พระอานนท์ - ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็จะควรเรียกว่า ภิกษุผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาทด้วยเหตุอันใด ฯ
พระพุทธเจ้า - ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า
ทรงแสดงธรรมอิทัปปัจจยตา
เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุนี้เกิดขึ้น ผลนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
อย่างนี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทแบบปฎิโลม (พิจารณาการดับของทุกข์เป็นลําดับขั้น)
แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับด้วยวิราคะไม่มีส่วนเหลือ จึงดับสังขารได้
เพราะสังขารดับ จึงดับวิญญาณได้
เพราะวิญญาณดับ จึงดับนามรูปได้
เพราะนามรูปดับ จึงดับสฬายตนะได้
เพราะสฬายตนะดับ จึงดับผัสสะได้
เพราะผัสสะดับ จึงดับเวทนาได้
เพราะเวทนาดับ จึงดับตัณหาได้
เพราะตัณหาดับ จึงดับอุปาทานได้
เพราะอุปาทานดับ จึงดับภพได้
เพราะภพดับ จึงดับชาติได้
เพราะชาติดับ จึงดับชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ได้
อย่างนี้เป็นความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ดูกรอานนท์ ด้วยเหตุเท่านี้แล จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท
(พระสุตตันตปิฎก เล่ม๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ข้อ๒๔๔ หน้า๑๖๔)
มีพุทธพจน์ตรัสเตือนไว้ ไม่ให้ประมาทหลักปฏิจจสมุปบาทนี้ว่าเป็นหลักเหตุผลที่เข้าใจง่าย เพราะมีเรื่องที่พระอานนท์เข้าไปกราบทูลพระองค์ และพระองค์ได้ตรัสตอบ มีความดังนี้
พระอานนท์ - "น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาเลยพระเจ้าข้า หลักปฏิจจสมุปบาทนี้ถึงจะเป็นธรรมลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้ง แต่ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนเป็นธรรมง่ายๆ"
พระพุทธเจ้า - "อย่ากล่าวอย่างนั้น อย่ากล่าวอย่างนั้น อานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นธรรมอันลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอดหลักธรรมข้อนี้แหละ หมู่สัตว์นี้จึงวุ่นวายเหมือนเส้นด้ายที่ขอดกันยุ่ง..........ฯลฯ."
(ที่มา สํ.นิ. ๑๖/๒๒๔-๕/๑๑๐-๑)
กล่าวโดยรวม คือ ปฏิจจสมุปบาท เป็นพระธรรมที่ว่าด้วยสาเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และ ถ้าต้องการทำให้การเดินทางในสังสารวัฏของเราหักสะบั้นลง ก็ต้อง ดับที่ต้นเหตุ คือ อวิชชา เพราะเมื่ออวิชชาดับ เหตุและป้จจัยที่ตามมาเป็นลูกโซ่ก็ดับไปตามลำดับ ตามขั้นตอนดังที่พระพุทธองค์ได้แสดงเอาไว้ที่ข้างบนนั่นเอง ดังนั้นเราจึงได้ยินพระท่านเทศน์ว่า อวิชชา นั้นเป็นตัวร้าย เราจำเป็นต้องกำจัดทิ้งไงครับ