป็นได้..

ในกรณีเด็กสองคนนี้ น่าสนใจตรงที่
หากมีงานวิจัยหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เข้ามายืนยันให้ศึกษา
ก็จะสนุกมากเชียวล่ะ เพราะความเป็นไปไม่ได้อาจเป็นได้เมื่อเราคิดว่าเป็นไปไม่ได้!!!

 

"จงอย่าเป็นทุกข์เพราะความหยาบคายของผู้อื่น"  

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"  "เจตนา..นั้นแหละคือ..กรรม"

"จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง..มากกว่าถูกใจ"  "ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่คนพูดโกหกทำไม่ได้"