เทวดาเค้าเสพกามมนุษย์กันมั๊ย
#1
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 01:05 PM
แล้ววันๆเทวดาเค้าทำอะไรบ้าง
#2
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 02:09 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 03:01 PM
โดยภพที่ที่ยิ่งสูงขึ้นการเสพกามจะยิ่งละเอียดขึ้นไปตามลำดับ (ภพที่ใกล้มนุษย์เช่นจาตุชั้นล่างจะคล้ายกับเมืองมนุษย์)
.........แต่เป้าหมายของเราคือวงบุญพิเศษ ภพแห่งผู้เห็นภัยในวัฏฏะมุ่งปราบต้นดำ..............
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#4
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 04:06 PM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 04:11 PM
1. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา เสพกามแบบมนุษย์ หรือ พิสดารยิ่งกว่ามนุษย์ เพราะเทวดาบางตนมีอวัยวะทั้งแบบเพศหญิง และเพศชาย อยู่ในร่างเดียวกัน เสพกามได้ทั้ง 2 แบบด้วย เทวดากระเทยอยู่ในชั้นนี้ทั้งหมด
2. เทวดาชั้นดาวดึงส์ เสพกามแบบมนุษย์ มีน้ำเป็นที่สุด
3. เทวดาชั้นยามา เสพกาม โดยการสวมกอดกัน เพียงแค่นี้ก็บรรลุถึงความปรารถนา
4. เทวดาชั้นดุสิต เสพกาม โดยการกอดหลวมๆ แบบเพื่อนกัน ก็สมปรารถนา
5. เทวดาชั้นนิมมานรดี เสพกาม โดยการจับมือกัน ก็สมปรารถนา
6. เทวดาชั้นปรนิมมิสวสวตี เสพกาม โดยการมองตากัน ก็สมปรารถนา
ข้อสังเกตุ พออยู่บนสวรรค์ชั้นสูงๆ ขึ้นไป ทุกอย่างบนสวรรค์จะประณีตขึ้น ทำให้ความปรารถนาที่จะต้องเสพกามแบบมนุษย์จะลดน้อยลงไป
7. เหล่าพรหม และอรูปพรหม มีความสุขจากอำนาจสมาธิที่ตนได้บรรลุ ไม่เสพกาม
#7
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 04:51 PM
เล่ม ๒๓ หน้า ๓๘๓
ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร อาวุโสทั้งหลาย
นิพพานนี้เป็นสุข พอพูดอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโสสารีบุตร
นิพพานนี้ไม่มีเวทนาจะเป็นสุขได้อย่างไร ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกร อาวุโส
นิพพานนี้ไม่มีเวทนานั่นแหละเป็นสุข
ในหน้า ๓๘๔ กล่าวต่อไปถึงภิกษุเข้าปฐมฌาน แล้วสรุปว่า ดูกร
อาวุโสนิพพานเป็นสุขอย่างไรท่านจะพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้ แล้วท่านก็ไล่ไต่ไป คือ ทุติยฌาน ตติยฌาน
จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ จบด้วย อีกประการหนึ่ง
ภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธเพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะฌานโดยประการทั้งปวง อาสวะทั้งหลายของเธอสิ้นรอบแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา ดูกร อาวุโส
นิพพานเป็นสุขอย่างไรท่านพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้
พึงสังเกตว่า
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่าสุขในฌานก็ถือโดยปริยายได้ว่าคล้ายกับสุขในนิพพาน ข้อนี้แสดงว่าท่านพระสารีบุตรต้องเคยสัมผัสพระนิพพานมาแล้ว จึงอธิบายได้ว่าคล้ายๆ
สุขในฌานนั่นแหละ(เพราะการได้ฌานจะต้องระงับเวทนาทั้งหลายเสียก่อนจึงจะเป็นฌานได้)
เล่ม ๒๐ หน้า ๙๐ (พระพุทธดำรัส)
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สุข ๒ อย่างนี้ ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สุขของคฤหัสถ์ ๑
สุขเกิดแต่บรรพชา ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สุข ๒ อย่างนี้แล ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสุข ๒ อย่างนี้
สุขเกิดแต่บรรพชาเป็นเลิศ
ต่อไป ท่านยังมีจำแนกไว้อีกหลายคู่ ดังจะแสดงโดยย่อต่อไปนี้
(อย่างหลังเป็นเลิศทุกข้อ)
- กามสุข ๑ เนกขัมมสุข ๑
- สุขเจือกิเลส ๑ สุขไม่เจือกิเลส ๑
- สุขมีอาสวะ ๑ สุขไม่มีอาสวะ ๑
- สุขอิงอามิส ๑ สุขไม่อิงอามิส ๑
- สุขของปุถุชน ๑ สุขของพระอริยเจ้า ๑
- กายิกสุข ๑ เจตสิกสุข ๑
- สุขอันเกิดแต่ฌานที่ยังมีปีติ ๑ สุขอันเกิดแต่ฌานที่ไม่มีปีติ ๑
- สุขเกิดแต่ความยินดี ๑ สุขเกิดแต่ความวางเฉย ๑
- สุขที่ไม่ถึงสมาธิ ๑ สุขที่ถึงสมาธิ ๑
- สุขเกิดแต่ฌานที่มีปีติเป็นอารมณ์ ๑ สุขเกิดแต่ฌานไม่มีปีติเป็นอารมณ์ ๑
- สุขที่มีความยินดีเป็นอารมณ์ ๑ สุขที่มีความวางเฉยเป็นอารมณ์ ๑
- สุขที่มีรูปเป็นอารมณ์ ๑ สุขที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ ๑
ความจริงความสุขอย่างที่เราเข้าใจว่าเป็นกิเลสนั้น ก็คือที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า กามสุข นั่นเอง
เรามักจะไม่เข้าใจถึงความสุขอย่างอื่น เข้าใจเอาว่ามีแต่กามสุขอย่างเดียว
ความสุขในฌาณ คือสมาบัติ ๘ และสัญญาเวทยิตนิโรธ ที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า
เป็นความสุขของพระนิพพานโดยปริยายนั่นเอง สุขเช่นนี้คนที่ไม่เคยปฏิบัติ
หรือปฏิบัติอธิจิตในไตรสิกขาแต่ยังไม่ได้ผล จะไม่มีทางเข้าใจได้ตรงกับที่ตรัสไว้อย่างสม่ำเสมอว่า
ธรรมของพระพุทธเจ้าปฏิบัติแล้วจึงจะเข้าใจได้ เช่นเดียวกับคนทั่วไปกำลังปฏิบัติในการสัมผัสกามสุข
ย่อมเข้าใจได้ว่ากามสุขนั้นสุขอย่างไร
เล่ม ๑๓ หน้า ๑๖๔ ทรงกล่าวกับท่านอุทายีว่า
ดูกร อุทายี กามคุณ ๕ เหล่านี้ กามคุณ ๕ เป็นไฉน คือ รูป
เสียง.....โผฏฐัพพะอันพึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่สัตว์ปรารถนารักใคร่ ชอบใจ เป็นสิ่งน่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด กามคุณห้านี้แล อุทายี ความสุขโสมนัสที่เกิดเพราะอาศัยกามคุณ ๕ นี้
เรากล่าวว่ากามสุข ความสุขไม่สะอาด ความสุขของปุถุชน ไม่ใช่สุขของพระอริยะอันบุคคลไม่ควรเสพ ไม่ควรให้เกิดมี
ไม่ควรทำให้มาก ควรกลัว แต่สุขนั้น
ดูกร อุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาณ.....(ถึงจตุตถฌาณ).....ฌาณทั้ง ๔ นี้ เรากล่าวว่า ความสุขเกิดแต่การออกจากกาม
ความสุขเกิดแต่ความสงัด ความสุขเกิดแต่ความสัมโพธิ อันบุคคลควรเสพ ควรให้เกิดมี ควรทำให้มาก ไม่ควรกลัวแต่ความสุขนั้น
ดังนี้ ในอันดับต่อไปตรัสว่า อย่าอาลัยในฌาณ ๔ ให้ก้าวขึ้นไปถึงอรูปฌาณ ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ
ก็เป็นอันแจ่มแจ้งว่า ความสุขมี ๒ ประเภท ความสุขในกามคุณ ๕ เรียกว่า
กามสุขเราเข้าใจ และรู้ว่าเป็นกิเลส แต่เมื่อท่านกล่าวถึงสุขในนิพพาน เราก็เอากามสุขนี้เข้าไปจับ
จึงสรุปว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นกิเลส ซึ่งความจริงแล้วสุขในนิพพานคือสุขจากการทิ้งกามคุณ ๕ ทิ้งกิเลส นั่นเอง
#8
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 07:47 PM
2. เทวดาชั้นดาวดึงส์ เสพกามแบบมนุษย์ มีน้ำเป็นที่สุด
เทวดาที่มีการเสพกามแบบมนุษย์ มีน้ำเป็นที่สุด คือ เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา นะครับ เนื่องจากในสวรรค์ชั้นนี้สามารถปฏิสนธิเกิดได้ทั้ง ๔ แบบ (โยนิ ๔ ได้แก่ อัณฑชะ ชลาพุชะ สังเสทชะ และโอปปาติกะ) ส่วนเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น มีเพียงกำเนิดเดียว คือ โอปปาติกะ ดังนั้น การเสพกามจึงเป็นไปแบบมนุษย์ แต่ไม่มีการหลั่งสุกกะ (น้ำอสุจิ) ออกมาเสียมากกว่าครับ
#9
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 09:24 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#10
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 10:29 PM
ผมยังไม่รู้ลึกขนาดนี้เลย
แต่ก็ สาธุ ที่ให้ความรู้ผมนะครับ
สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#11
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 10:52 PM
น้าจี้
#12
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 02:08 AM
ตรวจดูได้ด้วยเอาจิตเข้าไปดูค่ะ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ
ลองนึกๆดูนะคะ ด้วยความเป็นมนุษย์อย่างเรานี่หละ
ยกตัวอย่างคนกลุ่มหนึ่ง ผู้ชายผู้หญิงที่มีสัมมาทิฐิ ใจงดงาม มีจิตใจค่อนข้างจะโรแมนติกซ์ไว้ก่อนนะคะ
พวกเค้ามีใจกุศล ไม่ชอบโกรธโมโหใคร เชื่อเรื่องคู่ครองที่ดีงาม เรื่องเจ้าชายเจ้าหญิง เรื่องที่สวยๆงามๆ
ยกไว้เป็นตัวอย่างเพราะว่าจะมีจิตใจ ใกล้เคียงเทวดานางฟ้า และยังติดใจในความสุขจากกามหนะค่ะ
พวกเค้าตั้งแต่เด็กๆ ก็อาจจะฝันหวาน ว่าโตมาจะเจอเนื้อคู่/คู่บุญของตน ก็มีความคิดดีๆนิสัยดีๆ
มีแต่คิดว่าจะเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี เพื่อไปเจอคู่ของตน พอโตขึ้นเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเต็มตัว
โดยบังเอิญ ได้พบใครคนหนึ่ง ปิ้ง ความรู้สึกสุขครั้งแรกเจอ มันดีใจปิติมาก สบตามองตากันด้วยความหวานแหว่ว ละเอียดอ่อน ไม่ได้คิดหยาบคายแก่กัน เธอคนนี่แหละ ดีกรีความสุขมันสูงปี๊ด ยังไม่มีความคิดอะไรมาใส่ให้หนักใจ ว่าเธอเป็นใคร ลูกใคร ที่ไหน ทำยังไงต่อไป มีแต่ความรู้สึกว่ารักมากไม่อคติเลย บริสุทธิ์ใจมากที่สุด
ความสุขของคู่รักเมื่อแรกเจอ ของชายหญิงที่เตรียมตัวมาพบกันเป็น 20ปี ด้วยการเตรียมความละเอียดอ่อนจิตใจมานาน ยังคงมีแต่บริสุทธิ์ใจ ไม่มีโกรธโมโหอคติแก่กัน ไม่ได้พบมานาน เก็บบุญใฝ่ฝันมานาน อาจจะยกเป็นตัวอย่างของความสุขสูงสุดจากกามสุขที่มีอยู๋ในชั้นปรนิมมิสวสวดี
เมื่อเริ่มรู้จักกัน คบกันไปก็ใช้บุญเก่าไป ความสุขความรักของคู่บุญก็เริ่มปรับระดับลง เพราะว่าต้องเริ่มคิดถึงอนาคต พ่อแม่พี่น้อง ความสุขมันไม่ปิ้งปั๊งน่าตื่นเต้นเหมือนครั้งแรกที่เจอกันแล้วสิ ถ้ายังมีบุญต่อกันอยู่ด้วยดี ความตื่นเต้นหมดไปแต่ก็มีความรักแบบเป็นมิตร ว่าอะไรก็ว่าตามกันนะ ความสุขด้วยการจับมือ สวดกอดกัน ก็ยังถือว่าเรารักกันดีอยู่อย่างสมปรารถนา มั่นคงจิตใจ อุ่นใจต่อกันด้วยมิตรไมตรี
ถ้าเรายิ่งไปดู กลุ่มหญิงชายที่มีกรรมต่อกัน ที่เราเห็นอยู่ในสังคมการร่วมเพศเป็นความนิยมของเค้า เพราะสภาพจิตใจมันหนักไม่โปร่งเบาเต็มไปด้วยกิเลศมาก กายละเอียดเค้ามันติดบาปเคราะห์ไปเยอะ ความจริงใจจริงจังมีต่อกันน้อยลงมาก แล้วถ้ายิ่งเข้าไปดูในเว๊ป xxx ดูแล้วก็ยิ่งพิเลนมากอย่างที่คิดไม่ถึงเลยว่า ความสุขของเค้าต้องหากันแบบนั้นเลยหรือ แม้นแต่กับสัตว์ยังไม่เว้น
มันละเอียดค่ะไม่รู้จะอธิบายให้มันชัดยังไง
แต่ถ้าคนที่ค่อนข้างจะโรแมนติกซ์ จิตใจละเอียดแต่ยังอย่ในกาม จะรู้ว่าเค้าชอบดูละคร
ความรักที่บริสุทธิ์แบบเจ้าชายสุดหล่อกับเจอเจ้าหญิงสุดสวย ทั้งคู่จิตใจดีงาม มีศีลธรรมเมตตาต่อคนอื่น
ตอนแรกพบกัน มันเหมือนกับมีดอกไม้โปรยลงมา แต่งตัวสวยหล่อดูเรียบร้อยปราณีต
แววตาที่มองกันมันวาบหวาม ใจข้างในมันวูบวาบ ตื่นเต้นปิติ ไม่ได้เจอกันมานานมันสุขล้น
ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงาม ผุดผ่องสว่างไสวเป็นประกายซอฟท์ๆ หน่อย เปรียบดั่งอยู่ในสวรรค์
จะรู้ว่ามันเป็นขั้นละดับของกามสุขแบบนี้ ก็พ้นจากกามสุข เริ่มเข้าปฐมฌาณค่ะ
แล้วจะเข้าไปดูไปวัดได้ โดยไม่สับสน วัดดูจากความปราณีตโปร่งเบาของกุศลจิต
ขอผู้รู้ชี้แนะด้วยค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 10:19 AM
ส่วนคุณ Merry Mar ถ่ายทอดความเข้าใจเรื่องความละเอียดประณีตของใจได้ดีมากครับ
#14
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 01:29 PM
#15
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 03:07 PM
ช่วยตอบหน่อยคัพ
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#16
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 03:15 PM
ชั้นดุสิตมีการเสพกามกันด้วยเหรอคะ
หนูเคยไปอ่านเจอว่าไม่มีนะคะ
เว็บของวัดนี่ล่ะ
สรุปว่ายังไงคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#17
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 03:26 PM
6. เทวดาชั้นปรนิมมิสวสวตี เสพกาม โดยการมองตากัน ก็สมปรารถนา
ถ้าจับมือแล้วเสร็จสม หรือสบตาแล้วเสร็จสม แบบนี้เทวดานางฟ้ามีโอกาสละเมิดความรักในคู่ครองคนอื่นหรือผิดศีลกาเมได้แบบง่ายๆ หรือไม่ครับ เพราะแค่จับมือก็ถือว่าสมปรารถนาแล้ว ถ้าบังเอิญผมไปเจอนางฟ้าบนสวรรค์เข้าแล้วขอจับมือหมดทุกนางเลยแบบนี้ก็ตกเป็นเมียผมหมดสิครับ 5555+
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#18
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 03:35 PM
อันนี้ก็คงอยู่ที่ความตั้งใจด้วยนะคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#19
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 03:40 PM
#20
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 04:23 PM
ที่ถามว่า ชั้นดุสิต มีการเสพกามหรือไม่ คำตอบก็คือ โลกเราแบ่งเป็น 3 ส่วนครับ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ
ซึ่งทั้งนรก มนุษย์ และสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น รวมชั้นดุสิตด้วย ท่านจัดอยู่ในกามภพครับ เมื่อยังอยู่ในกามภพ ก็ย่อมต้องมีการเสพกามครับ ใช่มั้ยครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า เทพบุตร และเทพธิดาทุกองค์จะเสพกามนะครับ องค์ที่ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ก็มีครับ เหมือนในเมืองมนุษย์ ก็ไม่ได้แต่งงานกันทุกคนนะครับ บางส่วนแต่งงาน บางส่วนอยู่เป็นโสด บางส่วนก็บวช
ส่วนคุณ xlmen ความเห็นที่ 17
คงจะแซวผมเล่นนะครับซึ่งก็เพลินดี แต่ที่กล่าวมานี้เป็นคำรู้จากตำราครับ ต้องอ้างอิงด้วยการปฏิบัติของเราเอง ซึ่งถ้าจะสันนิษฐานว่า แค่จับมือก็เรียบร้อย อย่างงี้ก็ง่ายน่ะสิ คำตอบก็คือ อยู่บนสวรรค์คิดจะอะไรที่ผิดกฏเกณฑ์น่ะ ไม่อาจทำได้ครับ เพราะยังไม่ต้องจับมือหรอก แค่เทวดาคิดโกรธก็จุติแล้ว เช่น เวลาที่เทพบุตร 2 องค์ เกิดพอใจเทพธิดาองค์เดียวกัน ทั้งคู่จะแข่งกันตามกฏกติกามารยาทครับ ไม่มีนอกกติกา และถ้าผลการแข่งออกมาแล้วว่า เทพธิดาพอใจเทพบุตรองค์ไหน อีกองค์ก็จะยอมรับครับ ไม่มีโกรธ หรือฉุดเด็ดขาด มิฉะนั้นตกสวรรค์แน่นอนคร้าบ
#21
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 04:34 PM
#22
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 06:05 PM
เจตนาแซวจริงๆ ครับ ข้อนี้ผมเคยฟังเทศน์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ ท่านถามนางฟ้าๆ ตอบท่านว่าผู้ที่จะขึ้นมาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ถ้ายังมีจิตคิดอยากเสพกามอย่างหนักก็ขึ้นมาไม่ได้หรอก ว่าง่ายๆ ก็คือ ถ้าเทวดาหรือนางฟ้ามีจิตแค่คิดจะเสพกามเกินระดับในภพภูมิของตนก็จะจุติย้ายภพทันทีครับ อย่าว่าแต่เดินเข้าไปจับมือหอมแก้มเลยครับ แค่คิดก็ตกแอ้กจากสวรรค์ชั้นนั้นๆแล้วครับ 555+
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#23
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 06:14 PM
อย่าลืมสิครับว่า "ดุสิตบุรีเทวภูมิ" นั้น ยังจัดเป็นส่วนหนึ่งของกามภพ (ภพอันข้องอยู่ด้วยกาม) นะครับ
เทวดาย่อมจุติด้วยเหตุ ๔ ประการดังต่อไปนี้คือ
๑. หมดบุญ
๒. หมดอายุทิพย์
๓. โมโหโกรธา (ยกเว้นพวกเทวดายักษ์ (เทวดาเจ้าอารมณ์) เพราะถูกกรรมบีบคั้นให้ต้องแสดงอุปนิสัยเช่นนั้น)
๔. ลืมบริโภคทิพยสุธาโภชน์
#24
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 11:02 PM
#25
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 03:42 AM
#26
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 01:59 PM
เหอๆ
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#27
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 08:27 PM
เสพกามกันง่าย ๆ แบบนี้ พลัดลงอบายเอาง่าย ๆ
#28
โพสต์เมื่อ 05 April 2006 - 11:01 PM
เสพกามกันง่ายๆ แบบนี้ พลัดลงอบายเอาง่ายๆ
มีโอกาสครับ เพราะแม้เป็นเทวดาก็จริง แต่ยังไม่หมดกิเลสนี่ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นล่างๆ ที่ไม่ประพฤติตัวอยู่ในกรอบของเบญจศีลและเบญจธรรม (ดูตัวอย่างได้จาก VCD เรื่อง "พญานาค")
#30
โพสต์เมื่อ 26 January 2008 - 03:47 PM