มาช่วยกันเปลี่ยนทัศนคติของคนในยุคนี้กันเถอะ
#1
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 11:45 AM
พอไปถึง คุณหมอหญิงดูประวัติแล้ว บทสนทนาก็เกิดขึ้น โดยมีพยาบาลนั่งข้างๆ อยู่
คุณหมอ : รู้ึสึักอย่างไรบ้าง เจ็บหน้าอกบ้างหรือไม่
หัดฝัน : ไม่เจ็บครับ
คุณหมอ : นอนราบได้ไหม
หัดฝัน : นอนได้ครับ
คุณหมอ : แพ้ยาอะไรไหม
หัดฝัน : ไม่แพ้ครับ
คุณหมอ : ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ไหม
หัดฝัน : ไม่ดื่มไม่สูบครับ
คุณหมอ : ทำไมล่ะ
หัดฝัน : (ยิ้มๆ) มันผิดศีลครับ
คุณหมอและพยาบาลที่นั่งข้างๆ (หัวเราะก๊าก) ในขณะที่ผมยังยิ้มอยู่
คุณหมอ : คนไข้นี่มีอารมณ์ล้อเล่นน่ะ นี่พูดจริงหรือพูดเล่นน่ะ
หัดฝัน : พูดจริงครับ ผมถือศีล 5 อยู่
คุณหมอ : โอ้โห หายากมาก เดี๋ยวขอถ่ายรูปส่งไปประกวดหน่อยนะ (คุณหมอท่านล้อเล่น)
พยาบาล : ไม่เคยได้ิยินมาก่อน เลยยุคนี้ ว่าใครถือศีล
และแล้ว การรักษาก็ผ่านไป
แต่ในใจผมกลับคิดว่า ยุคนี้ คนไม่รักษาศีล ถือเป็นปรกติ ส่วนคนรักษาศีลถือว่า ผิดปรกติ แล้วหรือนี่ เราต้องช่วยกันเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ด้วยการช่วยกัน ชวนคน ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ให้ฟ้าเปลี่ยนสี ลมเปลี่ยนทิศ สังคมเปลี่ยนยุค ให้กลับมาเป็นเหมือนยุคของปู่ย่าตายาย ให้จงได้
พวกเรามาร่วมด้วยช่วยกันนะครับ
#2
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 12:12 PM
#3
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 02:04 PM
#4
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 03:08 PM
#5
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 03:31 PM
#6
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 04:06 PM
SILA always mean normal.
NB.This mail reply from Shanghi airport.
#7
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 04:31 PM
#8 *Thitiwan Indradat*
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 04:56 PM
#9
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 07:21 PM
#10
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 08:53 PM
ความประพฤติที่เป็นความทุจริตหลายอย่างมีท่าทีจะกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปพากันยอมรับ
และสมยอมให้กระทำกันได้เป็นธรรมดา สภาพการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้วิถีชีวิตของแต่ละคนมืดมัวลงไป
เป็นปัญหาใหญ่ที่เหมือนกระแสคลื่นอันไหลบ่าเข้ามาท่วมทั่วไปหมด
จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการฝืนคลื่นที่กล่าวนั้น
ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใด ๆ
ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่า ชั่วเสื่อมเราต้องฝืนต้องต้านความคิด และความประพฤติทุกอย่าง
ที่รู้สึกว่าขัดต่อธรรมะ เราต้องกล้า และบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่า
เป็นความดีเป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริง ๆ
ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น ๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ"
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะกรรมการสมาคมสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย
ณ ตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔
http://www.tv5.co.th...ama9/rama91.htm
คุณหมอหญิงท่านนี้ อายุประมาณเท่าใดครับ
ผมจะได้อนุมาณ พฤติกรรมที่เป็นพลวัตรทางสังคม และอาชีพได้ครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#11
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 09:15 PM
#12
โพสต์เมื่อ 25 May 2007 - 10:08 PM
แต่ผมว่าเป็นกันทุกอาชีพแหละ ยิ่งสมัยนี้ คนการศึกษาสูง ความรู้ทางคุณธรรมยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
โกงได้เป็นโกง เอาเปรียบได้เป็นเอาเปรียบ แม้แต่คนมาวัดบางคนก้อยังเป็น
การเปลี่ยนทัศนคตินั้นไม่ง่าย หลายคนใช้วิธีการโต้คารม เพื่อเอาชนะ แต่เปลี่ยนใจคนไม่ได้
ผมว่าต้องเริ่มที่พวกเราหนะครับ วางตัวให้คนอื่นยอมรับ
ไปอยู่ที่ไหน ทำอะไร ให้ทำตัวเป็นคนที่น่ารัก น่าพูดคุย น่าเข้าใกล้
อย่าไปทำตัวให้แปลก แยก แตกต่างจนเกินไป ให้เข้าคนง่าย อย่าวางตัวพองลม
หรือง่ายๆ ทำตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ก้อได้
ผมเคยมีเพื่อนร่วมงานเป็นคนวัด เธอจะคบแต่คนวัด แต่เข้ากับเพื่อนร่วมงานคนอื่นไม่ได้
เห้นอะไรขวางหูขวางตา เธอก้อจะเทศน์สอนเขาไปซะทุกเรื่อง
ก้อเข้าใจนะว่าเจตนาดี แต่บางที่ก้อต้องดูเวลา อารมณ์ กาละเทศ บ้างเหมือนกัน
คนมาวัดบางคน มาพบผมที่ รพ ก้อจะอาศัยทางลัดของการเป็นคนวัดด้วยกันลัดคิวคนอื่น
ไม่ได้รักษาระบบที่เขาวางไว้ หรือมาพบหมอท่านอื่นก้อมัวคุยโทรศัพท์จนหมอไม่มีโอกาสได้ซักถาม
บางครั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆ ทำให้การเผยแผ่ธรรมะยากขึ้นครับ
#13
โพสต์เมื่อ 26 May 2007 - 01:39 AM
อิอิ
"ถ้าหากข้าพเจ้า ผิดพลาดแต่ประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ"
ความคิดอันวิเศษ มาจากใจที่สงบ
ความอดทนอันสูงสุด มาจากใจที่หยุดนิ่ง
น้องขวัญ
...A LiTTle GuiDE...
อาสาสมัครแผนกมัคคุเทศก์
สังกัดกองปฏิสันถาร สำนักศรัทธาภิบาล
#14
โพสต์เมื่อ 26 May 2007 - 09:46 AM
ขอบคุณ คุณ Somch ที่แนะนำน่ะครับ ผมอาจจะตอบตรงไป เพราะไม่ทันได้คิด น่าจะตอบว่า ผมร่วมอยู่ในองค์กรงดเหล้า สสส อยู่ ก็สามารถบอกได้ แต่ตอนช่วงนั้น เนื่องจากรอรักษานาน เพราะก่อนเข้าไปตรวจ ไฟดับพอดี
ทำให้ทางโรงพยาบาลเสียเวลาแก้ไขไฟฟ้าอยู่พักใหญ่ ผมระหว่างที่นั่งรอ จึงนึกถึงบุญที่ทำผ่านมา เช่น ทาน ศีล ภาวนาไป ใจมันเลยคุ้นน่ะครับ
ไม่ได้มีเจตนาจะว่าคุณหมอหรืออย่างไร เพราะเราก็คุยกันแบบเบิกบาน เพียงแต่คุณหมอท่านคงเจอคนไข้มาเยอะแล้วไม่เคยเจอแบบนี้ เท่านั้นแหละครับ ซึ่งใจผมก็ไม่คิดจะไปเปลี่ยนอะไรคุณหมอนะครับ แค่เราทุกคนช่วยกันเปลี่ยนตัวเราและญาติมิตร ต่อไปพอคุณหมอได้เจอคนไข้ที่รักษาศีลเยอๆะ ทัศนคติก็จะเปลี่ยนไปเอง
ส่วนคนวัดที่คุณ Somch ยกตัวอย่างมา ผมก็เข้าใจครับ และเคยเจอมาบ้างเหมือนกัน ผมว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะนิสัยของคนประเภทนี้น่ะครับ เพราะต่อให้เขาไม่เข้าวัด เขาก็จะยังคงมีปรกติชอบทำตัว เหนือคนอื่นนิดๆ ในเรื่องวิชาการที่ตนถนัด เวลาพูดจาก็จะสอนคนอื่นนิดๆ ในวิชาการที่ตัวถนัด เป็นปรกติของคนประเภทนี้อยู่แล้วน่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับการเข้าวัดหรอกครับ
#15
โพสต์เมื่อ 26 May 2007 - 10:32 AM
ในช่วงแรก ๆ ก็ได้รับคำตอบที่ไม่น่าฟัง "ก็คนมันไม่ศรัทธา ทำยังไง ๆ ก็ไม่ศรัทธา" ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก ได้แต่คิดและให้กำลังในตัวเอง ว่า "เรายังใช้เวลาตั้งสี่สิบปี ตั้งแต่เกิดจนได้เข้าวัดเป็นจริงเป็นจัง เราจงมุ่งมั่นเป็นกัลยาณมิตรให้กับเขาต่อไปนะ"
วันนี้เขาเริ่มฟังผมบ้างแล้ว และเริ่มมีความคิดอยากร่วมทำบุญด้วยในบางครั้ง
ผมเชื่อว่า คนทุกคนเหมือนกันหมด มีจิตเป็นกุศลเหมือนกัน แต่หลายคนไม่สามารถเข้าถึงกุศลจิตได้ด้วยตนเอง เช่นเดียวกับน้องเขย พี่เขยของผม
ผมขออธิษฐานภาวนาให้ทุกท่าน เข้าถึงจิตอันเป็นกุศล เข้าถึงศีล ถึงธรรม ได้บรรลุโสดาทุกท่านเทอญ
#16
โพสต์เมื่อ 26 May 2007 - 11:11 AM
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ
#17
โพสต์เมื่อ 26 May 2007 - 03:56 PM
แต่เพื่อนๆกลับคิดว่าผมผิดปรกติเพราะไม่ดื่มไม่สูบ ซึ่งแต่ก่อนผม*-*/*/-*** มากๆ แต่ได้หักดิบเลิกได้หมด
กลายเป็นว่าผมเป็นคนผิดปรกติในสังคมซะนี้ โถ่สังคมปัจจุบัน
#18
โพสต์เมื่อ 26 May 2007 - 05:09 PM
ไม่ได้รักษาระบบที่เขาวางไว้ หรือมาพบหมอท่านอื่นก้อมัวคุยโทรศัพท์จนหมอไม่มีโอกาสได้ซักถาม
บางครั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆ ทำให้การเผยแผ่ธรรมะยากขึ้นครับ"
ที่คุณ SOMCH ตอบมานั้น มีเยอะครับ คนวัดบางคนอัตตาก็สูง เหมือนน้ำมัน เจอคนข้างนอกเหมือนน้ำ ก็เข้ากันยาก ทะเลาะกันก็มี เขากินเขาสูปเขาดื่ม ก็ไม่แปลว่าเขาจะเลว ค่อยๆ แนะกันไป ทำให้ดู ดีกว่า อู้ให้ฟัง ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านได้มีเมตตาสอนเรา เนาะ
ที่ผมเรียนผมมานะครับว่า กฎสูงสุดของจักรวาล คือ
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เรียกว่าธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาตินี้จะมีกฎสูงสุดที่ควบคุมอยู่
ซึ่งกฎนี้เรียกเป็นภาษาบาลีว่า กฎอิทัปปัจจยตา
โดยกฎนี้จะบังคับเอาไว้ตายตัวว่า
ทุกสิ่งต้องเกิดมาจากเหตุ คือไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆ
โดยไม่มีเหตุ ซึ่งกฎนี้จะครอบงำทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือพวกนามธรรม(เช่น จิตใจ ,ความเสื่อม,ความเจริญ)
ตอนนี้จิตใจ หมอและพยาบาลที่กล่าวมาเป็นอย่างนี้ ตอนหน้าก็จะเป็นอย่างนั้นก็ได้ อย่างนั้น อย่างนี้
ตอนนี้เราทุกคนล้วนตกอยู่ภายใต้ กฎไตรลักษณ์
ซึ่งแสดงออกมาเป็นลักษณะสามัญหรือธรรมดาๆที่เราพบเห็นได้ง่ายๆ อันได้แก่
๑. ความไม่เที่ยงแท้ถาวร คือไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาแล้วจะเที่ยงแท้ถาวรเป็นอมตะนิรันดรไปได้
๒. ความต้องทนอยู่ คือเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องทนอยู่เสมอ ถ้าจิตใจทนง่ายก็เรียกว่าสุข ถ้าทนยากก็เรียกว่าทุกข์
๓. ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง คือเมื่อเกิดมาก็ต้องอาศัยเหตุมาทำให้เกิด ดังนั้นมันจึงไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง
คุณหมอละพยาบาลอาจจะสำเร็จ มรรคและผล ก่อนเราพันธุ์รื้อวัฎฎะ
ก็ได้ มันไม่แน่ เพราะ เราตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษ์ จริงไหมครับ พี่น้อง
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#19
โพสต์เมื่อ 27 May 2007 - 09:48 PM
#20
โพสต์เมื่อ 27 May 2007 - 09:56 PM
ปัจจุบันสื่อสีคล้ำพยามจะชี้นำสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก
ทำให้เพื่อนมนุษย์ไขว้เขว่+ขาดกัลยาณมิตรที่ดี
จึงเป็นหน้าที่ของยอดกัลฯ ทุกท่านที่จะต้องช่วย
กันปรับความเข้าใจให้ถูกต้องแก่เพื่อนมนุษย์