พระที่วัดพระธรรมกาย ออกบิณฑบาตรเช้าหรือไม่
#1
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 08:28 AM
ไม่ทราบว่าคำถามนี้ ควรถามหรือไม่...แต่ด้วยแรงศรัทธาอันแรงกล้าของตัวเอง...เลยอยากทราบจริงๆ ค่ะ
หากเห็นว่ากระทู้นี้ ไม่สมควร เรียนท่านผู้ดูแลระบบ ลบได้เลยค่ะ...และต้องขออภัยหากกระทู้นี้ทำให้ท่านรำคาญใจ
เนื่องจากว่า...ปกติ กิจของสงฆ์ทั่วไป ทุกเช้าจะมีการบิณฑบาตร (สะกดถูกไหมเนี่ย) เพื่อให้สาธุชนได้ทำการตักบาตร
อาหารเช้าแด่พระสงฆ์
ก็เลยอยากทราบว่า แล้วทางวัดพระธรรมกาย พระที่วัดได้ออกบิณฑบาตรตอนเช้าด้วยหรือเปล่า...และพระเดชพระคุณหลวงพ่อ(คุณครูไม่ใหญ่กับคุณครูไม่เล็ก) ออกบิณฑบาตรหรือไม่ เหตุที่ถาม คือ ถ้าได้มีโอกาสใส่บาตรแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ คงเป็นบุญมหาศาลยิ่ง...
ถึงจะทราบว่า ได้ทำบุญทุกๆ บุญร่วมกับหลวงพ่อก็ได้บุญมากอยู่แล้ว...แต่...ก็อยากมีโอกาสสักครั้งที่ได้ใส่บาตรแด่พระเดชพระคุณท่าน...จริงๆ ค่ะ
คงจะมีคำตอบว่า ตักบาตรพระ 500,000 รูปทั่วไทยก็ได้บุญมาก ค่ะ...ก็จริงอยู่ แต่ความปรารถนาของตัวเอง...ต่างจากนั้นค่ะ...
ถ้ามีโอกาสมันก็ดีมิใช่เหรอคะ
ถ้าหลวงพ่อท่านเมตตา...ทุกท่านก็ย่อมปรารถนาเดียวกัน หรือเปล่า??????
กราบขออภัยอย่างสูง...หากแม้นว่า กระทู้นี้มิเป็นประโยชน์อันใด ... และขอให้ทาง Admin ลบได้ทันที...หากเห็นสมควร
และต้องกราบขออนุโมทนาบุญ หากมีคำตอบให้ ผู้ไม่รู้คนนี้...ทราบ...สาธุ
#2
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 08:55 AM
พระที่วัดพระธรรมกายก็ออกบิณฑบาตรครับ
อย่างตอนผมบวชอยู่ธรรมทายาทก็ออก บิณฑบาตรครับ
แต่จะแบ่งเวรกันออกไปเป็นกลุ่ม วันนี้กลุ่มนี้ๆ วันนั้นกลุ่มนั้น
เพราะถ้าออกไปหมดทีเดียว คงจะไม่ได้ เพราะบริเวณนั้นก็มีพระวัดอื่นด้วยครับ
ถ้าญาติโยมใส่บาตรพระวัดพระธรรมกายหมด ก็ไม่ไหว
คงไม่ได้ออกบิณฑบาตรทั้งวัดครับ หลวงพี่ที่ท่านพรรษาเยอะๆ งานมากๆ
ด้วยหน้าที่การงานก็ไม่ได้ออกบิณฑบาตรครับ
ส่วนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านไม่ได้ออกบิณฑบาตรทุกๆวัน แบบพระหนุ่้มๆหรอกครับ
ท่านสุขภาพไม่แข็งแรง โดนลมไม่ค่อยจะได้ ขาของท่านก็ไม่ค่อยสบายครับ
แต่ท่านเคยพูดไว้บ่อยๆ ว่าท่านอยากบิณฑบาตร ไม่อยากอยู่แบบนี้หรอก
ท่านก็ชอบเล่าสมัยบวชใหม่ๆึครับ ว่าท่านได้บิณฑบาตร ไปอยู่ธุดง เดินไกลๆ
นอกจากงานบุญพิเศษๆ หลวงพ่อก็อยากจะไปบิณฑบาตร ตอนตักบาตรที่สิงห์บุรี ท่านก็ไปครับ
หาโอกาสยากมากๆๆ ที่หลวงพ่อจะออกไปข้างนอกวัด หรือ ไปบิณฑบาตร เพราะท่านสุขภาพไม่ึ่ค่อยแข็งแรงครับ
แต่การบิณฑบาตร ก็เป็นกิจของสงฆ์นะครับ พระพุทธเจ้าพระองค์ยังทรงเสด็จบิณฑบาตรทุกเช้า
แต่ในสมัยนี้ คงไม่มีคนใส่บาตรทั้งเมืองเหมือนสมัยพุทธกาล พระที่วัดเลยแบ่งเวรออกไปครับ
จะมีส่วนนึงอยู่หอฉัน ถ้าไปทั้งวัด 1000-2000 กว่ารูปคงไม่ไหว - -*
ส่วนอาหารที่บิณฑบาตรมาได้นั้น ก็ฉันไม่ได้ครับ จะต้องเอามารวมกันไว้ แล้วไปฉันในหอฉัน
ประมาณนี้ครับ ถ้าผิดพลาด หรือ ไม่ถูกต้องยังไง ต้องขอโทษด้วยนะค๊าบ
นี่เป็นแค่ความเห็นของผมครับ อิอิ
ไม่ใช่ของเก๊หรือของเทียม ธรรมกายจะปรากฏเป็นความจริงแก่ผู้เข้าถึงธรรม
เรื่องอย่างนี้เราไม่หวั่น เราเชื่อในคุณพระพุทธศาสนา"
#3
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 10:38 AM
ถ้าเป็นพระธรรมทายาทสมัยผมบวช ก็จะมีการแบ่งสาย คลองสองบ้าง คลองหลวงบ้าง คลองสามบ้างเดินบิณฑบาตเป็นแถวเป็นแนวสวยงามครับ
เห็นด้วยครับ ก็เลยเชิญชานมาทำบุญถวายภัตตาหารกันดีกว่า บุญเศรษฐีถาวร ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานทุกวัน ได้บุญทุกวัน
#4
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 12:33 PM
- นัยหนึ่งคำว่าบิณฑบาตนี้หมายถึงเป็นคำเรียกก้อนข้าวที่ชาวบ้านใส่ลงในภาชนะที่รองรับ เช่นบาตรของพระภิกษุ
- บิณฑบาต ในคำวัดหมายถึงอาหารสำหรับถวายพระซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งใน ๔ สำหรับพระสงฆ์ จะถวายโดยใส่บาตรหรือใส่ภาชนะอื่นใดก็เรียกเหมือนกัน
- บิณฑบาต หมายถึงการที่ภิกษุสามเณรไปรับอาหารที่เขาถวายโดยบาตรก็ได้ เช่นใช้ว่า "พระออกไปบิณฑบาตกันแต่เช้า ยังไม่กลับจากบิณฑบาตเลย"
- บิณฑบาต หมายถึงการที่พระสงฆ์ขอร้องมิให้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ เช่นใช้ว่า "อาตมาขอบิณฑบาตเถอะ อย่าได้ถึงกับฆ่าแกงกันเลย"
- บิณฑบาต มักเขียนผิดไปว่า บิณฑบาตร โดยอาจเข้าใจว่าเป็นคำเดียวกับบาตร ซึ่งออกเสียงเหมือนกัน
http://th.wikipedia....rg/wiki/บ
#5
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 12:38 PM
การออกบิณฑบาตเป็นกิจที่ไม่ได้บังคับว่าพระภิกษูทุกรูปต้องออกบิณฑบาตเสมอไป
จะรับภัตตาหารที่ญาติโยมนำมาถวายแต่เพียงอย่างเดียว ก็ไม่ผิดประการใดครับ
#6
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 01:27 PM
#7
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 03:26 PM
แต่ไม่ได้ออกบิณฑบาตทุกรูป เพราะคุณยายท่านอยากได้บุญ ท่านจึงกล่าวว่า
พระของยาย ท่านอยากจะทำบุญถวายภัตตาหาร พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจึงให้สร้าง
หอฉันคุณยายอาจารย์ขึ้นมา
คุณยายท่านอยากตัดความกังวลเรื่องการขบฉันของพระภิกษุสามเณร และให้มีเวลา
ในการบำเพ็ยสมณธรรมหรืองานพระศาสนาได้เต็มที่ และพระวัดเราเยอะหากไปบิณฑบาต
จะทำให้พระจากวัดใกล้กันจะลำบากเรื่องการขบฉันครับ
หากอยากได้บุญตักบาตร ก็มาถวายภัตตาหารที่หอฉันนั้นก็ได้ผลเช่นกัน เพียงมาร่วมบุญ
แล้วมาประเคนถวาย ประหยัดเวลาเราในการเตรียม ประหยัดทรัพยากร และได้ถวายคณะสงฆ์หมู่ใหญ่
ได้บุญใหญ่มากมาย อย่างสบายๆ
คิดง่ายๆ หากเราถวายเช้าพระภิกษุ สามเณร 1000 รูป ก็ได้ทำบุญ 1000 รูป เพลอีกครั้ง ก็ 1000 รูป
ทำบุญภัตตาหารเป็นการรวมบุญปานะไปด้วย ได้บุญปานะเย็นอีก 1000 รูป ทำบุญเพียงวันเดียว ได้บุญ 3000 รูป
ถ้าทำ 1 เดือน 30*3000=90000 รูป 1ปี 12*90000=1080000 รูปครับ นี่คิดง่ายๆแบบเฉลี่ยๆนะครับ
หากคำนวณเป็นบุญมากมายนัก
ชวนกันมาทำบุญถวายภัตตาหารได้บุญเยอะครับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงให้สร้างหอฉันคุณยายฯขึ้นมา
เพื่อให้เราได้บุญใหญ่อย่างนี้ครับ แต่ถ้าจะให้ดียิ่งช่วงนี้อย่าพลาดเด็ดขาด บุญสร้างอาคาร 100 ปีคุณยายฯครับ
#8
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 04:06 PM
#9
โพสต์เมื่อ 23 September 2009 - 04:46 PM
ก็เป็นที่แน่ใจแล้วว่า ... เราต้องอธิษฐานจิตให้ดี ให้มีโอกาสไปอยู่ใกล้ๆ วัด เผื่อว่าสักวันพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านแข็งแรงขึ้น
แล้วออกมาบิณฑบาตเช้า...เราจะได้มีโอกาสตักบาตรท่าน สาธุ....ฝันเป็นจริงด้วยเถอะ...^__^
สำหรับเรื่องสะกด แหะ แหะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ สะกดผิดจริงๆ ด้วย น่าตีจังเลยเรา...ขอบคุณมากๆ ค่าที่ชี้แนะ
อนุโมทนาบุญ กับ คำตอบทุกคำตอบด้วยค่ะ...สาธุ สาธุ สาธุ
#12
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 12:36 AM
#13
โพสต์เมื่อ 24 September 2009 - 05:52 PM
สมัยก่อน พระนางปชาบดีโคตมี ท่านปรารถนาจะถวายผ้าไตรแด่พระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่พระพุทธองค์อยากให้นางได้บุญใหญ่ยิ่งกว่านั้น จึงบอกอานิสงส์การถวายสังฆทานโดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข(ประธาน)
พระนางพอจะเข้าใจ(แต่ยังไม่ลึกซึ้ัง) จึงเปลี่ยนนำผ้าไตรไปถวายแด่พระสารีบุตรแทน แต่พระสารีบุตรไม่รับ(ด้วยเห็นว่า ผ้าไตรนี้มีเจ้าของบุญอยู่แล้ว) พระนางจึงตรงไปถวายพระโมคคัลลานะ แต่พระโมคคัลลานะก็ไม่รับ พระนางไล่ถวายไปเรื่อยๆ ไม่มีพระรูปไหนรับเลย จนไปได้พระอชิตะ ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ ท่านรับผ้าไตร
พระนางได้ถวายผ้าไตรเป็นสังฆทานก็จริง (ซึ่งความจริงจะเป็นบุญใหญ่มากๆ ยิ่งกว่าถวายพระพุทธเจ้าลำพัง) แต่พระนางกลับเสียใจที่ผ้าไตรที่พระนางเตรียมอย่างดี ตกไปในมือของพระบวชใหม่
พระพุทธเจ้า ต้องการประกาศคุณของพระอชิตะ(ว่าไม่ธรรมดา) จึงเนรมิตให้บาตรของพระองค์ลอยขึ้นฟ้าไป พระอรหันต์ทุกรูปมีพระสารีบุตรเป็นต้นต่างอาสาจะเหาะไปตามบาตรของพระพุทธองค์กลับคืนมา แล้วต่างก็เหาะตามบาตรไป
สักพักทุกรูปล้วนกลับมารายงานว่า หาบาตรของพระพุทธเจ้าไม่เจอ พระพุทธองค์ จึงให้พระบวชใหม่ เช่น พระอชิตะ หาบาตรนั้นบ้าง
พระอชิตะ เพึ่งบวชใหม่ ไม่มีฤทธิ์เดชใดๆ เลย จึงนึกถึงบุญบารมีของท่าน แล้วตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ตัวท่านเองบวชเพื่อความพ้นทุกข์โดยแท้ มิได้มุ่งหวังเป็นอื่นเลย ขอบาตรของพระพุทธเจ้าจงมาปรากฏในมือท่านด้วยเถิด
สิ้นคำอธิษฐาน บาตรของพระพุทธองค์ก็ปรากฏขึ้นในมือของพระอชิตะทีเดียว พระอชิตะก็น้อมบาตรถวายคืนแด่พระพุทธเจ้า
พระนางปชาบดีตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก มีปีติเป็นล้นพ้น
แล้วพระพุทธเจ้า ก็ทรงมีพุทธพยากรณ์ว่า พระอชิตะรูปนี้ไม่ธรรมดา อนาคตจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป นามว่า ศรีอารียเมตไตร
จากตรงนี้ พระอาจารย์ในวัด ท่านเคยแนะนำผมว่า
หากอยากถวายทานหลวงพ่อโดยลำพังแล้วล่ะก็ ให้นึกน้อมถวายเป็นสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ในวัด โดยมีหลวงพ่อ(เจ้าอาวาส) เป็นประธาน
เพียงเท่านี้บุญจะยิ่งใหญ่มหาศาลทับทวีครับ
#14
โพสต์เมื่อ 25 September 2009 - 09:14 AM
#15
โพสต์เมื่อ 29 September 2009 - 06:21 PM
เราพรางคนอื่นได้ แต่เราพรางตนเองไม่ได้
#16
โพสต์เมื่อ 06 October 2009 - 02:12 PM