สหชาติ
#1
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 07:56 PM
เค้าเป็นอะไรมาก่อนครับ มาเจอพระพุทธเจ้าได้ไง
#2
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 08:44 PM
๑. พระนางพิมพายโสธรา ๒. พระอานนท์ ๓. กาฬุทายีอำมาตย์ ๔. นายฉันนะ มหาดเล็ก
๕. ม้ากัณฐกะ ๖. ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ๗. ขุมทองทั้ง ๔ (สังขนิธี, เอลนิธี,อุบลนิธี และ บุณฑริกนิธี)
ใครทราบตอบได้เลยครับ ผมขอตัวไปค้นคว้าก่อนครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#3
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 10:32 PM
ถูกต้องแล้วครับ
ส่วนเค้าเป็นอะไรมาก่อครับ มาเจอพระพุทธเจ้าได้ไง
ผมก็ไม่ทราบครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#4
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 03:19 AM
ต้องอธิษฐานร่วมกันมาไม่ใช่หรือคะ?
น้าจี้
#5
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 08:14 AM
#6
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 12:40 PM
#7
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 12:46 PM
ถูกส่วนหนึ่งน่ะครับ เพราะที่ได้กล่าวมานั้น เป็นหน้าที่โดยปกติของบุญซึ่งทำหน้าที่ในการดึงดูดอยู่แล้ว แต่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่มส่วนเสริม คือ "อธิษฐานบารมี" ลงไปด้วย จะได้เป็นเช่นดั่งเรือที่มีหางเสือยังไงล่ะครับ
#8
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 01:36 PM
อธิษฐานจิตด้วยพลังศรัทธาเต็มเปี่ยม ทุ่มเทชีวิตทุกขณะจิตเพื่อเป้าหมายใด
สิ่งนั้นก็จะบังเกิดเช่นนั้นจริง (เมื่อเวลาอันควรมาถึง)
มีอีกข้อคือ เป็นที่บุญบารมีของพระพุทธองค์ ท่านมีบุญมากสิ่งที่จะกระทบเกี่ยวข้องกับท่าน
จะต้องมีบุญที่เข้าล๊อกตรงลักษณะตามบุญของท่าน ต้องเป็นไปตามผลบุญท่านด้วย
หากเราต้องการเช่นใดจริงๆ ก็ต้องยอมปรับตนให้มีมาตรฐานบุญเราเป็นไปตามสิ่งนั้นด้วย
ถ้าจูนบุญไม่ตรง หรือรองรับไม่ได้ เบี้ยวออกไปด้วยทิฐิมานะตนเอง ก็จะไม่บรรจบกัน
อาจจะไปเป็นนั้นกับบุคคลอื่นที่ลงล๊อกกว่า หรือเป็นสิ่งอื่นแทนในที่สุดล
กำกับด้วยเวลา ผลเร็วหรือช้า อยู่ที่เราฝึกตนให้ตรงกับบทบาทหน้าที่ตรงนั้นเต็มทีหรือยัง
พร้อมรับหน้าที่และรับผิดชอบได้หรือไม่ค่ะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#9
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 05:11 PM
[๑๓๖] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ไป พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระผู้มี
จักษุในธรรมทั้งปวง เป็นผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์เป็นครู
ผู้ประเสริฐกว่าพวกผู้นำ เป็นพระพิชิตมารผู้เข้าใจสิ่งดีและสิ่งชั่ว
แจ้งชัด และเป็นคนกตัญญูกตเวที ย่อมประกอบสัตว์ทั้งหลายเข้าใน
อุบาย อันเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน พระองค์ทรงรู้ธรรมทั้งปวง เป็น
ที่อาศัยอยู่แห่งความเอ็นดู เป็นที่สั่งสมแห่งอนันตคุณ ทรงพิจารณา
ด้วยพระญาณนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ ..........
........ครั้งนั้น เราเกิดในสกุลอำมาตย์ในพระนครหงสวดี เป็นผู้นำมาซึ่งความเลื่อมใส น่าดู มีทรัพย์และธัญญาหารเหลือล้น
เราเข้าไปยังพระวิหารหังสาราม ถวายบังคมพระตถาคต พระองค์นั้น ได้สดับธรรมอันไพเราะ และทำสักการะแด่พระผู้คงที่
หมอบลงแทบบาทมูลแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมุนีผู้มีความเพียรใหญ่ ภิกษุใดในศาสนาของพระองค์ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ฝ่ายผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นเหมือนภิกษุนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเถิด ครั้งนั้น พระศาสดา
ผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา เมื่อจะเอาน้ำอมฤตรดเรา ได้ตรัสกะเราว่า ลุกขึ้นเถิดลูก ท่านจะได้ฐานันดรนี้สมมโนรถปรารถนา
บุคคลทำสักการะในพระพิชิตมารแล้ว จะพึงเป็นผู้ปราศจากผลอย่างไรได้เล่า ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม
ผู้สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านจักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอัน
ธรรมเนรมิตร จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่า กาฬุทายี
ครั้งนั้น เราได้สดับพระพุทธยากรณ์แล้ว เป็นผู้เบิกบานมีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารซึ่งเป็นผู้นำชั้นพิเศษ
ด้วยปัจจัยทั้งหลาย ตราบเท่าสิ้นชีวิต เพราะวิบากของกรรมนั้นและเพราะตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ก็ในภพสุดท้าย ในบัดนี้ เราเกิดในสกุลมหาอำมาตย์ ของพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าสุทโธทนะ ในพระนครกบิลพัสดุ์ อันรื่นรมย์ ครั้ง
นั้น พระสิทธัตถราชกุมารผู้ประเสริฐกว่านรชน ได้ประสูติแล้ว ที่สวนลุมพินีอันรื่นรมย์ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่โลกทั้งมวล
เราก็เกิดในวันเดียวกัน เติบโตมาพร้อมกันกับพระสิทธัตถราชกุมารนั้นแหละ เป็นสหายรักใคร่ชอบใจของกัน คุ้นเคยกัน ฉลาดในทางนิติบัญญัติ ....
ที่มา : http://84000.org/tip...3&A=3763&Z=3824
****************************************************
......[๘๙๒] อลาตเสนาบดีเป็นพระเทวทัตต์ สุนามอำมาตย์เป็นพระภัททชิวิชยอำมาตย์เป็นพระสารีบุตร วีชกบุรุษเป็นพระโมคคัลลานะ
สุนักขัตตะเป็นลิจฉวีบุตร คุณาชีวกเป็นอเจลก พระนางรุจาราชธิดาผู้ทรงยังพระราชาให้เลื่อมใส เป็นพระอานนท์ พระเจ้าอังคติราชผู้มีทิฐิชั่ว
ในกาลนั้นเป็นพระอุรุเวลกัสสปะ มหาพรหมโพธิสัตว์เป็นเราตถาคต ท่านทั้งหลายจงทรงชาดกไว้ด้วยประการฉะนี้แล ฯ
ที่มา : http://84000.org/tip...8&A=5180&Z=5625
สรุปคือ อดีตชาติของสหชาตินั้นเคยเกิดเป็นญาติพี่น้องคู่ครองหรือมีความเกี่ยวพันธ์กับพระพุทธเจ้ามาโดยตลอด แต่เท่าที่ผมพอจะจำได้คือ
* พระนางพิมพายโสธรา อดีตชาติใกล้สุด คือ พระนางมัทรี / ตถาคต คือ พระเวสสันดร
* พระอานนท์ อดีตชาติ คือ พระนางรุจาราชธิดา / ตถาคต คือมหาพรหมโพธิสัตว์
* กาฬุทายีอำมาตย์ อดีตชาติ คือ อำมาตย์ในพระนครหงสวดี ไปจุติต่อดาวดึงส์เทวโลก / ตถาคต คือ พระโพธิสัตว์ในดุสิตเทวโลกที่รอมาบังเกิดเป้นพระพุทธเจ้า
* นายฉันนะ มหาดเล็ก อดีตชาติ คือ นายสารถีที่พาพระเตมีย์กุมารไปฝังนอกเมือง /ตถาคต คือ พระเตมีย์กุมาร
* ม้ากัณฐกะ (อันนี้ยังค้นหาไม่เจอครับใครทราบช่วยค้นต่อด้วยครับ)
#10
โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 11:34 PM
ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#11
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 12:40 AM
#12
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 10:54 AM
ย้อนหลังไป 4 อสงไขย แสนมหากัปที่แล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นชายหนุ่มชื่อว่า สุเมธ ท่านเห็นภัยในสังสารวัฏ ดังนั้นพอบิดามารดาสิ้นชีวิต ท่านก็สละทรัพย์สมบัติทั้งหมด ยกให้คนทั้งหลาย แล้วก็ออกบวชเป็นดาบสอยู่ในป่า บำเพ็ญสมาธิ ยังฤทธิ์อภิญญาให้เกิดขึ้น วันหนึ่งขณะที่กำลังเหาะผ่านเมืองหนึ่ง เห็นผู้คนกำลังสร้างหนทางกันมากมาย จึงลงไปถาม ทราบความว่า พระพุทธเจ้าทีปังกร บังเกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเสด็จมาทางนี้
สุเมธดาบส ได้ฟังก็ปิติมาก จึงอาสาลงไปช่วยสร้างทางด้วย แต่ไม่ต้องการใช้ฤทธิ์ จึงทำด้วยตัวเอง ขณะนั้น พระพุทธเจ้าก็เสด็จมา สุเมธดาบสยังทำทางไม่เสร็จ จึงเอาตัวนอนลงไปให้พระพุทธเจ้าข้ามตัวเองแทนถนน (ที่ยังไม่เสร็จ) พระพุทธเจ้าจึงทรงพยากรณ์ว่า อีก 4 อสงไขยแสนกัปข้างหน้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า นามว่า โคดม
ชาวเมืองก็ดีใจกล่าวสาธุการ และนึกในใจว่า ถ้าเราไม่อาจบรรลุธรรมในยุคของพระพุทธเจ้าองค์นี้ ก็ยังจะมีพระพุทธเจ้าองค์หน้าต่อๆไป ขณะนั้นเอง มีผู้หญิงคนหนึ่ง ได้กล่าวอธิษฐานขึ้นว่า "ด้วยบุญที่ทำมา นับตั้งนี้ไป ขอให้ได้เป็นภรรยาสุเมธดาบสไปทุกชาติ ตราบบรรลุนิพพาน"
สุเมธดาบสได้ฟัง ก็ร้องห้ามว่า "น้องหญิง เธออย่าอธิษฐานแบบนี้เลย" แต่พระพุทธเจ้าทีปังกร ท่านตรัสว่า ให้นางอธิษฐานไปเถิด นางนี่แหละ ที่จะมีส่วนสำคัญช่วยให้ท่านบรรลุธรรมในอนาคต เพราะในชาติที่ท่านต้องบำเพ็ญมหาทานบารมีอย่างยิ่งยวด คือ บริจาคบุตร ภรรยาเป็นทาน ท่านก็จะได้นางนี่แหละ ช่วยให้การบำเพ็ญบารมีของท่านสมเร็จสมปรารถนา
นับแต่นั้นมา เมื่อใดที่ได้มาเจอกัน นางก็จะได้เป็นภรรยาของสุเมธดาบสไปทุกชาติ ชาติที่สุเมธดาบส เป็นพระเวสสันดร ก็ได้บริจาคภรรยา คือ นางมัทรี เป็นมหาทาน ซึ่งก็คือนาง
และชาติสุดท้ายนางก็ได้มาเกิดเป็นพระนางพิมพานั่นเอง
#13
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 12:41 PM
หากชาติไหน เกิดมาเป็นผู้หญิง จงมีน้ำใจอยู่ในกุศลธรรม
ฝึกเข้มแข็งให้เป็นยอดหญิงได้เหมือนพระนางพิมพา
แล้วอธิษฐานว่า ต่อไปในกาลหน้า
ขอให้ได้เกิดเป็นชาย ได้บวช
ขอให้ผู้หญิงที่มาเกิดรอบข้าง ไม่ว่าแม่ ญาติพี่น้อง บริวารหญิง
จงมีแต่ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ มีกุศลจิต ยินดีในการบวชของเรา
และร่วมเกื้อกูลในการสร้างบารมีของเราและของพวกเค้า
เพื่อยังกายมหาบุรุษให้เป็นจริง รวมพลังไปสู่ที่สุดแห่งธรรมด้วยเถิด
ฉะนั้นแม้นไม่ได้เจ้าชู้มานานแล้ว แต่ถูกละอองกรรมดีดใส่ตอนเกิด
พอดีเผลอไปนิด ยกโล่ห์บุญบารมีที่บำเพ็ญเนกขัมมากันไม่ทัน
เกิดมาแล้วอย่าหดหู่เสียใจเกินไปนะคะ จงองอาจร่าเริงที่จะเป็นยอดหญิง
ยินดีสละละวาง ประพฤติพรหมจรรย์ มีใจสดชื่นแจ่มใสในตน
ผู้หญิงก็บ่มบารมี 30 ทัศได้ ทนชาตินี้ชาติเดียว (อาจจะนะคะ พยายามค่ะ)
ทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุดในความเป็นยอดหญิง 200%++
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับการบวชบำเพ็ญธรรมของพุทธบุตรทุกๆรูปเจ้าค่ะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#14
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 03:22 PM
แต่มีผู้หญิงมาอธิษฐานให้ได้เป็นภรรยาทุกชาติแบบนี้ ผลจะออกมาเป็นยังไงค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 04:31 PM
#16
โพสต์เมื่อ 31 March 2006 - 09:11 PM
ถ้าพระพุทธเจ้าทีปังกร ไม่ได้ทรงพุทธพยากรณ์ให้พระนางพิมพาในชาตินั้น
ท่านสุเมธดาบส ก็ปรารถนาจะไม่มีคู่อยู่แล้ว ก็จะไม่มีพระนางพิมพาในพุทธประวัติ
การที่พระบรมโพธิสัตว์ ท่านตั้งอธิษฐานขอบำเพ็ญเนกขัมบารมีตลอดไป
ก็ถือว่าเป็นการบริจาคคู่ครองและบุตรธิดาไปด้วยเช่นกัน
เพราะการที่ยังยึดติดถือมั่นแก่กัน ให้รับบทบาทการเป็นคู่ครองและบุตรธิดา
ถือว่าเป็นการยืดถือไว้เป็นสมบัติส่วนตน เป็นความสุขส่วนตน ที่พึงสละเสีย
ฉะนั้นการบำเพ็ญเนกขัมบารมี ถือว่าท่านบำเพ็ญบารมียิ่งยวดเพื่อสละสุขส่วนตน
บริวารที่เป็นคู่ครองและบุตรธิดาเหล่านั้น ซึ่งมีบุญและความผูกพันกันมาก็จะถูกแปลง
ไปเป็นบุญต่อกันในบทบาทอื่นแทนได้ เช่นอาจจะเป็นอัครสาวกที่ใกล้ชิดก็ได้
สรุปว่า ถึงแม้นว่าพระพุทธองค์หลายๆพระองค์ จะกระทำการบริจาคคู่และบุตรธิดา
แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นแบบฉบับตายตัว
จุดประสงค์อยู่ที่ การสละความสุขส่วนตนในสิ่งเหล่านี้
ซึ่งการบำเพ็ญเนกขัมบารมี ก็เป็นต้นฉบับเพื่อการสละความสุขส่วนตนอยู่แล้ว
และเข้มข้นขึ้นด้วย ถ้าสละได้ตลอดก่อนที่จะถึงพระชาติที่พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ตามความเข้าใจ...
สำหรับสตรีที่มีความปรารถนาในทำนองเดียวกันกับพระนางพิมพา แต่ไม่ได้พุทธพยากรณ์...
เพราะพระบรมโพธิสัตว์ท่านมีบุญบารมีมากกว่าคนที่อธิษฐานขอเป็นคู่ของท่าน
หากท่านไม่ได้ยินดียินยอมที่จะมีคู่ อธิษฐานกำกับไว้อย่างเหนียวแน่นอยู่แล้ว
สตรีที่อธิษฐานก็ต้องยอมรับว่าต้องผิดหวังจากท่านไป ถึงจะมีบุญมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ด้วยบุญที่สตรีท่านนั้นทำมามากและไม่เรื่องมากเกินไป ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นใคร
แค่ขอให้มีนิสัยลักษณะ/บุญบารมีแบบนี้ ได้ร่วมบุญบารมีในบทบาทแบบนี้(เป็นคู่ครอง)
เมื่อบุญส่งผลก็อาจจะไปสมพงศ์กับผู้มีบุญบารมีที่ไม่ได้คิดบำเพ็ญเนกขัมบารมี
และมีลักษณะ/ระดับบุญที่ตรงกัน และไม่ได้มีบุญของสตรีใดทีสูงกว่ามาล๊อกตรงนี้ไว้
ตัวอย่าง นางวิสาขา ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านก็มีคู่บุญของท่าน เป็นมหาเศรษฐีอยู่แล้ว
แต่ท่านไม่ได้อธิษฐานยึดถือคู่บุญไว้ว่าต้องไปเกิดใหม่ด้วยกัน บุญจากมหาทานบารมีของท่าน
ก็นำท่านไปเกิดเป็นอัครมเหสีของท้าวนิมมานรดี ซึ่งคู่ของท่านสมัยเป็นมนุษย์ไปเกิดที่ใด...(ไม่รู้ค่ะ)
เมื่อมาเกิดครั้งหน้า บุญของท่านก็ส่งให้มาเป็นไปตามที่ท่านอธิษฐาน อีกทั้งตามพุทธพยากรณ์ด้วย
คือ ได้เป็นมหาเศษฐีนีชั้นเลิศได้อีกในพุทธกาลหน้าอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้กำหนดว่าคู่ต้องเป็นใคร
ใครมีบุญรองรับมหาเศรษฐีนีท่านนี้ได้ ก็เป็นไปตามตรงนั้น
(นางวิสาขาไม่เน้นเรื่องนี้ว่าคู่บุญต้องเป็นใคร เน้นเฉพาะบทบาทมหาเศรษฐีนีคู่บุญของพระพุทธองค์)
ขอผู้รู้ชี้แนะด้วยนะคะ
#17
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 09:09 AM
แต่ถ้าบำเพ็ญเนกขัมมะบารมีอย่างยิ่งยวด ไม่มีภรรยาทุกชาติ (ปัจจุบันก็มีตัวอย่างอยู่ครับ) นั้นต้องบำเพ็ญบารมีไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดแห่งธรรมกันเลยน่ะครับ
#18
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 10:40 AM
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด