การแยกนิกายถือเป็นการทำสังฆเภทมั๊ยครับ
#1
โพสต์เมื่อ 18 April 2006 - 02:38 PM
#2
โพสต์เมื่อ 18 April 2006 - 03:05 PM
ต่อให้ชาตินี้เกิดมาทำบุญอย่างเต็มกำลัง แต่ถ้าทำสงฆ์แตกแยกก็ต้องลงไปใช้กรรมชั่วก่อนแน่นอน
อยู่แล้วหละครับ เหมือนอย่างพระเจ้าอาชาติศัตรูแหละครับ ถึงท่านจะสำนึกได้ภายหลังใส่บาตรพระพุทธองค์
ทำนุบำรุงพระศาสนาตลอดอายุขัยก็หาได้หนีอเวจีมหานรกไปได้ครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#3
โพสต์เมื่อ 18 April 2006 - 11:01 PM
#4
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 10:37 AM
#5
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 04:41 PM
พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว
#6
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 08:52 PM
ก็จักได้บุญใหญ่เช่นกัน
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#7
โพสต์เมื่อ 19 April 2006 - 09:38 PM
ใครรู้ช่วยบอกบ้างนะครับ ตอนนี้พยายามหาข้อมูลอยู่
#8
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 03:07 PM
ใครรู้ช่วยบอกบ้างนะครับ
เท่าที่พอจำได้ก็มีการพยายามแยกนิกายมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลคือ การพยายามแยกนิกายโดยพระเทวทัต โดยการขอวัตถุ 5 ประการ และหลังพุทธปรินิพพานได้ 500 ปี ก็เกิดการแยกนิกายออกเป็น มหายาน และเถรวาท ครับ สาเหตุของการแยกนิกายในยุคนั้นๆ เกิดขึ้นจากการถกเถียงกันของพระสงฆ์ 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งได้อ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสช่วงใกล้จะปรินิพพานกับพระอานนท์ว่า สิกขาบทเล็กน้อยข้อใดถ้าไม่เอื้ออำนวยกับยุคสมัยจะพึงเพิกถอนเสียก้ได้เพื่อประโยชน์แห่งหมู่สงฆ์ โดยพระอีกกลุ่มหนึ่งเข้าใจว่าพระพุทธองค์ทรงต้องการลองใจสาวกเท่านั้นจึงไม่พิกถอนสิกขาบท แต่พระอีกกลุ่มกลับต้องการให้เพิกถอนสิกขาบทครับ
เช่น พระที่แตกแยกเป็นอีกนิกาย ก็บอกว่าพระสงฆ์สามารถปลูกผักกินเองได้ ฆ่าคนได้บ้างเพื่อป้องกันตัว จับสีกาได้ไม่ผิด แต่งงานได้มีเมียได้ กินอาหารในเวลาวิกาลได้ เหมือนอย่างในบางประเทศที่ทำๆ กันอยู่ทุกวันนี้ครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#9
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 03:15 PM
อันนี้...เขียนขึ้นจากข้อมูลที่เคยได้รับรู้มา อาจจะมีจำผิดพลาดบ้างหรือปล่าว ผมไม่แน่ใจ ถ้าเกิดผมบอกผิดพลาดไป ใครที่รู้ข้อมูลจริงๆ รบกวนช่วยแก้ไขให้ด้วยนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#10
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 05:02 PM
ดังนั้นผู้ทำสังฆเภทนี่ก็เยอะน่าดู
น่าสงสารจังเลย
เป็นบาปที่ปลดล็อกไม่ได้
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#11
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 05:46 PM
#12
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 06:20 PM
#13
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 06:39 PM
คนที่เป็นพระจริงๆ จะไม่ทะเลาะกับใครเขาครับแม้แต่ศาสนาเดียวกันหรือต่างศาสนาครับ สาเหตุที่ทะเลาะเพราะ
คนส่วนใหญ่มักปล่อยจิตให้ไหลไปตามอำนาจของกิเลสมารในใจตนอยู่เสมอๆ ครับ เมื่อใจไม่เป้นพระเสียแล้ว
ความคิด การพูด และการกระทำ จะให้อยู่ในวิสัยที่เป็นพระมีความสามัคคีก็คงจะทำได้ยากครับ
เพราะทุกคนคือหุ่นเชิดของบุญ และบาปครับ ตราบใดมนุษย์เราส่วนใหญ่ยังไม่หมดกิเลสก็ต้องเป็นแบบนี้แหละครับ
ศาสนาพุทธดีจริงครับ แต่เสียตรงที่คนที่เข้ามานับถือนั้นจริงแท้แค่ไหนกับศาสนาของพระพุทธเจ้าหนะครับ
ข้อนี้ผมก็เห็นเหมือนอย่างที่คุณแจ่มเห็นแหละครับว่า เราชาวพุทธจำนวนไม่น้อยยังขัดกันเองอยู่มากเลยครับ
สาเหตุก็เพราะกิเลสมารในใจของแต่ละคนมันบังคับให้คิด พูด กระทำ นึกแล้วก็สังเวชใจครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#14
โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 08:07 PM
#15
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 12:13 AM
ก่อนอื่นต้องถามก่อนครับว่า ถ้าเทวทัตเจตนาทูลขอวัตถุ 5 ประการกับพระพุทธเจ้าเราเพื่อที่จะทำสังฆเภท
แล้วสาวกที่ติดตามเทวทัตหละจะตกนรกตามหรือไม่?? เท่าที่ผมค้นคว้ามาพบว่าพระเพื่อนของเทวทัตก็ตกนรกอเวจี
เหมือนกันนะครับเพียงแต่ตายช้ากว่าเทวทัตเท่านั้นเอง
ดังนั้น ถ้าอลัชชีใดที่ทำตนเจตนาแบ่งแยกพระพุทธศาสนา สมรู้ร่วมคิด มีจิตเป็นบาป รู้ทั้งรู้ว่าผิดก็ยังทำ เป็นมิจฉาทิฐิ
มองไม่เห็นความเลวที่มีในตน ถ้าครบสูตรแบบนี้ก็ต้องตามไปเป็นสาวกของเทวทัตในอเวจีมหานรกแน่นอนครับ
ตามพุทธประเพณีผู้ที่จะบวชพระได้นั้นจะต้องมีอุปัชฌาย์ที่เป็นพระในพระพุทธศาสนาแท้ๆ เท่านั้นทำการบวชให้
ดังนั้นการบวชกับอลัชชีที่อ้างตนว่าเป็นพระที่ออกนอกพุทธศาสนาหรือตั้งนิกายใหม่ ผู้ที่บวชตามหลังกับพระอลัชชีเหล่านี้
ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นพระในพระพุทธศาสนาตามพุทธประเพณีครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#16
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 08:55 AM
อย่างนี้ผู้ที่บวช หรือผู้ที่สนใจอยากจะบวช จะรู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังบวชกับพระอุปัชฌาย์ที่เป็นพระในพระพุทธศาสนาแท้ๆ มีหลักเกณฑ์ใดบ้างที่จะใช้ในการพิจารณา
#17
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 11:55 AM
ละชั่ว ทำดี ทำใจ ผ่องใส นี้เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถ้าพระอุปัชฌาย์ท่านสอนอย่างนี้ ก็ผ่านในหลักเกณฑ์กว้างๆ แล้ว ที่นี้ก็มาดูในหลักเกณฑ์ละเอียดต่อๆไป เช่น ศีล 277 ข้อ ท่านปฏิบัติได้ตรงหรือไม่ ถ้าตรงก็ย่อมไม่ผิดล่ะครับ
#18
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 03:11 PM
คำถาม คือ กุลบุตรผู้นี้ออกบวชด้วยศรัทธาเต็มเปี่ยม แต่เผอิญไปเจอพระอุปัชฌาย์ในกรณีดังที่ว่ามาข้างบน ถามว่า กุลบุตรผู้นี้จะถือว่า ได้บวชเป็นพระที่สมบูรณ์ตามพระธรรมวินัยหรือไม่
คำตอบ คือ ไม่ครับ กุลบุตรผู้นี้ไม่อาจจะถือว่าเป็นพระภิกษุที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าได้
เหตุผล คือ ผู้ที่บวชให้ท่าน หรือพ่อในทางธรรมยังไม่ใช่พระภิกษุที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย แล้วตัวกุลบุตรผู้เป็นลูกตามพระธรรมวินัยจะถือว่าเป็นพระภิกษุที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยได้อย่างไร
ถ้าเช่นนั้น กุลบุตรที่พึงปรารถนาจะบวชอย่างสมบูรณ์ ควรทำอย่างไร
คำตอบ คือ ก็ต้องบวชกับพระอุปัชฌาย์ที่เป็นพระที่สมบูรณ์ตามพระธรรมวินัย โดย ขั้นตอนแรก ต้องดูว่า พระอุปัชฌาย์มีใบสุทธิสงฆ์ ที่คณะสงฆ์ไทยออกให้ถูกต้องตามกฎคณะสงฆ์หรือไม่ และ ขั้นตอนต่อมาก็ต้องพิจารณาถึง ข้อวัตรปฏิบัติของพระอุปัชฌาย์ว่า เป็นพระที่บริสุทธิ์หรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ ก็ต้องเช็คกันต่อๆ ไปว่า แล้วพระอุปัชฌาย์ของพระอุปัชฌาย์ของพระอุปัชฌาย์....เป็นใคร เช็คเท่าที่จะเช็คได้ครับ
ด้วยเหตุนี้ ถึงได้บอกว่า การบวชถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้โดยยากไงครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#19
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 06:04 PM
#20
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 12:42 AM