โลกุตตรธรรมเก้าคืออะไร
#1
โพสต์เมื่อ 08 June 2008 - 10:01 PM
มรรค8 เท่านั้น ขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
#2
โพสต์เมื่อ 08 June 2008 - 10:16 PM
ขอตอบสั้น ๆ เพียงว่า
มรรค ๔ คือ โสดาปัติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค
ผล ๔ คือ โสดาปัตติผล สกิทาคทมิผล อนาคามิผล อรหัตผล
หรือจับคู่กันดังนี้
๑. โสดาปัตติมรรค ๑. โสดาปัตติผล
๒. สกิทาคามิมรรค ๒. สกิทาคามิผล
๓. อนาคามิมรรค ๓. อนาคามิผล
๔. อรหัตตมรรค ๔. อรหัตตผล
ดังนั้น โลกุตตรธรรม ๙ จึงหมายถึง
มรรค ๔ คือ โสดาปัติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค
ผล ๔ คือ โสดาปัตติผล สกิทาคทมิผล อนาคามิผล อรหัตผล
+ นิพพาน ๑
รายละเอียดต้องอ่านพระธรรมเทศนา ของพระมงคลเทพมุนี ครับ
และในทางปฏิบัติ ต้องเข้าถึงสภาวะธรรมนั้น ๆ เองครับ
จึงจะเข้าใจถึงการเข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ
กายธรรมโสดา หยาบ-ละเอียด
กายธรรมสกิทาคามี หยาบ-ละเอียด
กายธรรมอนาคามี หยาบ-ละเอียด
กายธรรมอรหัต หยาบ-ละเอียด
ส่วน มรรค ๘ ที่บอกมานั้น คือ มรรค มีองค์ ๘ มี สัมมาทิฐเป็นเบื้องต้น เรื่อยไปถึง สัมมาสมาธิ ครับ
มรรค ว่าโดยองค์ประกอบ คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกเต็มว่า
อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า ทางมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐ
เรียกสามัญว่า มรรคมีองค์ ๘ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ
(เห็นชอบ ได้แก่ ความรู้อริยสัจ ๔ หรือ เห็นไตรลักษณ์ หรือ
รู้อกุศลและอกุศลมูลกับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท
— Right View; Right Understanding)
๒. สัมมาสังกัปปะ
(ดำริชอบ ได้แก่ เนกขัมมสังกัป อพยาบาทสังกัป อวิหิงสาสังกัป
— Right Thought
๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ ได้แก่ วจีสุจริต ๔
— Right Speech)
๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ ได้แก่ กายสุจริต ๓
— Right Action)
๕. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ ได้แก่ เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาชีพ
— Right Livelihood)
๖. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ ได้แก่ ปธาน หรือ สัมมัปปธาน ๔ — Right Effort)
๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ — Right Mindfulness)
๘. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ ได้แก่ ฌาน ๔ — Right Concentration)
องค์ ๘ ของมรรค จัดเข้าในธรรมขันธ์ ๓ ข้อต้น คือ
ข้อ ๓-๔-๕ เป็น ศีล
ข้อ ๖-๗-๘ เป็น สมาธิ
ข้อ ๑-๒ เป็น ปัญญา
มรรคมีองค์ ๘ นี้ ได้ชื่อว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง เพราะเป็นข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่จุดหมายแห่งความหลุดพ้นเป็นอิสระ ดับทุกข์
ปลอดปัญหา ไม่ติดข้องในที่สุดทั้งสอง คือ
กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ที่สุด ๒
D.II.321; M.I.61; M,III.251; Vbh.235.
ที.ม.๑๐/๒๙๙/๓๔๘; ม.มู.๑๒/๑๔๙/๑๒๓; ม.อุ.๑๔/๗๐๔/๔๕๓; อภิ.วิ.๓๕/๕๖๙/๓๐๗.
2. มรรค ว่าโดยระดับการให้สำเร็จกิจ คือ ทางอันให้ถึงความเป็นอริยบุคคลแต่ละขั้น,
ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด เป็นชื่อแห่งโลกุตตรธรรม คู่กับผล
มี ๔ ชั้นคือ โสดาปัตติมรรค ๑ สกทาคามิมรรค ๑ อนาคามิมรรค ๑ อรหัตตมรรค ๑
#3
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 08:41 AM
นำกระทู้ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน มาให้ศึกษาเพิ่มเติมครับ
"โลกุตรธรรมเก้า"
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4467
#4
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 08:53 AM
#5
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 11:27 AM
#6
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 12:50 PM
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#7
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 02:49 PM
โลก=โลก
อุตร,อุดร=เหนือ
ธรรม=ธรรม,ความจริง
โลกุตรธรรม คือ ธรรมอันอยู่เหนือโลก 9ประการ ,สภาวะพ้นโลกหรือสภาวะเหนือโลก(พระอริยะบุคคล8นิพพาน1)
#8
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 02:54 PM
#9
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 08:36 PM
#10
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 12:30 AM
#11
โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 12:48 AM
#12
โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 11:06 AM
#13
โพสต์เมื่อ 12 June 2008 - 03:12 PM
#14
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 07:33 PM
มรรค ๔
(ทางเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล, ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด - the path)
๑. โสดาปัตติมรรค
(มรรคอันให้ถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพานทีแรก, มรรคอันให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน
เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
- the path of stream-entry)
๒. สกทาคามิมรรค
(มรรคอันให้ถึงความเป็นพระสกทาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อต้น
กับทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง
- the path of once-returning)
๓. อนาคามิมรรค
(มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอนาคามี เป็นเหตุละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้ง ๕
- the path of non-returning)
๔. อรหัตตมรรค
(มรรคอันให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เป็นเหตุละสังโยชน์ได้หมดทั้ง ๑๐
- the path of Arahantship).
ดู (๓๑๗) สังโยชน์ ๑๐.
****
ผล ๔
(ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค, ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผลเกิดเองในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้นๆ - fruition)
๑. โสดาปัตติผล
(ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน, ผลอันพระโสดาบันพึงเสวย - fruition of stream-entry)
๒. สกทาคามิผล
(ผลอันพระสกทาคามีพึงเสวย - fruition of once-returning)
๓. อนาคามิผล
(ผลอันพระอนาคามีพึงเสวย - fruition of non-returning)
๔. อรหัตตผล
(ผลคือความเป็นพระอรหันต์, ผลอันพระอรหันต์พึงเสวย - fruition of Arahantship)
ผล ๔ นี้ บางทีเรียกว่า สามัญญผล
(ผลของความเป็นสมณะ, ผลแห่งการบำเพ็ญสมณธรรม
- fruits of a monk's life; fruits of the monkhood)
*****
อริยบุคคล ๘
แยกเป็น มรรคสมังคี (ผู้พร้อมด้วยมรรค) ๔, ผลสมังคี (ผู้พร้อมด้วยผล) ๔.
๑. โสดาบัน
(ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
— one who has entered the stream; one established in the Fruition of Stream-Entry;
Stream-Enterer)
๒. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล
(พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค
— one who has worked for the realization of the Fruition of Stream-Entry;
one established in the Path of Stream-Entry; one established in the Path of Stream-Entry)
๓. สกทาคามี
(ท่านผู้บรรลุสกทาคามิผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล
— one who is a Once-Returner; one established in the Fruition of Once-Returning)
๔. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล
(พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค
— one who has worked for the realization of the Fruition of Once-Returning;
one established in the Path of Once-Returning)
๕ อนาคามี
(ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล
— one who is a Non-Returner; one established in the Fruition of Non-Returning)
๖. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล
(พระตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค
— one who has worked for the realization of the Fruition of Non-Returning;
one established in the Path of Non-Returning)
๗. อรหันต์
(ท่านผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล
— one who is an Arahant; one established in the Fruition of Arahantship)
๘. ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล
(พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค
— one who has worked for the realization of the Fruition of Arahantship;
one established in the Path of Arahantship
ดู (๑๖๓-๔) มรรค ๔ ผล ๔ ด้วย.
****
โสดาบัน ๓
(ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, ผู้แรกถึงกระแสอันนำไปสู่พระนิพพาน แน่ต่อการตรัสรู้ข้างหน้า
— Stream-Enterer)
๑. เอกพีชี
(ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว คือ เกิดอีกครั้งเดียว ก็จักบรรลุอรหัต
— the Single-Seed)
๒. โกลังโกละ
(ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือ เกิดในตระกูลสูงอีก ๒-๓ ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก ๒-๓ ภพ ก็จักบรรลุอรหัต
— the Clan-to-Clan)
๓. สัตตักขัตตุงปรมะ
(ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือ เวียนเกิดในสุคติภพอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุอรหัต
— the Seven-Times-at-Most)
****
สกทาคามี
(ท่านผู้บรรลุสกทาคามิผลแล้ว, ผู้กลับมาอีกครั้งเดียว
— Once-Returner)
พระสกทาคามีนี้ ในบาลีมิได้แยกประเภทไว้
แต่ในคัมภีร์รุ่นหลังแยกประเภทไว้หลายอย่าง เช่น
ในคัมภีร์ ปรมัตถโชติกา แยกไว้เป็น ๓ ประเภท คือ
ผู้ได้บรรลุผลนั้น ในกามภพ ๑ ในรูปภพ ๑ ในอรูปภพ ๑
ในคัมภีร์ ปรมัตถมัญชุสา จำแนกไว้ ๕ ประเภท คือ
ผู้บรรลุในโลกนี้แล้วปรินิพพานในโลกนี้เอง ๑
ผู้บรรลุในโลกนี้แล้ว ปรินิพพานในเทวโลก ๑
ผู้บรรลุในเทวโลกแล้วปรินิพพานในเทวโลกนั้นเอง ๑
ผู้บรรลุในเทวโลกแล้ว เกิดในโลกนี้จึงปรินิพพาน ๑
ผู้บรรลุในโลกนี้แล้ว ไปเกิดในเทวโลกหมดอายุแล้ว กลับมาเกิดในโลกนี้จึงปรินิพพาน ๑
และอธิบายต่อท้ายว่า พระสกทาคามีที่กล่าวถึงในบาลีหมายเอาประเภทที่ ๕ อย่างเดียว
นอกจากนี้ ที่ท่านแบ่งออกเป็น ๔ บ้าง ๑๒ บ้าง ก็มี แต่จะไม่กล่าวไว้ในที่นี้
KhA.182. ขุทฺทก.อ.๑๙๙; วิสุทฺธิ. ฏีกา ๓/๖๕๕.
****
อนาคามี ๕
(ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก — Non-Returner)
๑. อันตราปรินิพพายี
(ผู้ปรินิพพานในระหว่าง คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้ว
อายุยังไม่ถึงกึ่ง ก็ปรินิพพานโดยกิเลสปรินิพพาน
— one who attains Parinibbana within the first half life-span)
๒. อุปหัจจปรินิพพายี
(ผู้จวนจะถึงจึงปรินิพพาน คือ อายุพ้นกึ่งแล้ว จวนจะถึงสิ้นอายุจึงปรินิพพาน
— one who attains Parinibbana after the first half life-span)
๓. อสังขารปรินิพพายี
(ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยง่าย ไม่ต้องใช้ความเพียรนัก
— one who attains Parinibbana without exertion)
๔. สสังขารปรินิพพายี
(ผู้ปรินิพพานโดยใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก
— one who attains Parinibbana with exertion)
๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี
(ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้วก็ตาม จะเกิดเลื่อนต่อขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพแล้วจึงปรินิพพาน
— one who goes upstream bound for the highest realm;
up-streamer bound for the Not-Junior Gods)
****
อรหันต์ ๔, ๕, ๖๐ (an Arahant; arahant; Worthy One)
๑. สุกฺขวิปสฺสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน — bare-insight-worker)
๒. เตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา ๓ — one with the Threefold Knowledge)
๓. ฉฬภิญฺโ (ผู้ได้อภิญญา ๖ — one with the Sixfold Superknowledge)
๔. ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา — one having att...the Analytic Insights)
พระอรหันต์ทั้ง ๔ ในหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงประมวลแสดงไว้
ในหนังสือธรรมวิภาคปริจเฉทที่ ๒ หน้า ๔๑ พึงทราบคำอธิบายตามที่มาเฉพาะของคำนั้นๆ
แต่คัมภีร์ทั้งหลายนิยมจำแนกเป็น ๒ อย่าง เหมือนในหมวดก่อนบ้าง เป็น ๕ อย่างบ้าง
ที่เป็น ๕ คือ
๑. ปัญญาวิมุต
(ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา
— one liberated by wisdom)
๒. อุภโตภาควิมุต
(ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อนแล้วได้ปัญญาวิมุตติ
— one liberated in both ways)
๓. เตวิชชะ
(ผู้ได้วิชชา ๓
— one possessing the Threefold Knowledge)
๔. ฉฬภิญญะ
(ผู้ได้อภิญญา ๖
— one possessing the Sixfold Superknowledge)
๕. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ
(ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔
— one having gained the Four Analytic Insights)
ทั้งหมดนี้ ย่อลงแล้วเป็น ๒ คือ พระปัญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมุตเท่านั้น
พระสุกขวิปัสสกที่กล่าวข้างต้น เป็น พระปัญญาวิมุต ประเภทหนึ่ง (ในจำนวน ๕ ประเภท)
พระเตวิชชะ กับพระฉฬภิญญะ เป็น อุภโตภาควิมุต ที่ไม่ได้โลกิยวิชชาและโลกิยอภิญญา ก็มี
ส่วนพระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ได้ความแตกฉานทั้ง ๔ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย คือ
การเล่าเรียน สดับ สอบค้น ประกอบความเพียรไว้เก่าและการบรรลุอรหัต
พระอรหันต์ทั้ง ๕ นั้น แต่ละประเภท จำแนกโดยวิโมกข์ ๓ รวมเป็น ๑๕
จำแนกออกไปอีกโดยปฏิปทา ๔ จึงรวมเป็น ๖๐
ความละเอียดในข้อนี้จะไม่แสดงไว้ เพราะจะทำให้ฟั่นเฝือ
ผู้ต้องการทราบยิ่งขึ้นไป พึงดูในหนังสือนี้ฉบับใหญ่
Vism. 710. วิสุทธิ.๓/๓๗๓; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๖๕๗.
#15
โพสต์เมื่อ 17 June 2008 - 12:25 PM
#16
โพสต์เมื่อ 09 December 2014 - 08:50 AM
#17
โพสต์เมื่อ 09 December 2014 - 12:06 PM
ขออนุโมทนา สาธุค่ะ