[attachmentid=6476]
ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำการบูชาพระองค์ด้วยจุณแห่งแก่นจันทน์นี้
ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เป็นมารดาของพระพุทธเจ้าผู้เช่นพระองค์ในอนาคตกาล
ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เป็นมารดาของพระพุทธเจ้าผู้เช่นพระองค์ในอนาคตกาล
การสร้างบารมี เป็นงานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ ส่วนงานอย่างอื่น เช่น การทำมาหากิน เป็นต้น เป็นเรื่องรองที่จะสนับสนุนการสร้างบารมีของเราให้สะดวกราบรื่น เราเกิดมาก็เพื่อสร้างบารมี ดำเนินตามรอยบาทพระบรมศาสดา มุ่งแสวง หาสาระอันแท้จริงของชีวิต มุ่งหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสอาสวะของพญามาร เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือ ที่สุดแห่งธรรม การทำใจให้หยุดนิ่งเป็นวิธีเดียวที่จะเอาชนะกิเลสอาสวะได้ และยังเป็นทางมาแห่งมหากุศล หากเรานำใจ มาหยุดนิ่ง ให้ใจใส ใจสะอาดบริสุทธิ์ บุญกุศลย่อมจะบังเกิดขึ้นอย่างจะนับประมาณมิได้ และจะเป็นเหตุให้ได้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตในที่สุด
มีธรรมภาษิตใน เวสสันตรชาดก ว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำการบูชาพระองค์ด้วยจุณแห่งแก่นจันทน์นี้ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เป็นมารดาของพระพุทธเจ้าผู้เช่นพระองค์ในอนาคตกาล”
การอธิษฐานเป็นหนึ่งในบารมีสิบทัศ ที่พระบรมโพธิสัตว์ ทั้งหลายให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก การอธิษฐานเป็นประดุจหางเสือเรือ ที่คอยคัดท้ายนาวาชีวิตของเราให้ก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย ฉะนั้นทุกครั้งที่ทำความดี ต้องหมั่น อธิษฐานทุกๆ ครั้ง เป็นการตั้งผังแห่งความสำเร็จให้เกิดขึ้น กับชีวิต เมื่อถึงคราวบุญส่งผล เราย่อมจะสำเร็จสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ การที่จะให้แรงอธิษฐานนั้นส่งผลสำเร็จ ต้องสั่งสมบุญไว้ให้มากๆ เหมือนภาษิตที่ได้ยกขึ้นมากล่าวข้างต้น เป็นคำอธิษฐานที่พระมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ได้เคยทำบุญกับพระวิปัสสีพุทธเจ้า แล้วอธิษฐานขอให้ได้เป็นพุทธมารดาในอนาคตกาล
*เรื่องมีอยู่ว่า ในที่สุดแห่งกัปที่ ๙๑ นับแต่ภัทรกัปนี้ พระบรมศาสดาพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ ทรงประทับอยู่ ณ เขมมฤคทายวัน ในพันธุมดีนคร ทรงมี พระราชาพระนามว่า พันธุมราชเป็นพุทธอุปัฏฐาก สมัยนั้นมีพระราชาพระองค์หนึ่งส่งสุวรรณมาลาราคา ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ กับแก่นจันทน์อันมีค่ามากมาถวายแด่พระเจ้าพันธุมราช พระเจ้าพันธุมราชมีพระราชธิดา ๒ พระองค์ จึงได้ประทานแก่นจันทน์แก่พระธิดาองค์ใหญ่ และสุวรรณมาลาแก่พระธิดาองค์เล็ก
*มก. เวสสันตรชาดก เล่ม ๖๔ หน้า ๖๐๑
ราชธิดาทั้งสองเป็นคนฉลาด แทนที่จะนำไปประดับประดาเหมือนสตรีทั่วไป กลับคิดจะนำเครื่องประดับนั้นไปบูชาพระบรมศาสดา พระธิดาองค์ใหญ่ได้บดแก่นจันทน์จนละเอียดเป็นจุณ และบรรจุในผอบทองคำ ราชธิดาองค์เล็กให้ทำสุวรรณมาลาเป็นมาลาปิดทรวงอกบรรจุผอบทองคำ จากนั้นพากันถือดอกไม้ของหอมเสด็จไปสู่วิหารพร้อมกับบริวาร พระธิดาองค์โตได้ทำการบูชาพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีวรรณะดังทองคำด้วยจุณแก่นจันทน์ อีกทั้งทรงโปรยจุณแก่นจันทน์ที่เหลือใน พระคันธกุฎี ทำให้มีกลิ่นหอมไปทั่วอาราม
ขณะพระธิดาองค์โตกำลังพิจารณาพระวรกายของพระพุทธเจ้า พระนางก็หวนระลึกถึงหญิงผู้เป็นมารดาของพระพุทธเจ้าว่า ต้องเป็นหญิงงามและได้ลักษณะเบญจกัลยาณียิ่งกว่าหญิงใดๆ ในโลก จึงมีบุญได้เป็นพระมารดาของบุคคลผู้เลิศ เมื่อดำริเช่นนั้น แม้จะไม่เคยเห็นพระมารดาของพระพุทธเจ้ามาก่อน แต่พระนางก็เชื่อมั่นว่าพระพุทธมารดาต้องเป็นยอดแห่งอิตถีรัตนะ จึงตั้งความปรารถนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยบุญที่หม่อมฉันได้บูชาพระองค์ด้วยจุณแห่งแก่นจันทน์นี้ ขอให้หม่อมฉันได้เป็นพุทธมารดา ผู้เช่นพระมารดาของพระองค์ ในอนาคตกาลด้วยเถิด”
ส่วนราชธิดาองค์เล็กบูชาพระสรีระของพระทศพลด้วยสุวรรณมาลาซึ่งทำเป็นอาภรณ์เครื่องปิดทรวง ได้ตั้งปรารถนาว่า “ขอเครื่องประดับนี้จงอย่าหายไปจากสรีระของข้าพระพุทธเจ้าจนตราบเท่าบรรลุพระอรหัต”
พระบรมศาสดาทรงทำการอนุโมทนาแก่ราชธิดาทั้งสองนั้นว่า “เธอทั้งสองได้ประดิษฐานการบูชาอันใดแก่เราในภพนี้ วิบากแห่งการบูชานั้น จงสำเร็จแก่เธอทั้งสองตามความปรารถนาที่ตั้งไว้อย่างดีแล้วเถิด”
ราชธิดาทั้งสองได้ฟังพุทธพยากรณ์เช่นนั้น บังเกิดมหาปีติท่วมท้น ต่างตั้งใจสั่งสมบุญอย่างเต็มที่เรื่อยมา ครั้นเคลื่อนจากมนุษยโลกได้ไปบังเกิดในเทวโลก จะกี่ภพกี่ชาติราชกุมารีองค์เล็กนั้น ก็เป็นผู้พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องประดับกายที่สวยสด งดงาม เป็นที่ดึงดูดตาดึงดูดใจของผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก โดยเฉพาะ เมื่อเป็นเทพธิดา เครื่องประดับอันวิจิตรก็ติดกายนางตลอดเวลา
ครั้นมาในสมัยของพระทศพลพระนามว่า กัสสปะ พระนางได้เกิดเป็นราชธิดาของพระราชาพระนามว่า กิกิ เมื่อเติบโตอายุได้ ๑๖ ชันษา เพียงได้ฟังภัตตานุโมทนาครั้งแรกจากพระตถาคตเจ้าเท่านั้น พระนางก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ครั้นฟังครั้งที่สองก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ จึงออกผนวชเป็นภิกษุณีเพื่อประพฤติพรหมจรรย์จนตลอดอายุขัย จากนั้นก็ปรินิพพาน
ฝ่ายพระธิดาองค์ใหญ่ครั้นเคลื่อนจากเทวโลก ได้ท่องเที่ยว อยู่ในมนุษยโลก พร้อมกับสร้างบารมีเพื่อปรารถนาเป็นพระมารดา ของพระพุทธเจ้า พระนางท่องเที่ยวอยู่ในสองภพภูมิเป็นเวลายาวนาน มาภพชาตินี้พระนางได้เป็นพุทธมารดามีพระนามว่า มหามายาเทวี สมดังความปรารถนาทุกประการ
เราจะเห็นว่า แรงอธิษฐานนี่สำคัญมาก นอกจากอธิษฐาน แล้วต้องหมั่นสั่งสมบุญเสมอ เมื่อบุญบารมีเต็มเปี่ยม สิ่งที่อธิษฐานไว้ย่อมจะสำเร็จเป็นอัศจรรย์ คราวนี้มาศึกษาย้อนกลับไปเมื่อ ๓ ชาติที่แล้วของพระนางสิริมหามายาว่า ชาติที่แล้วพระนางเสวยทิพยสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ถอยไปอีกหนึ่งชาติ ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าสัญชัยในกรุงเชตุดร พระนามว่า ผุสดี ซึ่งก็คือ มารดาของพระเวสสันดรโพธิสัตว์นั่นเอง
ถอยหลังก่อนหน้านั้นไปอีกหนึ่งชาติ พระนางได้เกิดเป็นอัครมเหสีของท้าวสักกเทวราช เสวยทิพยสมบัติอยู่เป็นเวลายาวนาน ก่อนจะจุติมาสร้างบารมีต่อ บุพพนิมิต ๕ ประการได้เกิดขึ้นกับพระนาง ท้าวสักกเทวราชรู้ว่านางจะจุติแล้ว เพียงแต่พระนางยังไม่รู้ จึงพาพระนางไปชมสวนนันทวันอุทยาน พร้อมด้วยเทพบุตรเทพธิดามากมายที่มาคอยห้อมล้อม ท้าวสักกะตรัสขึ้นว่า “แน่ะนางผุสดีผู้เจริญ เราจะให้พร ๑๐ ประการแก่เธอ เธอจงรับพร ๑๐ ประการตามความปรารถนาเถิด”
ผุสดีเทพกัญญาไม่รู้ว่า ตนจะต้องจุติเป็นธรรมดา จึง ทูลถามว่า “ข้าแต่เทวราช ข้าพระบาทขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าพระบาทได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ ฝ่าพระบาทจึงให้ ข้าพระบาทจุติจากทิพยสถานที่น่ารื่นรมย์ ดุจลมพัดต้นไม้ใหญ่ให้หักไป” ท้าวสักกเทวราชรู้ว่า นางเป็นผู้ประมาท จึงได้ตรัสว่า “เธอมิได้ทำบาปกรรมไว้เลย และเธอไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่บุญของเธอสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้นความตายใกล้เธอเข้ามา ทุกขณะ เธอจักต้องพลัดพรากจากไป จงเลือกรับพร ๑๐ ประการ จากเราผู้จะให้ ณ บัดนี้เถิด”
ผุสดีเทพกัญญาได้สดับคำท้าวสักกเทวราช รู้ว่าตนจะต้องจุติแน่นอน จึงทูลขอพรว่า “ข้าแต่เทวราช ถ้าพระองค์จะประทานพรแก่ข้าพระบาทไซร้
ข้อที่ ๑. ขอให้ข้าพระบาทพึงได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าแผ่นดินในกรุงสีพี
๒. ข้าพระบาทพึงเป็นผู้มีจักษุดำเหมือนตาลูกมฤคีซึ่งมีดวงตาดำ
๓. พึงมีขนคิ้วดำ
๔. พึงเกิดในพระราชนิเวศน์นั้นโดยนามเดิมว่าผุสดี
๕. พึงได้พระราชโอรสผู้ให้สิ่งอันเลิศ ประกอบความเกื้อกูลแก่ยาจก ไม่ตระหนี่ เป็นผู้ที่พระราชาทุกประเทศบูชา มีเกียรติ มียศ ๖. เมื่อข้าพระบาททรงครรภ์ ขอให้อุทรราบเรียบ
๗. ถันทั้งคู่ของข้าพระบาทอย่าพึงหย่อนยานพึงเป็นปกติตราบกระทั่งชรา
๘. แม้แก่หง่อมแล้ว อย่าได้มีผมหงอก
๙. ขอให้มีผิวพรรณละเอียด ละอองธุลีอย่าได้ติดในกายได้
และประการสุดท้าย คือ ขอให้ ข้าพระบาทสามารถปล่อยนักโทษประหารได้”
เมื่อท้าวสักกเทวราชได้สดับพร ๑๐ ประการ ที่นางปรารถนา ทรงพิจารณาด้วยทิพยจักษุ เห็นว่าเป็นไปได้ ไม่เหลือวิสัยที่จะทำความปรารถนาของนางให้สำเร็จ จึงตรัสประทานพร และอนุโมทนากับนางด้วย ที่จะได้ลงไปสร้างบารมีในโลกมนุษย์
พระนางผุสดีเทพกัญญาจะได้สมหวังดังใจปรารถนาหรือไม่ และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามกันในตอน ต่อไป และอย่าลืมหมั่นนั่งธรรมะ และอธิษฐานจิตเป็นประจำ ทุกวัน เพื่อเราจะได้สมปรารถนาในสิ่งที่ตั้งไว้ทุกประการ