อยากทราบเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องน่ะครับ คือ
1.ถ้าเราเป็นพระและเป็นเจ้าของโปรเจคงานบุญหรือมีส่วนร่วมในงานบุญนั้นๆ ตัวเราจะได้บุญ เพราะถือว่าเป็นต้นบุญ มั้ยครับ
2.ถ้าเราเป็นพระแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของโปรเจคหรือมีส่วนร่วมในงานบุญนั้นๆ เป็นเพียงแค่เนื้อนาบุญให้กับโยม เราจะได้บุญนั้นๆ ด้วยมั้ยครับ เช่น บุญถวายยา
ถ้าเป็นเช่นข้อ 2. การเป็นพระก็ไม่ต้องทำบุญอะไรเลยใช่มั้ยครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ
ถ้าเราเป็นพระ เราจะได้บุญที่โยมทำมั้ยครับ
เริ่มโดย usr23740, Oct 30 2008 10:15 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 30 October 2008 - 10:15 PM
#2
โพสต์เมื่อ 30 October 2008 - 11:06 PM
ถ้าเป็นเช่นข้อ 2. การเป็นพระก็ไม่ต้องทำบุญอะไรเลยใช่มั้ยครับ
ทำสิครับ..เป็นพระ เป็นเณร เป็นคฤหัสถ์ เป็นเศรษฐี ล้วนต่างอาศัยบุญเป็นพื้นฐานทั้งนั้น..
เพราะบุญ เป็นเบื้องหลังแห่งความสุขและความสำเร็จ..
ใครปฎิเสธบุญ คนนั้นย่อมปฎิเสธความสุขและความสำเร็จนั่นเอง..
ความหมายนัยยะของคุณน่าจะหมายถึง การอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย จะได้บุญไหมเล่า?
ได้สิครับ..ถ้าการเฉยๆนั้น แฝงไปด้วยจิตอนุโมทนาในบุญของผู้อื่นอย่างเปี่ยมล้น..
แค่คิดอนุโมทนาก็ได้บุญแล้วล่ะครับ..นี่แค่คิดน่ะ ถ้าลงมือ ลงแรงด้วย บุญจะเพิ่มแค่ไหน คิดดูดีๆ..
ยิ่งถ้าอยู่ในผ้าเหลือง ชีวิตสมณะ เป็นเนื้อนาบุญให้กับโยมที่มาถวายยา แค่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ อยู่ในวัตรปฎิบัติอันงดงาม เช่นครองผ้าอย่างรัดกุม นั่งอย่างสำรวม พูดแต่มธุรสวาจา (คำพูดดี) แค่นี้ก็ทำให้ญาติโยมที่มาถวายเป็นปลื้มกันไม่รู้จบแล้วครับ..เมื่อโยมปลื้มปิติ ใจเขาย่อมอยู่ในบุญตลอด นับแต่ก่อนให้ทาน ขณะให้ทาน และหลังให้ทาน ตัวท่านพุทธบุตรเองก็ย่อมเป็นปลื้ม คือปิติในบุญนั้นไปกับญาติโยมด้วย เมื่อต่างคนก็ต่างปลื้ม..ปลื้มแล้วปลื้มอีก..นึกทีไรก็เป็นปลื้ม น้ำหู น้ำตาไหล..นึกทีไรก็เป็นสุขใจทุกทีไป..อยากให้สุขแบบนี้อยู่นานๆ จังเลยยย..
ถามว่า เป็นคุณ? ยังอยากจะมาถวายยา หรืออะไรก็ตามแต่ ให้ได้บรรยากาศเป็นปลื้มแบบนี้ตลอดไปหรือไม่ครับ?
เป็นผม..ผมก็จะมาถวายแล้วถวายอีก จะถวายไปเรื่อยๆ ดูสิว่าต่อมปลื้ม มันจะขยายโตใหญ่อีกสักเท่าใด?..
สาธุ..
ทำสิครับ..เป็นพระ เป็นเณร เป็นคฤหัสถ์ เป็นเศรษฐี ล้วนต่างอาศัยบุญเป็นพื้นฐานทั้งนั้น..
เพราะบุญ เป็นเบื้องหลังแห่งความสุขและความสำเร็จ..
ใครปฎิเสธบุญ คนนั้นย่อมปฎิเสธความสุขและความสำเร็จนั่นเอง..
ความหมายนัยยะของคุณน่าจะหมายถึง การอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย จะได้บุญไหมเล่า?
ได้สิครับ..ถ้าการเฉยๆนั้น แฝงไปด้วยจิตอนุโมทนาในบุญของผู้อื่นอย่างเปี่ยมล้น..
แค่คิดอนุโมทนาก็ได้บุญแล้วล่ะครับ..นี่แค่คิดน่ะ ถ้าลงมือ ลงแรงด้วย บุญจะเพิ่มแค่ไหน คิดดูดีๆ..
ยิ่งถ้าอยู่ในผ้าเหลือง ชีวิตสมณะ เป็นเนื้อนาบุญให้กับโยมที่มาถวายยา แค่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ อยู่ในวัตรปฎิบัติอันงดงาม เช่นครองผ้าอย่างรัดกุม นั่งอย่างสำรวม พูดแต่มธุรสวาจา (คำพูดดี) แค่นี้ก็ทำให้ญาติโยมที่มาถวายเป็นปลื้มกันไม่รู้จบแล้วครับ..เมื่อโยมปลื้มปิติ ใจเขาย่อมอยู่ในบุญตลอด นับแต่ก่อนให้ทาน ขณะให้ทาน และหลังให้ทาน ตัวท่านพุทธบุตรเองก็ย่อมเป็นปลื้ม คือปิติในบุญนั้นไปกับญาติโยมด้วย เมื่อต่างคนก็ต่างปลื้ม..ปลื้มแล้วปลื้มอีก..นึกทีไรก็เป็นปลื้ม น้ำหู น้ำตาไหล..นึกทีไรก็เป็นสุขใจทุกทีไป..อยากให้สุขแบบนี้อยู่นานๆ จังเลยยย..
ถามว่า เป็นคุณ? ยังอยากจะมาถวายยา หรืออะไรก็ตามแต่ ให้ได้บรรยากาศเป็นปลื้มแบบนี้ตลอดไปหรือไม่ครับ?
เป็นผม..ผมก็จะมาถวายแล้วถวายอีก จะถวายไปเรื่อยๆ ดูสิว่าต่อมปลื้ม มันจะขยายโตใหญ่อีกสักเท่าใด?..
สาธุ..
#3
โพสต์เมื่อ 30 October 2008 - 11:13 PM
ตอนนั้นผมยังไม่เข้าวัดพระธรรมกายนะครับ
ผมบวชเณรตอนปิดเทอม ที่บวชเพราะว่าอัธยาศัยอยากบวชครับ ตอนจบม.3 ครับ
พอบิณฑบาตได้อาหารมา ผมก็จะจัดถวายใส่สำหรับพระ ส่วนผมกับเพื่อนเณรรวมกันสองรูป ก็จะฉันกับข้าว 2- 3 อย่างครับ
ตอนนั้นไม่เข้าใจเรื่องบุญ แต่ใจมันอยากทำแบบนั้นอ่ะครับ
ผมบวชเณรตอนปิดเทอม ที่บวชเพราะว่าอัธยาศัยอยากบวชครับ ตอนจบม.3 ครับ
พอบิณฑบาตได้อาหารมา ผมก็จะจัดถวายใส่สำหรับพระ ส่วนผมกับเพื่อนเณรรวมกันสองรูป ก็จะฉันกับข้าว 2- 3 อย่างครับ
ตอนนั้นไม่เข้าใจเรื่องบุญ แต่ใจมันอยากทำแบบนั้นอ่ะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 30 October 2008 - 11:15 PM
ขอตอบทีละข้อดังนี้นะครับ
1. ถ้าเราเป็นโยม แล้วเป็นเจ้าของโปรเจ็คต่างๆ หรือเป็นต้นบุญ รับรองบุญนั้นได้แน่ครับ แต่สำหรับถ้าเราเป็นพระแล้ว เราก็จะได้บุญมากกว่าหลายเท่าเลยครับ เนื่องจากเราอยู่ในเพศของสมณะ
2. การเป็นเนื้อนาบุญก็จะได้บุญครับ มากน้อยขึ้นกับความบริสุทธิ์ของใจครับ
เป็นพระก็ต้องทำทานครับ แล้วยังได้บุญมากกว่าตอนเป็นโยมด้วยครับ
1. ถ้าเราเป็นโยม แล้วเป็นเจ้าของโปรเจ็คต่างๆ หรือเป็นต้นบุญ รับรองบุญนั้นได้แน่ครับ แต่สำหรับถ้าเราเป็นพระแล้ว เราก็จะได้บุญมากกว่าหลายเท่าเลยครับ เนื่องจากเราอยู่ในเพศของสมณะ
2. การเป็นเนื้อนาบุญก็จะได้บุญครับ มากน้อยขึ้นกับความบริสุทธิ์ของใจครับ
เป็นพระก็ต้องทำทานครับ แล้วยังได้บุญมากกว่าตอนเป็นโยมด้วยครับ
"พรุ่งนี้โลกก็เปลี่ยนแปลงแล้ว"
#5
โพสต์เมื่อ 30 October 2008 - 11:20 PM
สรุปว่านอกจากจะได้บุญจากการอนุโมทนาแล้ว
ตัวเราซึ่งเป็นเนื้อนาบุญ ก็ต้องถวายยา ทำทานด้วยใช่มั้ยครับ ชาติต่อๆ ไปถึงจะไม่จน หรือได้อานิสงส์แค่การอนุโมทนา
แล้วในกรณีข้อ 1.
เนื้อนาบุญซึ่งเป็นเจ้าของโปรเจค หรือมีส่วนร่วมในการจัดงานบุญนั้นๆ จะได้อานิสงส์เหมือนโยมที่ถวาย คือชาติต่อๆ ไป เกิดมารวยเหมือนกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร หรือได้แค่อานิสงส์จากการอนุโมทนาครับ
ตัวเราซึ่งเป็นเนื้อนาบุญ ก็ต้องถวายยา ทำทานด้วยใช่มั้ยครับ ชาติต่อๆ ไปถึงจะไม่จน หรือได้อานิสงส์แค่การอนุโมทนา
แล้วในกรณีข้อ 1.
เนื้อนาบุญซึ่งเป็นเจ้าของโปรเจค หรือมีส่วนร่วมในการจัดงานบุญนั้นๆ จะได้อานิสงส์เหมือนโยมที่ถวาย คือชาติต่อๆ ไป เกิดมารวยเหมือนกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร หรือได้แค่อานิสงส์จากการอนุโมทนาครับ
#6
โพสต์เมื่อ 31 October 2008 - 08:57 AM
การทำทานแบบตามกาลก็ได้บุญ การทำทานแบบตัดตระหนี่ก็ได้บุญ นับประสาอะไรกับการทำทานแบบคว่ำบาตรคือไม่เหลืออะไรเลยของสมณะ ได้บุญแต่ตอนบวชแล้วล่ะครับ
#7
โพสต์เมื่อ 31 October 2008 - 09:11 AM
QUOTE
2. การเป็นพระก็ไม่ต้องทำบุญอะไรเลยใช่มั้ยครับ
ทำสิคะ
1. การครองตนให้อยู่ในศีลของบรรพชิต นั่นคือการสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว เพราะเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง
2. การที่พระสงฆ์ ได้รับของที่ญาติโยมนำมาถวาย แล้วเกินความจำเป็น ก็สามารถที่จะให้ผู้อื่นต่อได้ นั่นก็คือการทำบุญ ทำทานนะคะ
3. koonpatt เห็นที่วัด ก็ยังมีพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย นำปัจจัยที่ท่านได้รับมา มาถวายหลวงพ่อร่วมบุญต่างๆอยู่เสมอๆ
4. สิ่งต่างๆ ที่พระภิกษุสงฆ์ ได้รับจากชาวพุทธผู้มีศรัทธาทั้งหลาย แน่นอนค่ะบางครั้งอาจจะน้อยแสนน้อย แต่บางครั้งก็อาจจะมากแสนมาก นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น สละแล้ว และ ตัดแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง
ยกตัวอย่างเช่น ปัจจัยที่มีผู้นำถวาย ท่านย่อมเล็งเห็นแล้วว่า จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเช่นไรบ้าง จะเป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนาเช่นไรบ้าง ก็นำปัจจัยที่ได้รับมาเหล่านั้น ไปทำประโยชน์ ที่มิใช่เฉพาะ ประโยชน์แห่งตน
ดังเช่น หลวงพ่อทำเป็นตัวอย่างให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย และพวกเราทั้งหลาย ได้เห็นอยู่ทุกวันนี้ไงคะ
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#8
โพสต์เมื่อ 31 October 2008 - 09:49 AM
การเทศน์สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
1ทาน 2ศีล 3สวรรค์ 4โทษของกาม 5การบวชเนกขัมมะ
คือสุดท้ายจริงๆแม้ว่าจะเป็นโชติกะ เศรษฐีหรือใครก็ตามที่มีกำลังทานบารมีมาก สุดท้ายบุญก็จะดึงดูดให้ไปประพฤติพรหมจรรย์คับ ดังนั้นคนที่สามารถมาบวชได้จริง บุญบารมีต้องมากพอ คือผ่านการรวย สละความตระหนี่ สำรวมกายวาจาใจ มาหลายชาติแล้ว จนบุญเต็มเปี่ยมเลย เห็นโทษภัยในกามและคิดออกบวชนะคับ
เหมือนที่หลวงปู่ท่านเทศน์ หยุดใจเห็นความสว่างจริงๆ แว๊บเีดียว บุญมากกว่าสร้างโบสถ์หลายหลังอะคับ แต่บุญหยาบ บุญละเอียดทำควบคู่กันไปคับ
1ทาน 2ศีล 3สวรรค์ 4โทษของกาม 5การบวชเนกขัมมะ
คือสุดท้ายจริงๆแม้ว่าจะเป็นโชติกะ เศรษฐีหรือใครก็ตามที่มีกำลังทานบารมีมาก สุดท้ายบุญก็จะดึงดูดให้ไปประพฤติพรหมจรรย์คับ ดังนั้นคนที่สามารถมาบวชได้จริง บุญบารมีต้องมากพอ คือผ่านการรวย สละความตระหนี่ สำรวมกายวาจาใจ มาหลายชาติแล้ว จนบุญเต็มเปี่ยมเลย เห็นโทษภัยในกามและคิดออกบวชนะคับ
เหมือนที่หลวงปู่ท่านเทศน์ หยุดใจเห็นความสว่างจริงๆ แว๊บเีดียว บุญมากกว่าสร้างโบสถ์หลายหลังอะคับ แต่บุญหยาบ บุญละเอียดทำควบคู่กันไปคับ
#10
โพสต์เมื่อ 31 October 2008 - 08:08 PM
1. ไม่ว่าอยู่ในสถานะใด ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือคฤหัสถ์ ก็เป็นต้นบญ ก็ได้บุญมาก แต่เนื่องจาก เป็นพระรักษาศีลและประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมได้บุญมากกว่า คฤหัสถ์ เพราะ บริสุทธิ์กว่า ด้วยศีล
2. ถ้าพระเมื่อมีไทยธรรมแล้วทำทานด้วย เมื่อบุญส่งผล ก็จะได้รับ อานิสงส์ ตามทานที่ตัวเองทำ ไม่เกี่ยวข้องกับการบรรลุมรรคผลนิพพาน อันนี้ตามแต่อัธยาศัยส่วนตัวของตน
2. ถ้าพระเมื่อมีไทยธรรมแล้วทำทานด้วย เมื่อบุญส่งผล ก็จะได้รับ อานิสงส์ ตามทานที่ตัวเองทำ ไม่เกี่ยวข้องกับการบรรลุมรรคผลนิพพาน อันนี้ตามแต่อัธยาศัยส่วนตัวของตน
#11
โพสต์เมื่อ 01 November 2008 - 08:35 PM
พระ ทำดีได้บุญมากกว่า โยม ครับ แต่ถ้าทำผิดบาปก็มากกว่าโยมหลายเท่า
ถ้าจะเทียบก็คล้ายๆกับ เอา 227 คูณ ครับ
ถ้าเป็นโยมจะสะดวกตรงทีทำบุญด้วยวัตถุทาน เนื่องจากเป็นฝ่ายสเบียง
ถ้าเป็นพระจะเด่นตรงทีธรรมทาน + แรงกาย แรงใจ และสร้างบารมีแบบปลอดกังวลครับ
แต่ถ้าได้ธรรมกายก็ไม่ต้องพูดกันเลย ทำบุญแม้ไม่มากแต่ผลที่ได้ ทับทวี
เลยทีเดียว
ถ้าจะเทียบก็คล้ายๆกับ เอา 227 คูณ ครับ
ถ้าเป็นโยมจะสะดวกตรงทีทำบุญด้วยวัตถุทาน เนื่องจากเป็นฝ่ายสเบียง
ถ้าเป็นพระจะเด่นตรงทีธรรมทาน + แรงกาย แรงใจ และสร้างบารมีแบบปลอดกังวลครับ
แต่ถ้าได้ธรรมกายก็ไม่ต้องพูดกันเลย ทำบุญแม้ไม่มากแต่ผลที่ได้ ทับทวี
เลยทีเดียว