พระวิริยาธิกพุทธเจ้า
#1
โพสต์เมื่อ 26 May 2008 - 08:40 PM
ผมก็มีความตั้งใจที่จะเป็น พระวิริยาธิกพุทธเจ้าอะครับ
คือจำเป็นต้องสั่งสมมีบารมีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าอะครับ
ท่านผู้รู้โปรดบอกผมหน่อยนะครับ
(คือตอนแรกผมไม่กล้าโพสน่ะครับแต่ตอนนี้อยากรู้เพราะอยากเป็นมากโปรดตอบผมด้วยนะครับ)
ขอบพระคุณล่วงหน้าอย่างสูงครับ
#2
โพสต์เมื่อ 26 May 2008 - 09:19 PM
สาธุ.. สาธุ..
เราเองก็เคยอธิษฐานเพื่อพุทธภูมิมานานมากแล้ว
เมื่อก่อนไม่กล้าบอกใครเลย..
แต่ตอนนี้อธิษฐานเพื่อที่สุดแห่งธรรม..
นี่ถ้าเรารู้ได้ว่า ในอดีตชาติเคยอธิษฐานอะไรมาก็ดีน่ะสิ
จะได้อธิษฐานต่อยอดไปเลย..
ที่ถามมาน่ะ.. รอท่านผู้รู้มาตอบละกันจ้า..
สาธุ.. สาธุ..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#4
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 08:01 AM
ก็ตั้งความปรารถนาไว้ครับ เมื่อมีเป้าหมายการสร้างบารมีก็เหมือนกันทุกระดับครับ แต่ระยะเวลาก็จะแตกต่างตามความปรารถนา ครับ
แต่เมื่อคุณมาถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้วนะครับ ไปสู่ที่สุดแห่งธรรมเถอะครับ อย่าปล่อยให้หลวงพ่อท่านเหนื่อยเปล่าเลยครับ
#5
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 09:52 AM
#6
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 09:54 AM
คือ ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ครับ เมื่อบารมีแก่รอบ ก็จะได้ดังที่ปรารถนาไว้ครับ
#7
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 10:15 AM
#8
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 10:30 AM
#9
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 11:09 AM
#10
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 11:22 AM
เมื่อก่อนตอนเด็ก เมื่อได้เริ่มเรียนพระพุทธศาสนา ผมก็เคยคิดว่าอยากเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ต่อมาเมื่อได้เข้าวัดธรรมกายได้รู้ว่าพระพุทธเจ้านั้นยังแบ่งได้อีกเป็น3ระดับ แล้วนึกยังไงก็ไม่รู้ว่า หากผมเป็นเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน เราจะช่วยเหลือมนุษย์ก็ได้แค่นิดเดียว ถ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าทั้งทีขอขนเพื่อนมนุษย์ไปให้มากที่สุดดีกว่า เลยเปลี่ยนใจอยากเป็นเหมือนคุณเจ้าของกระทู้นี่แหล่ะครับ ต่อมาได้ทราบถึงจุดมุ่งหมายความตั้งใจจริงของหลวงปู่ คือปราบตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดวัฏจักรกฏแห่งกรรม ผมก็จึงได้คิดอีกว่าเอ้อ ถ้าเราอยากจะช่วยให้ได้มากที่สุดทำไมเราไม่เอาอย่างหลวงปู่ล่ะ ปราบมันที่ต้นเหตุทำลายผังที่ต้นเหตุกำหนดไว้ทิ้งไปซะเลยดีกว่า เอาทุกสรรพชีวิตทั่วทั้งอนันตจักรวาลแม้แต่ตัวต้นเหตุก็เอามันเข้านิพพานไปด้วยนี่ถึงจะล้างบางได้หมด เลยเปลี่ยนใจอีกครั้ง อยากเอาเยี่ยงอย่างหลวงปู่ รื้อมันทิ้งให้หมดดีกว่า
ทุกวันนี้เวลาผมอธิฐานจิต ผมจึงอธิฐาน ขอเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีปฏิพานแรงกล้าเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่รื้อขนทุกสรรพชีวิตทั่วทั้งอนันตจักรวาลเขานิพพานให้หมดสิ้น หากแม้พระเดชพระคุณหลวงปู่ไปถึงเป้าหมายก่อนก็ขอให้ได้เป็นผู้มีส่วนร่วมช่วยหลวงปู่อีกแรงหนึ่งครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 11:34 AM
ขออนุญาตเล่าที่ได้ฟังธรรมะเพื่อประชาชนของหลวงพ่อมานะคะ
พระศรีอริยเมตไตย์ ก็ได้อธิษฐานเป็น วิริยาธิกพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีถึง 80 อสงไขย
(พระสมณโคดม บำเพ็ญ 20 อสงไขย)
คงเคยได้ยินใช่ไหมคะว่า
เมื่อครั้งที่พระศรีอริยเมตตไตย์ได้เป็นพระเจ้าสังขจักร
เมื่อพระพุทธเจ้านามว่า "สิริมา" ได้บังเกิดขึ้น
พระองค์ ได้ ทำทานปรมัตถบารมี บูชาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดง
ด้วยการตัดพระเศียรของพระองค์ชูถวาย
เพื่อถวาย "พระเศียร แล มงกุฏบนพระเศียร"
เพราะคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่มีค่ามากกว่านี้อีกแล้วในชมพูทวีป ที่จะใช้บูชาพระธรรมที่ได้สดับฟังไปเพียงบทเดียว
แล้วพระองค์ก็ขอให้พระพุทธเจ้าหยุดการแสดงธรรมเพียงบทเดียวนั้น
เพราะเกรงว่าจะบรรลุอรหันต์ไปก่อน
จึงได้ตรัสว่า "ขอท่านจงเข้าสู่พระนิพพทานไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะขอเสด็จตามไปในภายหลัง"
ก่อนที่จะได้พบพระพุทธเจ้าก็สละราชสมบัติ เดินด้วยเท้าเปล่าจนเลือดไหลไม่หยุด
แต่....เอ...ฟังเองเลยแล้วกันค่ะ หลวงพ่อเล่าได้อรรถรสกว่าเยอะ
ซาบซึ้งจริงๆค่ะ
ที่นี่ค่ะ......
ลอง dowload ดูนะคะ
ไฟล์แนบ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#13
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 03:08 PM
บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้านิพพาน อุปมาเหมื่อน นักโทษ(วัฎสงสาร)ทลายกำแพงคุกให้เป็นช่องและชักชวนผู้คนหนีคุก
สุดแห่งธรรม ผู้ที่ตั้งใจไปที่สุดแห่งธรรมคือ ไม่เจาะช่องกำแพงคุก แล้วชวนคนหนี แต่หาก รื้อคุกทลายทั้งคุกและกำจัดผู้คุมทิ้งเสียสิ้นไม่เหลือเศษ
#14
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 03:09 PM
#15
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 03:25 PM
แต่ในเมื่อเรามาเจอพระเดชพระคุณหลวงพ่อและมหาปูชนียาจารย์แล้ว
เป้าหมายของเราคือ"ที่สุดแห่งธรรม" คับ
รื้อวัฏฏะ คับ อย่าไป พ้นวัฏฏะเลยคับ ^^
#16
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 03:41 PM
#17
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 05:11 PM
#18
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 05:31 PM
#19
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 06:16 PM
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือผู้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง และทรงสามารถเทศน์สอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตามได้ ผู้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องบำเพ็ญบารมี ๓๐ ประการให้ครบบริบูรณ์ บารมี ๓๐ ประการคือ บารมี ๑๐ ทัศ ได้แก่
(๑) ทาน (๒) ศีล (๓) เนกขัมมะ (๔) ปัญญา (๕) วิริยะ
(๖) ขันติ (๗) สัจจะ (๘) อธิษฐาน (๙) เมตตา (๑๐) อุเบกขา
แต่ละประการต้องบำเพ็ญ ๓ ขั้น คือ
๑) ขั้นบารมี เช่น ทานบารมี (การให้วัตถุสิ่งของภายนอกกาย)
๒) ขั้นอุปบารมี เช่น ทานอุปบารมี (การให้ของภายใน เช่นอวัยวะ)
๓) ขั้นปรมัตถบารมี เช่น ทานปรมัตถบารมี (การให้ชีวิต)
แบ่งตามประเภทแห่งการสั่งสมบารมีเป็น ๓ ประเภท คือ
๑.๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ได้แก่ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเลิศทางปัญญา เพราะทรงสั่งสมบุญบารมีหนักไปทางปัญญา ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติคือ หลังจากได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า จะต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๔ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๑.๒ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ ได้แก่ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเลิศทางศรัทธา เพราะทรงสั่งสมบุญบารมีหนักไปทางศรัทธา ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติคือ หลังจากได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า จะต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๘ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๑.๓ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ ได้แก่ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเลิศทางความเพียร เพราะทรงสั่งสมบุญบารมีหนักไปทางวิริยะ ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติคือ หลังจากได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า จะต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๑๖ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๒. การสั่งสมบารมีเพื่อเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ ผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง แต่เป็นการตรัสรู้เฉพาะตน ไม่ทรงสามารถเทศน์สอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตามได้ มี ๓ ประเภท เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีวิธีการปฏิบัติแตกต่างกันดังนี้
๒.๑ พระปัจเจกพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ จะต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๒ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๒.๒ พระปัจเจกพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ จะต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๒ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๒.๓ พระปัจเจกพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ จะต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๒ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๓. การสั่งสมบารมีเพื่อเป็นพระอรหันตสาวกและพระอรหันตสาวิกา
พระอรหันตสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท คือ
(๑) พระอัครสาวก (๒) พระมหาสาวก (๓) พระปกติสาวก
๓.๑ พระอัครสาวก หมายถึงพระสาวกผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งปวงในพระศาสนานี้ ได้แก่ พระสารีบุตรเถระ และพระมหาโมคคัลานเถระ ผู้ปรารถนาจะเป็นพระอัครสาวก จะต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๑ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๓.๒ พระมหาสาวก หมายถึงพระสาวกผู้ใหญ่ในพระศาสนานี้ ได้แก่ พระอสีติมหาสาวก ๘๐ รูป มีพระมหากัสสปเถระเป็นต้น ผู้ปรารถนาจะเป็นพระมหาสาวก จะต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๓.๓ พระปกติสาวก หมายถึงพระสาวกทั่วไปนอกจากพระอัครสาวกและพระมหาสาวก ผู้ปรารถนาจะเป็นพระปกติสาวก ถ้ามีอุปนิสัยพอ อาจใช้เวลาบำเพ็ญบารมี ๑๐๐ กัป หรือ ๑,๐๐๐ กัปก็ได้ ไม่มีเวลากำหนดแน่นอน ทั้งนี้ต้องขึ้นกับว่าเริ่มต้นสร้างสมบารมีตั้งสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด เช่น พระอนุเลปทายกเถระเริ่มสร้างสมสมัยพระพุทธเจ้าอโนมทัสสี จึงใช้เวลา ๑ อสงไขย กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัป
พระอรหันตสาวิกาก็พึงศึกษาเปรียบเทียบกับพระอรหันตสาวก ๒ ประเภทหลัง
(ขุ.อป.อ. ๑/๙๐-๙๑/๑๖๖-๑๖๙)
ที่มา: พระไตรปิฎก ล.๓๒ น.[๘-๑๐] ฉ.มจร.
#20
โพสต์เมื่อ 27 May 2008 - 07:52 PM
#21
โพสต์เมื่อ 28 May 2008 - 05:35 PM
ตัวอย่างเช่น ทำไม พระโมกคัลลานะ และ พระสารีบุตร ถึงได้เป็น พระอริยสาวก ซ้าย - ขวา ทั้งๆที่ เป็นพระอรหันต์ทีหลัง ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 ด้วยซ้ำ
หรือ พระนางพิมพา ชายาของเจ้าชายสิทธัทธะ และ พระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา
ทุกท่าน ล้วนแต่ อธิษฐาน เพื่อให้ได้เป็น ตามที่ต้องการ
อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
#22
โพสต์เมื่อ 28 May 2008 - 07:48 PM
เราพะท่านมีเมตตาเรามากที่อุตส่าจะช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์พร้อม ๆ กันและยิ่งรู้ว่ากว่าท่านจะสร้างบารมีเพื่อให้คนมาสร้างบารมีกับท่านในแต่ละคนนั้นต้องใช้เวลายาวนานมากจึงไม่อยากจะหนีท่านไปไหนเลยอยากอยู่กับท่านตลอดไปจนกว่าจะถึงวันที่ธรรมภาคขาวจะชนะธรรมภาคดำอย่างถาวร....
อนุโมทนากับนักรบกล้ากองทัพธรรมที่มุ่งช่วยสรรพสัตวให้พ้นทุกข์ทุก ๆท่านเลยนะครับ
กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
#23
โพสต์เมื่อ 29 May 2008 - 08:50 PM