กินอย่างไร ให้กาย-สมดุล
แหล่งอ้างอิง : สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
เรื่องกินยังต้องมาสอนกันอีกหรือ!
หามิได้ เพียงแค่เอาเรื่องใกล้ๆ ตัว เรื่องที่เราคุ้นเคยมาบอกกล่าวกันในอีกแง่มุมหนึ่งเท่านั้น
ต้องเข้าใจกันก่อนว่าเรื่องง่ายๆ แค่เอาอาหารใส่เข้าปากนี่แหละ ถ้าจะให้มีผลดีต่อสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ
ถือกันว่าต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ จึงกินได้อย่างมีสุข
ลองสังเกตการกินของคุณที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับแนวปฏิบัติที่กำลังจะบอกกล่าวกันนี้
ถ้าสนใจก็ลองทำดู ไม่ใช่กฎเหล็กที่บังคับให้คุณต้องทำ แต่ยามใดที่คุณตระหนักรู้และพร้อม
นั่นเป็นสัญญาณการเริ่มต้นที่ดีสำหรับคุณ
จงกินต่อเมื่อหิว ***
ว่ากันว่าการกินอาหารโดยที่อาหารมื้อก่อนยังไม่ถูกย่อยเต็มที่เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยหลายอย่าง
ตั้งแต่อาการพื้นๆ อย่างเช่น
เบื่ออาหาร ท้องอืด ไปจนถึงอาการเรื้อรังอย่างถ่ายอุจจาระทันทีหลังจากกินอาหาร เลือดจาง ปวดท้องบ่อยๆ
ถามว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารมื้อก่อนถูกย่อย
เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์ที่ถึงเวลาอาหารแล้วยังไม่รู้สึกหิว แต่ก็นั่นแหละถึงแม้ว่ายังไม่หิวเชื่อว่าหลายคนก็ยังคงกินเพียงเพราะถึงเวลาต้องกิน และในทางกลับกันคงมีบ่อยครั้งที่เรากินเพราะใจมันอยากมากกว่ากินเพราะหิว
ความหิวเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายกำลังต้องการอาหาร
เมื่อไรที่ไม่หิวก็แสดงว่าร่างกายยังไม่ต้องการ และที่ควรเน้นค่อนข้างมากก็คือ อย่ากินอาหารมื้อต่อไปจนกว่าอาหารในมื้อก่อนจะถูกย่อยเต็มที่แล้ว
ถามว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารมื้อก่อนถูกย่อยเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง
คำตอบก็คือสังเกตตัวเองว่ารู้สึกหิวหรือไม่ ถ้าหิวก็แสดงว่าอาหารมื้อก่อนหน้านั้นถูกย่อยดีแล้ว
แต่ถ้าถึงเวลาแล้วยังไม่รู้สึกหิวแสดงว่าไฟธาตุหรือระบบย่อยอาหารของเราเริ่มเสียสมดุล
ซึ่งถ้าเรากินอาหารเข้าไปอีก อาหารจะไม่ถูกย่อยอย่างเต็มที่ ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมเอาไปใช้ได้
ระหว่างความรู้สึกหิวกับใจมันอยาก บางครั้งอาจจะดูยาก ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเราหิวจริงหรือไม่
มีข้อแนะนำว่าจะลองอดอาหารสักมื้อสองมื้อ แล้วจะรู้จักว่าความหิวเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำว่าไม่ควรกินอาหารมื้อเช้าเช้ามากเกินไป หรือกินอาหารมื้อเย็นเสียจนค่ำเกินไป ตรงนี้ก็น่าจะสัมพันธ์กับระบบย่อยเหมือนกัน ถือถ้าเช้าเกินไปไฟธาตุเรายังไม่คึกคักเข้มแข็ง และถ้าค่ำเกินไปก็เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายกำลังจะพักผ่อนแล้ว
การกินอาหารค่ำหรือดึกเกินไปจะทำให้อาหารถูกย่อยไม่เต็มที่นั่นเอง
อย่ากินอาหารในขณะที่อารมณ์ผิดปกติ
อาหารหรือจิตใจที่แปรปรวนมีผลทำให้ไฟธาตุหรือระบบย่อยอาหารเสียสมดุล
นั่นหมายถึงว่าอาหารที่เรากินเข้าไปจะถูกย่อยได้ไม่เต็มที่
เพราะฉะนั้นแทนที่จะเป็นผลดีก็อาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้
อย่ากินอาหารทันทีหลังจากการออกกำลังกาย
ควรจะให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวเองก่อน อาจจะรอกระทั่งลมหายใจเริ่มเป็นปกติ และเรารู้สึกหายเหนื่อยแล้ว ถ้าจะให้ดีควรจะอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นก่อนแล้วค่อยมากินอาหาร
ข้อนี้รวมถึงว่าหลังจากกินอาหารแล้วไม่ควรออกกำลังกายโดยทันทีอีกด้วย
เพราะหลังจากกินอาหารแล้ว ร่างกายกำลังใช้พลังไปกับการย่อยอาหาร ถ้าไปออกกำลังกายอีกพลังในการย่อยอาหารจะลดลงทำให้อาหารถูกย่อยไม่เต็มที่ นอกจากนี้การออกกำลังกายทันทีหลังอาหารอาจทำให้เกิดอาการจุก เสียดหรือปวดท้องได้
อีกอย่างหนึ่งก็คือหลังจากกินอาหารแล้วไม่ควรอาบน้ำทันทีเช่นกัน
ไม่ควรทำกิจกรรมอื่นๆ ในระหว่างที่กินอาหาร
ขณะที่กินอาหารให้เราจดจ่ออยู่กับการกิน ถ้าอธิบายในแง่กายภาพก็เหมือนกับข้อที่แล้ว
คือระหว่างที่กินอาหารร่างกายต้องใช้พลังในการเคี้ยว การกลืน กระทั่งถึงการย่อยอาหาร
ถ้าเรากิจกรรมอย่างอื่นอีก เช่น อ่านหนังสือ ดูทีวี ฟังวิทยุ พลังในร่างกายก็จะกระจัดกระจายไป
อาหารอาจจะถูกย่อยไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น
เผลอๆ กินไปคุยไป หัวเราะไป อาจสำลักอาหารที่กำลังกลืนลงไปก็ได้
ถ้ามองในแง่จิตใจก็อาจอธิบายได้ว่า
ขณะที่เรากินอาหารก็ควรจะมีสมาธิอยู่กับการกินซึ่งถือว่าเป็นปัจจุบันขณะ หรือเป็นชีวิตทั้งชีวิตของเราในขณะนั้น
มีหลายคนที่ชอบกินข้าวไปก็อ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย หรือไม่ก็นั่งกินข้าวอยู่หน้าจอทีวี หรือฟังวิทยุไปด้วย ดูแล้วเหมือนกับว่าชีวิตต้องอยู่กับความเร่งรีบ ต้องทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กัน
น่าคิดว่าการกินอาหารพร้อมกับที่อ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยนั้น
จะทำให้เราได้สัมผัสและลิ้มรสอาหารได้อย่างแท้จริงหรือไม่
เวลากินอาหารควรนั่งกิน
ไม่ควรยืนกิน เดินกิน หรือนอนกิน และควรจะนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
คำแนะนำในเรื่องทิศนี้ศาสตร์อายุรเวทของอินเดียซึ่งถือเป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ของทางตะวันออก ถือว่าพลังของดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดของพลังความร้อนทั้งมวล
ซึ่งย่อมสัมพันธ์กับไฟธาตุอันเป็นพลังแห่งการย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป
สถานที่กินอาหารควรเป็นที่ๆ สงบ
มีบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกอยากอาหาร ไม่อึกทึกครึกโครม สะอาด มีแสงสว่างที่พอเหมาะ
เคยมีคนตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า จริงๆ แล้วคนเราจะทำอะไรก็ตามเรามักใช้ประสาทสัมผัสมากกว่าหนึ่งอย่าง หรืออาจพูดได้ว่าต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ตรงนี้น่าจะรวมถึงการกินด้วย
ถึงแม้ว่าเราจะใช้ลิ้นเป็นประสาทสัมผัสหลักในการรับรู้รสชาติของอาหาร
แต่ใช่หรือไม่ว่าถ้าตามองเห็นอาหารร้อนๆ มีควันลอยกรุ่นเพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ
จมูกของเราได้กลิ่นหอมของอาหาร หรือหูได้ยินเสียงพูดคุยที่รื่นรมย์ ทั้งหมดที่ว่ามาน่าจะมีส่วนทำให้อาหารมื้อนั้นเอร็ดอร่อยถูกปากถูกใจขึ้นมาทันตาเห็น
ตรงนี้อยากเล่าประสบการณ์ส่วนตัวสักหน่อยใกล้ๆ ที่ทำงานของมูลนิธิสุขภาพไทยมีตลาดแห่งหนึ่งเวลาเจ้าหน้าที่นอนค้างที่สำนักงานพอเช้ารุ่งขึ้น
ก็มักไปกินขนมจีนน้ำยาตรงเพิงเล็กๆ ใต้ร่มไม้ นอกเหนือจากรสชาติที่เอร็ดอร่อยแล้ว การพูดจาที่สุภาพเรียบร้อยและใส่ใจลูกค้าดูจะเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้พวกเรากลายเป็นลูกค้าขาประจำของเธอด้วย
ควรอาบน้ำหรืออย่างน้อยก็ล้างมือให้สะอาด
ข้อนี้ด้านหนึ่งคงเป็นเรื่องของสุขอนามัยทั่วๆ ไป แต่สังเกตว่าการได้ล้างมือ ล้างหน้า ล้างตาและล้างเท้าก่อนกินอาหารมีผลต่อจิตใจเราด้วยคือทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
พร้อมกันนั้นก็เหมือนกับเป็นช่วงผ่านให้เราได้ปรับจิตปรับใจจากกิจกรรมที่ทำมาก่อนที่จะกินอาหาร
ซึ่งกำลังกลายเป็นอดีตไปแล้ว มาสู่อนาคตที่กำลังกายเป็นปัจจุบันคือการกินอาหาร
เวลากินอาหารควรเคี้ยวให้ละเอียด ***
จริงๆ แล้วการย่อยอาหารเริ่มต้นตั้งแต่ในปากแล้ว
การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดย่อมทำให้อาหารถูกย่อยไประดับหนึ่ง
และที่สำคัญเมื่อลงสู่กระเพาะก็จะถูกย่อยได้เต็มที่ขึ้น
โดยทั่วไปแล้วมีข้อแนะนำเกี่ยวกับปริมาณอาหารที่กินว่า
ควรกินอาหารที่เป็นของแข็ง ประมาณหนึ่งในสองของห้อง (หรือกระเพาะ)
กินอาหารที่เป็นของเหลวหนึ่งในสี่ ที่เหลืออีกหนึ่งในสี่ให้เป็นที่ว่างเพื่อที่จะได้มีพื้นที่ว่างๆ ให้อาหารได้คลุกเคล้าได้ทั่วถึงในขณะที่กำลังถูกย่อย
อาหารควรถูกปรุงและเสิร์ฟโดยคนที่รัก
ตรงนี้ถ้ามองในแง่จิตวิทยาคงเป็นเรื่องของการดูแลเอาใจใส่จากคนที่มีความรักความห่วงใยและเอื้ออาทรในกันและกัน ย่อมปรุงอาหารที่ดีมีประโยชน์ทำด้วยความรักความเอาใจใส่ อาหารนั้นย่อมจะมีทั้งคุณค่าและรสชาติที่ดี
คิดว่าหลักการข้อนี้อาจไม่สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบันเท่าไร
โดยเฉพาะกับครอบครัวเดี่ยวที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นอกบ้าน และต้องฝากท้องไว้กับร้านอาหารนอกบ้าน ถ้าเป็นไปได้อาจต้องหาเวลาที่คนในครอบครัวได้ทำกับข้าวกินกันเองบ้างในกรณีนี้
ข้อแนะนำในการกินที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ถือเป็นกฎเหล็กที่ต้องยึดถือเป็นเกณฑ์ที่ตายตัว หากควรประยุกต์ดัดแปลงให้สอดคล้องกับสภาพร่างกายและจิตใจของเรา
ที่สำคัญเมื่อเราได้นำไปปฏิบัติแล้ว ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขและมีชีวิตชีวา และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่นำเราไปสู่ความเป็นองค์รวมของชีวิต .
จงกินต่อเมื่อหิว *** หากป่วย หรือกำลังโศกเศร้าใจ แม้ไม่หิว แต่ถ้าถึงเวลาอาหาร ก็ต้องกินนะครับ เพราะอาหารเป็น ยา
ตามธรรมชาติ และอาหารบางชนิด มีผลต่ออารมณ์ ให้สดชื่น กระปรี้ประเปร่า ได้
เวลากินอาหารควรเคี้ยวให้ละเอียด ***
พระอาจารย์ที่หมู่บ้านปฏิบัติธรรม เคยสอนให้สังเกตการเคี้ยวอาหารของแต่ละคนว่า
1 คำข้าว ควรเคี้ยวกี่ครั้ง แล้วจึงค่อยกลืนอาหารคำั้นั้้ัน
อาหารเช้า กี่คำอิ่มพอดี
อาหารกลางวัน กี่คำอิ่มพอดี เป็นต้น
ซึ่งอาหารแต่ละคำก็มีจำนวนเคี้ยวไม่เท่ากัน เช่น
ข้าวต้ม โจ๊ก เคี้ยว 10 - 12 ครั้ง แล้วกลืน
อาหารประเภททผัก 25 - 27 ครั้ง
อาหารเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก > 30 ครั้ง
ซึ่งตัวเลขของแต่ละบุคคลอาจไม่เท่ากัน
ถ้าจำนวนเคี้ยวอาหารเหมาะสมกับชนิดของอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงานพอดี ไม่หนักเกินไป
ร่างกายก็ดูดซึม สารอาหารได้เต็มประสิทธิภาพ
และเป็นการฝึกหาความพอดี เรื่องรู้ประมาณในการบริโภคอาหาร
นำไปสู่รู้ความพอดี ในการฝึกวางใจ อย่างไร นึกนิมิตหรือวางใจ แผ่วเบาแค่ไหน
ใจเราจึงสบายพอดี ไม่ใช่สบายคาที่ ( หลับ ) หรือ
ไม่ตั้งใจนึกนิมิตหรือวางใจหนัก จนตึง เกร็ง เครียด ซึ่งผิดวิธี
ศาสตร์ว่าด้วย การกิน
เริ่มโดย Dd2683, Mar 27 2006 03:00 PM
มี 3 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 27 March 2006 - 03:00 PM
#2
โพสต์เมื่อ 27 March 2006 - 10:35 PM
ขอบคุณ ครับ สาธุ
#3
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 02:45 AM
ขอบคุณค่ะ สาธุ จะเอาไปปฏิบัติ เพื่อสุขภาพค่ะ
"ถูกเสริฟด้วยคนที่เรารัก" น่าจะจริงนะว่ามันทำให้รู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ
ตอนนี้ไม่ได้รักใครเป็นพิเศษ แม้นแต่พ่อแม่ก็ต้องว่าอุเบกขา
แต่ว่ารักไปหมดทุกคนเลย (Loving Kindness)
ถ้างั้นก็ให้ใครเสริฟก็ได้นะคะ อิ อิ
"ถูกเสริฟด้วยคนที่เรารัก" น่าจะจริงนะว่ามันทำให้รู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ
ตอนนี้ไม่ได้รักใครเป็นพิเศษ แม้นแต่พ่อแม่ก็ต้องว่าอุเบกขา
แต่ว่ารักไปหมดทุกคนเลย (Loving Kindness)
ถ้างั้นก็ให้ใครเสริฟก็ได้นะคะ อิ อิ
The Strongest is The Gentlest!
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#4
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 02:54 AM
QUOTE
จงกินต่อเมื่อหิว ***
ถูกต้องนะครับ ก็เหมือนกับที่คุณยายน้ำหอมได้สอนคุณลุงถาวร (ลุงหนวด) ไว้ว่า "ถ้าหิวจงกิน ถ้าอยากอย่ากิน" ครับ