ผมทรมาณมากๆๆๆ
#1
โพสต์เมื่อ 04 March 2009 - 11:08 PM
และสุดท้ายนี้ผมขอขอบพระคุณนักรบรื้อวัฏฏะทุกท่าน ที่อุตส่าห์แสดงความคิดเห็นเพื่อช่วยเหลือผม ขอบคุณมากๆครับ
#2
โพสต์เมื่อ 05 March 2009 - 12:28 AM
แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป เพราะผมได้พบกัลยาณมิตรมากมายที่ทำให้ผมรู้ว่า ไม่มีอะไรที่แย่จนแก้ไขไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราอยากแก้ไขจริงหรือเปล่า และพยายามที่จะแก้ไขมากน้อยแค่ไหน
หากเราไม่รู้ เราก็ต้องศึกษาให้มาก เมื่อรู้แล้วก็ต้องนำมาทำให้มาก ในเมื่อคิดไม่ดี ก็ต้องหมั่นคิดดีเอาไว้สู้ บางครั้งคิดไม่ดี ก็ต้องฝึกคิดจนกว่ามันจะดีจนได้ แล้วก็ไม่ต้องไปใส่ใจมัน คิดหลบหลู่ได้ เราก็คิดขอโทษในใจได้ คิดดีให้หนัก ๆ บ่อย ๆ และหมั่นเลิกคิดด้วยก็จะดีมาก มันหายก็ช่าง มันไม่หายก็ช่าง เราไม่ใส่ใจซะอย่าง เป็นทางเดียวที่มันจะทุเลาหรือหายได้
หากเราไปตอกย้ำ มันก็ยิ่งกลายเป็นแผลลึก เราใช้สติ ใช้ปัญญาทาถูเข้าไป แล้วผลมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันไม่หายทันทีก็ไม่เป็นไร ขอแค่มันดีขึ้นก็พอใช้ได้ สักวันมันก็คงหายไปเอง
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ปลง ๆ ซะบ้าง ปล่อยว่างซะบ้าง อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องดี อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี คิดแค่ว่ามันมาเองได้ มันก็ไปของมันเองได้ และไม่ว่ามันจะยังอยู่ ก็ใช่ว่าเราจะทำเรื่องดี ๆ อื่น ๆ ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยมันก็แค่เป็นในระดับความคิด อย่าให้มันหลุดออกมาจนเป็นคำพูดหรือการกระทำก็นับว่าใช้ได้
#3
โพสต์เมื่อ 05 March 2009 - 08:13 AM
- แม้ย้ำคิดย้ำทำ กังวลเกินเหตุ จนบุคลิกภาพผิดปกติ
- แต่ก็เป็นผู้มีวินัย รักสะอาด เคารพในกฎเกณฑ์
- ควรเน้นสัมมาสติ หมั่นทบทวนการบ้าน10ข้อ ของคุณครูไม่ใหญ่
#4
โพสต์เมื่อ 05 March 2009 - 08:24 AM
แต่ตอนนี้ ผมใช้วิธีนี้ครับ
ผมก็มาคิดดูว่า ระหว่าง ไอ้ความคิดไม่ดี ของตัวเรา กับ ความคิดที่ดี ของตัวเรา
ใครจะแน่กว่ากัน แต่ผมเอาใจช่วย ความคิดฝั่งดีนะครับ
ผมมีความคิดแบบนั้น แวป ขึ้นมาเมีื่่อไหร่ ผมก็จะเอาใจไว้ที่ ศูนย์กลางกาย
หรือนึกอะไรก็ได้ที่เป็นบุญ เป็นกุศล มาแทนที่ ความคิดเดิม เช่น สร้างพระ ปล่อยปลา
บวชธรรมทายาท นั่งสมาธิ รับบุญ ช่วยงานหลวงพี่ บุญที่เคยทำมาทุกบุญ
แล้วก็อย่าไปกังวล กับความคิดที่ไม่ดี ให้ทำความรู้สึกว่า เรามีความมั่นใจในความคิดที่เป็นบุญ ของเรามากกว่า
เวลาทำบุญก็อธิฐานจิตให้ บุญได้ช่องส่งผล ละเอียดตลอดเวลา
บาปที่ผ่านมาก็ ขออโหสิกรรม เสริมจากอธิฐานจิตเดิม
และก็วันอาทิตย์ ที่มาวัดก็ ตั้งใจสวดมนต์ตอนหลวงพ่อ นำสวดมนต์ตอนเช้า
หลวงพ่อจะนำขอขมาพระรัตนตรัย ด้วนนะ ตั้งใจฟังดีๆ นะครับ
นึกอะไร ไม่ออกก็มองดูดวงแก้วละกันนะครับ
ไฟล์แนบ
#5
โพสต์เมื่อ 05 March 2009 - 08:46 AM
- คิด พูด ทำ ให้เกิดมงคลชีวิต...ตั้งตนชอบ...
- ข้อสำคัญ...ระวังอย่าให้ผังคิดสั้นมาตัดรอนการสร้างบารมี
ท้ายนี้ขอบคุณ เพื่อนสมาชิกที่ช่วยโพสต์การบ้านของคุณครูไม่ใหญ่ มาเป็นการทบทวน
ขอ จขกท.หาย และ ฟื้นจากโรคภัยในเร็ววันครับ
#6
โพสต์เมื่อ 05 March 2009 - 01:34 PM
#7
โพสต์เมื่อ 05 March 2009 - 03:01 PM
ไฟล์แนบ
#8
โพสต์เมื่อ 05 March 2009 - 06:57 PM
ค่อยๆ ขัด(เกลา) ใจของเราไปเรื่อยๆ ค่ะ ลองอ่านคำสอนของมหาปูชนียาจารย์บ่อยๆ ซิค่ะ เราจะซาบซื้งถึงเมตตาของท่าน ใจจะเริ่มละเอียดขึ้นเรื่อยๆ แล้วขอบุญบารมีท่านคุ้มครอง อย่าโกรธหรือเกลี่ยดตัวเองเลยค่ะ ให้เมตตาตัวเองมาก ๆ แล้ว หมั่นอ่านและฟังธรรมะบ่อยๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆ ดีขึ้นน่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 05 March 2009 - 10:40 PM
แบบ ก้เตือนๆตัวเองอ่ะ
พอนึกสิ่งไม่ดีก้บ่นๆตัวเอง
แบบ มันไม่ดีอ่ะ จะคิดไมว่ะ
คิดไปก้แค่นั้น ถ้าตายไปตอนนี้ก้ลงดิ่งอ่ะดิ
เพราะฉะนั้นคิดเรื่องดีดี ดีกว่า
อย่างน้อยตายตอนนี้ก้ขึ้นสวรรค์
สุ้เค้า ๆ * เป้นกำลังใจให้เสมอจ้า
#10
โพสต์เมื่อ 06 March 2009 - 05:40 PM
ก็ทำความเคารพบุคคลที่เคารพบูชาบ่อยๆๆ แบบสุดหัวใจดูชิค่ะ
เช่นเมื่อเดินผ่านรูปหลวงปู่ คุณยาย ฯลฯ ก็ให้ยกมือขึ้นไหว้ทุกครั้ง
หรือถ้ามีสถานที่พอก็ให้ก้มลงกราบท่านด้วยหัวใจที่เคารพอย่างสูงสุด
หรือถ้าครั้งใดคิดในสิ่งที่ไม่ดี แม้ไม่มีใครรู้แต่เรารู้ตัวเรา
ก็ให้ "อุกาสะ" ยกมือพนมขอขมาลาโทษในเดี๋ยวนั้นทันที
ทำบ่อยๆๆน่าจะระลึกตรึกในความดีได้อย่างสุดหัวใจ ขอให้หมดกรรมไวๆๆค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 06 March 2009 - 10:58 PM
#12
โพสต์เมื่อ 07 March 2009 - 09:38 PM
คลายเครียดเลย แต่เราดู Case บ่อย หลวงพ่อบอกว่ามันเป็นเศษกรรมสุรา แต่ตอนนี้เราหายเกือบหมดแล้ว
วิธีแก้ไขเบื้องต้นก็คือ คุณจะต้องสวดมนต์เยอะ ๆ คุณยายบอกว่า สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
ถ้าอกุศลมันเข้ามาครอบงำใจเมื่อใด ให้ภาวนาสู้กับความคิดไม่ดี และหมั่นสวดมนต์ทุกวัน บางทีเราสวดมนต์
จบเดียวไม่หาย เราก็จะสวดทุกบทเลย และเวลาสวดมนต์ให้เอาใจจดไว้ที่บทสวดทุกคำ ช่วงนี้อย่าเพิ่งทำสมาธิ
เพราะใจไม่นิ่ง จะยิ่งคิดไปกันใหญ่ สวดมนต์ก่อน และพยายามทำหนึ่งชั่วโมง หยุดใจหนึ่งนาที และที่สำคัญ
ทำบุญทุกบุญให้อธิษฐานให้พ้นจากวิบากกรรมนี้ หรืออธิษฐานทุกวัน ให้บุญช่วยตัดรอนวิบากกรรมเหล่านี้
แล้วคุณก็จะดีขึ้น ที่พวกเราเป็นอย่างนี้เพราะมีกรรมเก่า และมารก็พยายามแทรกอกุศลเข้ามาให้พวกเราได้บุญ
กันไม่เต็มที่ ให้คุณคิดว่าทุกอย่างเป็นมารมาแทรก ไม่ใช่คุณคิด เคยฟัง Case นี้มีคนเป็นกันเยอะเหมือนกัน
คุณพยายามอย่าเครียดกับมัน ถ้ายิ่งเครียด คุณจะยิ่งแย่ ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ้นจากวิบากกรรมนี้นะคะ
#13
โพสต์เมื่อ 07 March 2009 - 11:39 PM
สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
#14
โพสต์เมื่อ 08 March 2009 - 03:44 PM
ก็ต้องทำใจสบายๆ นะครับ จับและหยุดความคิดของเราเอาก่อน อย่าบีบครั้นกดดันตัวเรา ให้ทำใจ"เบาๆ" "สบายๆ" ปล่อยวาง ว่างๆ แล้วตัดความคิดที่ไม่ดีออกไปก่อนเลยครับ เหมือนตัดไฟแต่ต้นลมครับ
http://www.dmc.tv/fo...showtopic=19012
"ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย ใจในร่างกายกลับไม่เจอ...
ทุกข์ที่เกิดซ้ำเพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข"
#15
โพสต์เมื่อ 08 March 2009 - 07:34 PM
ขอเอาใจช่วยให้พยายามทำตามคำแนะนำที่กัลยาณมิตรทุกท่านแนะนำ
ทุกอย่างต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ
ตัวเองก็เคยเป็นหนักเหมือนกันค่ะ
เคยเป็นแล้วกลัวจนนั่งร้องไห้ในที่ปฏิบัติธรรม
จนวิทยากรและผู้ที่ร่วมปฏิบัติท่านสงสารเลย
ตอนนี้เบาลงมาก และเชื่อว่าอาการเหล่านี้ต้องหายไปจนได้ค่ะ
เชื่อว่าที่เบาลง คงมาจากการที่ทุ่มทำบุญเต็มกำลังที่มี
การอธิษฐาน และการที่พยายามคุมสติต่อเนื่องค่ะ
ขอให้ คุณ จขกท. หายจากอาการนี้โดยเร็วที่สุดเลยนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยคนค่ะ
เพราะทราบและเข้าใจดีว่าทรมานมากๆ จริงๆ
..ไม่อยากให้ความคิดทางลบเกิดขึ้น
แต่เหมือนมันผุดมาเองจากไหนไม่รู้
ทำให้ใจตก ลำบากใจ กลัว เกรง ใจขุ่น
ทั้งยังเป็นอุปสรรคมากในการปลื้มในบุญ
การทำจิตน้อมเคารพ และการเข้าใกล้บุคคลและสิ่งที่ควรบูชา
จะมีความกลัวเกรงบาป และความระแวงแทรกตลอด
ทั้งๆ ที่ ในใจจริงเคารพมากสุดๆ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ให้คำแนะนำด้วยนะคะ ..สาธุ
ตัวเองก็จะนำคำแนะนำไปปฏิบัติให้หายขาดให้ได้ค่ะ
#16
โพสต์เมื่อ 09 March 2009 - 01:02 PM
คือเป็นคนที่มีความคิดที่ดีนะครับ
แต่ว่าเราคิดมากเกินไป วิธีแก้ไขก็คือไม่ต้องสนใจ
คิดว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นมันไม่มีความแน่นอน มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และก็ดับไป
มันก็เป็นอย่างนั้น
เมื่อก่อนผมก็เป็นแต่เดี่ยวนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว
อยากจะบอกคนตั้งกระทู้ว่าผมเป็นมากกว่าอีก แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้น
ครับ
ให้วางอุเบกขาแล้วใจจะสงบขึ้นเอง
#17
โพสต์เมื่อ 09 March 2009 - 03:51 PM
นอนไม่หลับไปเจ็ดวัน ต้องไปหาหมอกินยาคลายเครียด ตื่นไปทำงานไม่ได้ ชีวิตช่วงนั้น งง มาก
เหงื่อออกที่มือเท้า
ท้องเสีย
กลัวเวลาเดินทางคนเดียว เพราะกังวลไปหมด กลัวคิดไม่ดี กลัวเป็นบ้า ไปโน่นเลย
กลัวต้องพูดกลางที่สาธารณะ ขาดความมั่นใจ แต่ก่อนเป็นคนมั่นใจมาก
กลัวคิดไม่ดีมากๆจะทำไม่ดีด้วย
กลัวโน่นกลัวนี่ แบบไร้สาระ
ร้อนที่ท้อง ร้อนทั้งตัว
คิดแบบนี้มาเป็นปี ไม่รู้จะปรึกษาใคร เพราะไม่กล้าจะบอกใคร มันรู้สึกว่าทำไมเราเป็นแบบนี้
เป็นอย่างนี้มาเป็นปีๆ คิดดู ทรมานมากนะ
เวลาทำบุญก็อธิษฐานตลอด ขอให้พ้นจากความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่มันวิตกกังวล
เคยได้ฟังเคสหนึ่ง น้องเขาเป็นแบบนี้จนต้องไปหาจิตแพทย์
หลวงพ่อท่านบอกว่ามีอยู่ชาติหนึ่งคือว่าไม่เคารพพระรัตนตรัย เพราะอาจยังไม่รู้พระคูณของท่าน เลยทำให้คิดไปในทางลบแบบไม่ตั้งใจ ต่อมานับถือพระรัตนตรัย ก็เลยสำนึกผิด แต่ด้วยกรรมที่ทำบาปทางใจไว้ก็เลยต้องมารับกรรม ทำทางไหนรับทางนั้นจริงๆ แต่ท่านก็แนะนำให้ขอขมา แล้วนั่งธรรมะเยอะๆ สร้างบุญเยอะๆ มองโลกในแง่ดี คิดดีๆแทนเข้าไว้
ตอนฟังเคสจบก็มีกำลังใจนะ แล้วพอมาอ่านหนังสือจิตวิทยาจึงเข้าใจว่ามันเป็นปัญหาทางจิต จิตที่วิตกกังวลเกินเหตุ ซึ่งจริงๆแล้วมันได้มีอะไร เรามักจะคิดไปเอง นักจิตวิทยาบอกว่าอย่าไปบีบคั้นตัวเอง อย่าโทษตัวเองเวลาความคิดแบบนี้เกิดขึ้น แค่บอกตัวเองว่าเป็นความคิดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ และเราก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำเช่นนั้น ก็ปล่อยไป คือถ้าเรากดดันว่าเราผิด เราจะทุกข์อย่างหนัก จะนำไปสูภาวะเครียด กังวล ทำให้ทุกข์ได้
อย่ากักขังตัวเอง อย่าโทษตัวเอง เราก็เป็นคนมีโอกาสพลาดกันบ้าง แค่เรามีสติว่าเราก็เป็นคนดี จริงๆเราเป็นคนดีนะ เราถึงได้รู้สึกสำนึกผิดงัย
หลังจากนั้นเราก็ปลงๆ คิดไม่ดี ก็ช่างมัน ก็แค่ความคิดที่จะมาทำให้เราทุกข์ อยากคิดคิดไป แค่มองเฉยๆไม่ต้องไปตาม เชื่อไหมคนเราไม่ได้อยู่กับความคิดเดียวไปทุกนาที เราเปลี่ยนความคิดตลอดแหละ เพราะฉะนั้น คุณก็ไม่ได้คิดไม่ดีตลอด คุณก็ต้องคิดดีด้วยหล่ะ ไม่งั้นจะมาเป็นลูกหลวงพ่อเหรอ
มองตัวเองในทางบวก และเริ่มคิดบวกบ่อยๆช่วยได้นะ และก็ไม่ต้องคิดสั้นนะ ชีวิตก็ต้องสู้ สร้างบารมีกันต่อไป ถ้าท้อถอยก็โทรมาได้ 083-025 3372 ยินดีเป็นเพื่อนกัลยาณมิตรให้ทุกคนที่เป็นเหมือนกัน สู้ สู้ ต้องสู้ถึงจะชนะนะ
#18
โพสต์เมื่อ 13 March 2009 - 11:49 AM
เกิดมาทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี
#19
โพสต์เมื่อ 13 March 2009 - 06:29 PM
เกิดมาทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี
#20
โพสต์เมื่อ 16 March 2009 - 11:05 PM
มันคงเป็นกรรมเก่าของเรา และน่าจะเป็นเศษกรรมแล้ว โรคนี้หายได้ค่ะ
กับสัญนิฐานวิทยา ว่าเป็นมารเข้าแทรก บังคับให้ คิด พูด ทำ ที่หลวงพ่อบอก เค้าบังคับเราได้ค่ะ
ก็ให้สวดมนตรฺ์ ให้ใจนิ่ง เพราะใจนิ่งเป็นสมาธิดีจากการได้สวดมนต์ แล้ว
ก็ให้นั่งสมาธิ ต่อ สัก5-10 แล้วก็เพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยๆ แรกๆถ้าทรมานกับความคิด ก็ให้นึกถึงภาพเวลาที่เราได้ทำบุญใหญ่บุญที่เราปลื้มสุดๆ ก็จะแก้ไขได้บ้างไม่มากก็น้อยนะค่ะ
ถ้าได้นั่งสมาธิบ่อยๆ ก็จะดีขึ้นเองในทุกๆด้านค่ะ ถึงแม้ใครมาด่า ใจเราก็จะนิ่งเฉยไปเอง
ไม่ยินดียินร้าย ไม่ใส่ใจ เพราะใจเรามันไม่อยากใส่เอง มันจะเป็นของมันเองค่ะ เราแทบไม่ได้ทำไรเลย ไม่คิดสวนกลับ หร่อคิดโกรธ ร้อนใจ แถมฉลาดตอบแบบไม่รู้ตัวเองด้วยเหมือนกัน สิ่งที่มากระทบก็ไม่มีความหมาย มันก็จะกระเด้งกระดอนไปเองง่ะคะ แม้แต่ความคิดก็จะคิดแต่สิ่งดี มีแต่สุขดีที่หนึ่งเลย เพราะฉนั้นต้องหมั้นทำสมาธิไปเรื่อยๆ บ่อยๆ และก็ให้สังเกตดู
แล้วเราก็จะรู้ว่าเราผิดสังเกต เพราะตัวเราเองเป็นคนคิดมากเหมือนกัน แต่คิดว่าคงไม่เท่ากับคุณ แต่ก็ขอเอาใจช่วย
นะค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ และขอนุโมทนากับทุกบุญที่คุณได้ทำไว้ดีแล้วด้วยนะค่ะ
#21
โพสต์เมื่อ 26 August 2009 - 12:36 AM
ยังไงก็เอาใจช่วยเจ้าของกระทู้นะคับผม^^
#22
โพสต์เมื่อ 13 January 2010 - 09:18 PM
#24
โพสต์เมื่อ 04 July 2010 - 12:53 AM
เวรจากสุราเมรยมัชชะปมาทัฏฐานาด้วยครับ
คนเหล่านี้บางทีฝึกแต่สติ หรือฝึกให้บังคับความคิดมากๆ ฝึกตามดูความคิด หรือไปกำหนดมากไป ก็จะยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่ แต่ต้องนึกธรรมะแทนที่ครับ
...................................................
แก้ง่ายมากครับเคศนี้ จากประสบการณ์จริง แนะนำมาหลายท่านแล้ว หาย จนกลายเป็นเรื่องชิวๆ ขำๆ ไปเลย
ต้อง "หยุดในหยุด" ครับ หยุดเป็นตัวสำเร็จ หยุดชนะทุกอย่าง
วิธีการหยุด
1 นึกดวงแก้วสว่างแทน ณ 072
2 กำหนดลมหายใจกระทบดวงแก้ว
3 ภาวนา "สัมมาอะระหัง"
สุดท้ายใจมันจะปล่อยวางไปเอง
ให้ทำกิจกรรมธรรมะภาคขาวแทนที่
เช่น ฟังเพลงธรรมะ แล้วร้องตามด้วยใจสบายๆ ฟัง และ ท่องบ่นบทสวดมนต์ ทำทั้งวันครับ เรื่อยๆ หา mp3 dvd เอาไว้เลย เปิดตาม ฮัมเพลง ฮัมบทสวดมนต์แทน
คนเป็นโรคนี้อย่าไปตามดูจิตมาก อย่าไปตามดูอารมณ์มาก ให้เอาอารมณ์ดีๆเป็นธรรมะเข้าไปแทนที่ซะ หยุดแล้วปล่อยวางไปเองไม่ต้องกำหนดมัน
หากอะไรที่คิดไม่ดีไปแล้ว ให้บอกตัวเองว่า เราไม่ได้คิดหรอก ภาคมารมันคิด เราถือเอาแต่ความคิดที่ดีเป็นภาคขาวแทนถ้าภาคมารมันกระซิบอีกก็ช่างหัวมัน อย่าไปสนใจ ให้มันพูดไปเถอะ เราจะร้องเพลงธรรมะ เราจะท่องบทสวดมนต์ให้มันฟัง
แล้วปล่อยวางไปเองโดยอัตโนมัติ อย่าคิดว่าเป็นเวรกรรมอะไรเลยครับ เพราะภาคมารเขาส่งเสียงมา เราไม่เกี่ยว เราจะยังเสียงธรรมะขึ้นมาแทนคู่ไปกับมัน แล้วมันจะกลบเสียงมันไปเอง อย่าไปใส่ใจ ภาคมารมันไม่เหนื่อยส่งเสียงมาก็เรื่องของมัน ก็แค่เสียงนกเสียงกา สว่างๆๆๆ ใสๆๆๆ
ทางวิชชาธรรมกายเรียกสิ่งนี้ว่า อวิชชา ที่เขาสอดละเอียดมาเป็น เสียง ยืด ใย ยนต์ วิทยุ อายตนะ ลั่น แลบ ระเบิด
ดังนั้นอย่าไปตามอวิชชาครับ เรายังธรรมขาวอย่างเดียว หยุด ปล่อยวางไปเอง เอาธรรมะมาแทนที่ ไม่ต้องไปสนใจเขา
.................................................
ฟากการบ้าน 10 ข้อ ห้องมหาสิริมงคล 5 ข้อ และเทคนิกการปฏิบัติธรรม 5 ข้อ ไปหาดูนะครับ
สาธุครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#26
โพสต์เมื่อ 11 July 2010 - 02:54 PM
#27
โพสต์เมื่อ 12 July 2010 - 04:27 PM
ส่วนที่ว่าพอนั่งสมาธิแล้วฟุ้ง คิดโน่นคิดนี่ ก็ไม่ต้องกังวล มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่จะฟุ้ง ก็ปล่อยไป อย่าไปกดดัน แรกๆ ก็เป็นแบบนี้ นั่งสมาธิไม่ต่อเนื่องทุกวันก็เป็นแบบนี้ เมื่อสวดมนต์และนั่งสมาธิมากๆ เข้า ความฟุ้งที่ว่ามันจะหายไปเอง
และเมื่อรู้ตัวว่าเริ่มจะคิดไม่ดี ก็ให้ท่อง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง.... ไปเรื่อยๆ ท่อง สัมมาอะระหัง ไป จนกลบเสียงทางความคิดที่ไม่ดี
สู้ๆ นะคะ ยังไง เจ้าความคิดไม่ดี ต้องแพ้ สัมมาอะระหัง แน่ๆ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#28
โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 10:23 PM
#29
โพสต์เมื่อ 15 September 2010 - 03:51 AM
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป