มีอคติและไม่ชอบหลวงพ่อธัมมชโย หรือคุณครูไม่ใหญ่
#1
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:28 PM
#2
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:41 PM
ท่านเป็นพระผู้ให้ครับ
เมื่อเข้าใจหลวงพ่อดีแล้ว ก็อนุโมทนาด้วยครับ กลับร่องกลับรอย อยู่ในร่มธรรมดังเดิมน่ะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:53 PM
**********************************
จาก ที่ อ่าน เรื่อง ของ คุณ มา ทั้ง หมด
สิ่ง แรก อยาก แนะ นำ คุณ นะ คะ..
นั่ง สมาธิ ค่ะ..นั่ง ให้ เยอะ ๆ นะ คะ..นั่ง จน ใจ หยุด ให้ ปัญ ญา เกิด
นั่ง จน เกิด ความ สุข ภาย ใน แล้ว คุณ จะ ได้ คำ ตอบ..
**********************************
คุณ สร้าง บุญ มา กับ หมู่ คณะ ตั้ง มาก มาย..
คุณ รู้ จัก หมู่ คณะ และ เข้า ใจ หมู่ คณะ มา นาน เหมือน กัน..
แต่..กับ คำ พูด ที่ คน เพียง 1 คน พูด มา
คุณ กับ ยอม รับ ใน ทัน ที โดย ไม่ มี การ พิจารณา
และ หัน หลัง ให้ ทุก สิ่ง กับ สิ่ง ที่ ดี
แต่ เอา ใจ ไป ยึด ติด และ สง สัย ใน เรื่อง ที่ ไม่ เป็น เรื่อง จน เกิด ทุกข์
และ บาป อกุศล อัน ยิ่ง ใหญ่ ให้ กับ ตัว เอง..
**********************************
แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป
แต่..
เ ป้ า ห ม า ย ไ ม่ เ ป ลี่ ย น แ ป ร
#4
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:55 PM
วิธีแก้ไขความคิดอคติของคุณ ไม่ยากค่ะ ไปพณาวัฒน์สิคะ ไปนั่งธรรมะให้ใจใสๆ ดู DMC ทุกวัน นั่งสมาธิทุกวัน แล้วเดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง เชื่อสิ
หลวงพ่อท่านอุตสาห์ไปตามคุณกลับมา ด้วย DMC ขนาดนี้แล้ว ถ้าท่านไม่รัก ท่านก็คงปล่อยไปแล้วล่ะค่ะ ลืมทุกอย่างทิ้งไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่นะคะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#5
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:58 PM
#6
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 04:02 PM
#7
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 04:05 PM
ช่วงที่มีเรื่องที่ดิน
มีความปั่นป่วนไปทั่ว
มีเรื่องไม่เป็นเรื่องมากมาย
แม้แต่เรื่องที่ดิน ก็ยังอยู่ในศาล
ปล่อยให้กระบวนการนั้นเป็นไปเถอะครับ
เพราะเรื่องมันเดินทางไปในทิศทางนั้นแล้ว
เหลือแต่กระบวนการทางจิตของคุณสาครเอง
ยังขุ่นข้องหมองใจอยู่ยาวนาน
เอาใจช่วยครับ ให้สดใสโดยเร็วพลัน
แล้วเร่งสร้างบารมีกันดีกว่า
เวลาเหลือน้อยเต็มที่แล้วครับ ทุกๆ คน
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#8
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 04:07 PM
ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร.. อยากรู้เรื่องวัดไม่มาวัดจะรู้เรื่องได้อย่างไรล่ะจ๊ะ
#9
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 04:15 PM
เพราะดิฉันเข้ามาวัด ได้ไม่นาน วัดก็โดนสื่อโจมตี
ทำให้ครอบครัวของดิฉัน ไม่พอใจทุกครั้งที่มาวัด
***แต่อะไรก็ตาม จากที่ดิฉันมาวัดเพียงไม่กี่เดือน
ก่อนเกิดเรื่อง ดิฉันทราบ มโนปณิธานของหลวงพ่อ และหมู่คณะ
แล้วก็เชื่อว่า ถ้าสิ่งที่วัดทำเป็นสิ่งที่ดี ปณิธานของหลวงพ่อเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติ และเหนือสิ่งอื่นใด วัดหล่อหลอมเรา เป็นคนดี
ของสังคมค่ะ ***
#10
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 04:18 PM
ตามหลักข้อกฎหมาย ถ้ายกที่ให้กับกรมการศาสนา การจะเข้าไปพัฒนาพื้นที่แห่งนั้น ต้องได้รับการอนุมัติจากทางกรมการศาสนาก่อน จึงจะทำได้ ซึ่งขั้นตอนนี้จะทำให้ล่าช้า เพราะถ้ากรมการศาสนาไม่อนุมัติ ทางวัดก็เข้าไปพัฒนาที่ดินผืนนั้นไม่ได้ งานเผยแผ่ธรรมะก็จะชะงักได้ครับ
แต่ถ้าถือครองเป็นกรรมสิทธิ์ในลักษณะส่วนตัว ก็สามารถบริหารจัดการเรื่องที่ดินได้ทันที เรียกว่า มีความคล่องตัวในการทำงานเผยแผ่อย่างเต็มที่ และ นอกไปจากนี้ ที่ดินบางผืนก็ไม่เหมาะที่จะนำมาพัฒนาเช่นเป็นที่ดินที่ ไม่มีเส้นทางสัญจร ห่างไกลจากชุมชน เป็นต้น ถ้าเป็นของส่วนตัว ทางวัดสามารถนำมาขาย แล้วนำเงินทีได้จากการขายไปพัฒนาพื้นที่ผืนอื่นซึ่งเหมาะสมกว่าได้ไงครับ
อันนี้เป็นกรณีเรื่องพระลิขิตของพระสังฆราช สำหรับคนทั่วไปที่ตามแต่สื่อ ไม่ได้เข้าไปเช็คข้อมูลเบื้องลึก จะเข้าใจว่า เป็นพระลิขิตของพระองค์ แต่ถ้าได้อ่านข้อมูลในเบื้องลึกแล้ว พระลิขิตอันนี้มีพิรุธหลายอย่าง ผมไม่อยากจะมาโพสในที่สาธารณะแห่งนี้ครับ บอกใบ้ว่า เกี่ยวกับ ห้องกระจก ถ้าอยากรู้ว่า ห้องกระจก คือ ห้องอะไร ลองไปสืบหาข้อมูลจากหนังสือในช่วงนั้นดูนะครับ มีนักวิชาการทางศาสนาหลายท่านได้ให้ความเห็นไว้เหมือนกัน แต่ไม่ได้รับการเผยแผ่ในวงกว้างนัก จะรู้กันเฉพาะผู้ที่ต้องการตามข่าวในทุกด้านเท่านั้น ถ้าอ่านจากหนังสือพิมพ์ ดูจากข่าวทีวี อย่างเดียว จะไม่รับทราบข้อมูลเหล่านี้เลย
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#11
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 04:22 PM
#12
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 04:37 PM
#13
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 05:59 PM
#14
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 06:14 PM
แต่ที่เห็นวัดมีพื้นที่มาก มีที่ดินมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติของพระพุทธสาสนาทั้งสิ้น หลวงพ่อท่านสร้างวัดมากับมือของท่านเอง จากเดิมที่มีแต่ทุ่งนาฟ้าโล่งพัฒนาจนกระทั่งวัดเจริญอย่างที่เห็นในปัจจุบัน หลายคนเมื่อมองเห็นความเจริญของวัดที่สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาปฏิบัติธรรมก็พลอยจินตนาการต่อไปว่าพระวัดนี้คงรวยฟู่ฟ่าอยู่สะบาย ทั้งที่ในความเป็นจริงความเป็นอยู่ของพระเณรก็อยู่แบบพระ ไม่สะดวกสะบายแบบชาวโลกเลย วันหนึ่งทำงานรับบุญตามส่วนงานต่างๆ และปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เช้าจนดึก กุฏิที่พักก็ไม่ติดแอร์ มากสุดก็ใช้พัดลมพัดเอาเวลาร้อน ห้องพักก็ไม่ใช่ห้องเดี่ยว แต่พักกันห้องละ 10 รูป เตียงเรียงกันแน่นไปหมด ซึ่งปัจจุบันพระเณรในวัดมีมากถึง พันกว่ารูปแล้ว (ที่พักไม่พอแล้วครับ)
ในส่วนของหลวงพ่ออยู่อย่างสมถะมาก มากจนหลายคนนึกไม่ถึงเลย ในกุฏิจำวัตร(นอน)เล็กๆที่เดินได้ไม่กี่ก้าวของท่าน ไม่มีเฟอนิเจอร์ตกแต่งใดๆเลย มีแค่เตียงนอนขนาดนอนได้คนเดียวยกสูงจากพื้นนิดหน่อย กับโต๊ะเขียนหนังสือของท่านก็เท่านั้น ไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุ เครื่องบันเทิงใดๆเลย เพราะสิ่งเหล่านี้หลวงพ่อไม่สนใจ วันหนึ่งท่านให้เวลากับการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิมากที่สุด รองลงมาคือบริหารงานต่างๆภายในวัด ทุกวันตอนคำต้องมาลงเทศน์ออกในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาอีก ที่เป็นเวลาส่วนตัวจริงๆแทบไม่มีเลย
หลวงพ่อท่านสอนลูกๆด้วยการทำตนเป็นแบบอย่าง ท่านสอนพระเณรเสมอว่า เป็นพระต้องอยู่อย่างสมถะ แต่ไม่ถึงกับต้องอนาถา ความเป็นอยู่ส่วนตัวต้องสะอาด เรียบง่าย แต่ถ้าของส่วนรวม ที่เป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกต่อญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมที่วัด และพื้นที่ส่วนกลางต่างๆเหล่านี้ จำเป็นต้องสร้างขึ้นมารองรับญาติโยมให้สะดวกสะบาย และต้องตรงตามหลักพุทธวิธีคือ สัปปายะ 4 (เหนื่อยเพื่อคนอื่นทั้งนั้นม เพราะรักลูกๆที่มาปฏิบัติธรรมแท้ จึงต้องแย่อยู่แบบนี้)
1. อาวาสเป็นที่สะบาย ไม่ร้อน ไม่หนสว ไม่เปียกเฉะจนเกินไป
2. อาหารเป็นที่สบาย ไม่อดยาก ลำบากในการรับประทาน
3. บุคคลเป็นที่สะบาย ไม่มีคนพาล หรือคอยรบกวน กลั่นแกล้งในการปฏิบัติธรรม
4. ธรรมเป็นที่สบาย ไม่อยากแก่การทำความเข้าใจ จนเกินไป
อยากบอกให้ทราบว่า การสร้างวัดมันไม่ง่ายเลย ต้องอาศัยทุน ทีม สถานที่ ต่างๆมากมาย ที่สำคัญคือความอดทนและเสียสละสูงมาก โดยลำพังถ้าหลวงพ่อเห็นแก่ตัว ท่านไม่ต้องสร้างวัดให้ใหญ่โตเอาเงินไปใช้บำรุงตนเองก็แสนจะสบายแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ ญาติโยมถวายปัจจัยให้ท่านส่วนตัวมากมาย แต่ท่านไม่เคยเอาปัจจัยเหล่านั้นไปใช้จ่านส่วนตัวใดๆในทางมิชอบเลย ทุกบาททุกสตางค์ท่านใช้ไปเพื่องานของส่วนรวม งานของพระพุทธศาสนทั้งสิ้น(ที่รักพ่อ เพราะท่านไม่เห็นแก่ตัว และเสียสละแบบนี้หละครับ)
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สุขภาพหลวงพ่อทรุดโทรมไปมาก เพราะท่านทุ่มเทการทำงานแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำงานรับใช้พระพุทธศาสนา โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย จำวัตรวันละไม่ถึง 5 ชั่วโมง ป่วยอีกต่างหาก ท่านเองต้องถ่อสังขารออกมาเทศน์โปรดพวกเราทุกวัน ท่านเคยบอกว่า แม้หลวงพ่อจะป่วยก็ต้องอดทน ยอมตายในผ้าเหลือง มุ่งทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ที่จะตามมาในรุ่นหลัง และผลงานต่างๆก็โดดเด่นขึ้นมาอยู่ในแนวหน้าของวงการพระพุทธศาสนาในไทยและในโลก จึงไม่แปลกที่จะมีทั้งคนที่สรรเสริญ และคนที่อิจฉา
ในส่วนคนที่อิจฉานั้น ก็หาทางกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง ซึ่งคนเหล่านี้มีทั้งชาวพุทธเอง และคนต่างศาสนาที่ต้องการทำลายภาพพจน์ชื่อเสียงท่าน เพราะรู้ว่าตราบใดที่ท่านยังอยู่เป็นพระภิกษุในพระพุทธสาสนา ศาสนาพุทธ และวัดพระธรรมกายก็จะเจริญมากเพียงนั้น พวกนี้จึงหาทางทำลายท่านทุกวิถีทาง (เป้าหมายคือฆ่าให้ตาย ถ้าไม่ตายก็สึกออกไป) ใช้วิธีการโกหกใส่ความท่าน กลั่นแกล้งท่านด้วยอุบายต่างๆนานาสารพัดวิธี และหนึ่งในข้าราชการกรมการศาสนาในสมัยนั้นชื่อ นายมานพ พลไพริณทร์ ก็ทำการรีดไถเงินหลวงพ่อ ขู่ว่าหากหลวงพ่อไม่ไห้เงินเขา เขาก็จะเล่นงานให้หนัก เมื่อหลวงพ่อไม่ได้ให้เงินเขาไป หลวงพ่อจึงต้องโดนเล่นงานอย่างที่เป็นอยู่ คือแกล้งฟ้องกล่าวหาหลวงพ่อว่ายักยอกที่ดินวัด
ความเป็นจริงแล้วหากลงมาทำงานจริงๆ จะทราบว่าการถือครองที่ดินนั้น ก็มีผลในทางเทคนิคต่อการบริหารงาน งานหลวงพ่อมีมากมาย หากจะต้องโอนไปอย่างที่หนังสือพิมพ์พยายามจุดประเด็น ก็มีอันต้องเกิดความเสียหายต่อพระพุทธสาสนามากมายนัก จะทำงานอะไรก็ต้องวิ่งไปขออนุญาตต่อกรมการศาสนาทุกครั้ง แล้วหากวันใดวันหนึ่งคนในกรมการศาสนาไม่ใช่ชาวพุทธอะไรจะเกิดขึ้น? เพราะกฏกหมายไทยไม่ได้ห้ามคนนอกศาสนาเข้ามาเป็นอธิบดี หลวงพ่อเองอยู่ไม่นานท่านก็ต้องหลับตาลาโลก ท่านไม่มาแสวงหาประโยชน์เลวทรามอย่างที่หนังสือพิมพ์พยายจุดประเด็นใส่ความแน่นอน
ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า เหตุที่พวกนี้ต้องการให้หลวงพ่อโอนที่ดิน เพราะพวกนี้ต้องการเข้ามายึดครองที่ดินเอง(เพราะที่ดินบางแปลงมีมูลค่ามาก) แต่อาศัยความไม่รู้ของประชาชนสร้างกระแสทำลายตามที่เป็นข่าว
#15
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 06:48 PM
#16
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 06:48 PM
ผมมีความคิดเห็นว่า ที่จริงแล้วคนที่ยึดติด จะเป็นตัวคุณเองมากว่า ยังปล่อยให้ความลังเลสงสัยครอบงำจิตใจอยู่ ปล่อยว่างเถอะครับ อย่าไปสนใจเลยเรื่องที่ดินน่ะ เป็นของใครก็ช่างเถอะ แต่คนที่ได้ใช้ก็คือพวกเราเองนะครับ แล้วเรายังได้เผื่อแผ่ให้กับประชาชนคนที่ไม่ได้ทำบุญกับวัดด้วย เช่นงานประชุม อปท ที่ผ่านมางัยครับ แล้วคนที่ร่วมซื้อที่ดินให้วัด ก็เงินพวกเราทั้งนั้นครับ แล้วเราก็ยินดีที่จะให้เป็นกรรมสิทธิ์ของหลวงพ่อครับ ไม่ต้องการให้ไปยกให้ใคร แล้วกรมการศาสนาก็เปลี่ยนไปคณะทำงานไปเรื่อยๆ ที่รักเราก็เยอะ ที่เกลียดเราก็มาก มีเหตุการไม่ดีขึ้นมาจะมีปัญหาใหญ่ครับ ตัวอย่างก็มีมาแล้วในปี 2537 ที่เอาทหารมาลัอมวัดจำไม่ได้หรือครับ วัดพระธรรมกายเป็นวัดเดียวในโลกที่ ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานใดๆเลย ในการสถาปนา ทุกบาท ทุกสตางค์เป็นเงินคนวัดทั้งนั้นครับ เพราะฉะนั้นอย่าไป คิดเรื่องที่ดินอีกเลยครับ ใจเราจะได้ใส คิดดี ทำดี พูดดี ได้ครับ ขอเป็นกำลังใจให้คุณสาคร ให้มีกำลังใจนะครับ แล้วกลับมาช่วยหมู่คณะต่อไปครับ
เรื่องพระลิขิตของสมเด็จ ถ้ารู้จักทหารวงใน ไปสอบถามได้ครับ ตอนนั้นท่านป่วยหนัก มีคนอยู่เบื้องหลังครับ แต่ถ้าจะให้นั่งสมาธิได้ใสๆ ก็แค่ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ ถังรู้ หรือไม่รู้ก็ไม่เกิดประโยชน์ กับตนเองและผู้อื่นแน่นอนครับ
#17
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 06:58 PM
#18
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 06:59 PM
ก่อนอื่นต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า หลวงพ่อทั้งสอง และชาววัดพระธรรมกายทุกคนต่างรักและเคารพเทิดทูนในสมเด็จพระสังฆราช ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เคยคิดที่จะรบกวนเบื้องบาทพระองค์เลย
ต่อกรณีพระลิขิต ที่มีต่อหลวงพ่อนั้น
ก่อนอื่นเรื่องนี้หากไปถามชาววัดบวรฯในสมัยนั้น คนวงในเขาทราบดีว่า มีกลุ่มอิทธพลมืดที่แฝงตัวหากินในวัดนั้นอยู่ "ห้องกระจก"นี้ได้สร้างวีระกรรมที่เลวร้ายไว้มากมาย ทั้งการแอบอ้างปลอมพระลิขิต แอบอ้างพระนามสมเด้จพระสังฆราชกระทำการต่างๆ ตามที่ตนต้องการ
หากยังจำกันได้มื่อไม่กี่ปีมานี้หลังจากเหตุการณ์วัดพระธรรมกาย แล้ว ยังมีข่าวพระลิขิตปลอมหลายฉบับที่ออกมาเล่นงานคนโน้น คนนี้ โด่งดังตามหน้าหนังสือพิมพ์ จนกระทั้งรัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชนั้นแหละ เรื่องราวต่างๆจึงค่อยๆซาลง
ฉะนั้นคนในวงในล้วนทราบกันดีว่าพระลิขิตที่ออกมานั้น มีการพิสูจน์ทางเทคนิคและรู้กันเฉพาะภายในว่าเป็นของปลอม แต่เพราะวัดเราต้องการรักษาพระเกียรติยศของพระองค์จึงไม่ได้กระทำการตอบโต้ใดๆกับกลุ่มนั้นเลย แต่กรรมใดใครก่อ กรรมต้องสนอง ต่อมาไม่นานกลุ่มที่แอบอ้างปลอมพระลิขิตก็ต้องสูญเสียอำนาจไป เพราะรัฐบาลเข้ามาควบคุมไว้ได้ เพื่อรักษาพระเกียรติแห่งสมเด็จพระสังฆราชไว้นั่นเอง
#19
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 07:06 PM
อาตมาเข้าวัดมาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ด้วยความคลางแคลงใจและสงสัยในวัดนี้เพราะช่วงนั้นมีข่าวในแง่ลบตลอด และเพราะความสงสัยจึงต้องการมาพิสูจน์ จากวันนั้นจวบจนวันนี้ อาตมาไม่เคยก้าวออกไปจากเส้นทางของการสร้างบารมีเลย เพราะได้ต้นแบบคือพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ท่านทำตัวให้เป็นตัวอย่างทุกๆด้าน หากหลวงพ่อท่านไม่ดีจริง ลูกพระลูกเณร กว่าพันชีวิต และอุบาสก อุบาสิกาอีกเกือบพันชีวิต คงจะไม่อยู่สร้างบารมี ณ ที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
เหตุการณ์อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ของใหม่ แม้สมัยพุทธกาลก็มีให้เห็น เมื่อมีเรื่องราวใดๆเกิดขึ้น เราควรเข้าไปพิสูจน์ ไปหาข้อมูลแท้จริง อย่าให้โอกาสในการสั่งสมบุญต้องเสียไปเพียงเพราะคำพูดของผู้ไม่ปรารถนาดีเพียงไม่กี่คน
ขออนุโมทนาบุญหลายๆท่านที่ตอบกระทู้นี้ บางท่านรู้จริงถึงรายละเอียดห้องพักของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ และขอย้ำว่าสิ่งที่ท่านได้ทำท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย ตลอดยี่สิบพรรษาของอาตมา เห็นแต่ความเสียสละของท่าน
เจริญพร
#20
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 08:13 PM
#21
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 08:15 PM
#22
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 08:34 PM
ทำบุญใส่บาตรสวดมนต์ไหว้พระทุกวันที่บ้าน
ขออนุโมทนาบุญ ในกุศลกรรมที่คุณ สาคร ประพฤติปฏิบัติ เสมอมาด้วยนะครับ สาธุ
ส่วนเรื่องการตั้งใจถวายที่ดิน แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นการส่วนตัว
เพื่อความสะดวกและคล่องตัว ในการพัฒนาที่ดิน ไม่ติดขัด เพราะความซับซ้อนด้านกฎหมาย ....
ณ. ปัจจุบัน คุณ สาคร คงเข้าใจ เรื่องการถวายที่ดิน ตามที่เพื่อนสมาชิกชี้แจงแล้วนะครับ
แต่ก็ยังอัคติอยู่ .....
ผมจะทำยังไง ถึงจะ ลบความรู้สึกนี้ออกจากใจผมได้ ผมอยากจะสัทธาท่านเหมือนอย่างคนอื่นๆอย่างสนิทใจ
ก็เหลือแต่ เรื่องความรู้สึกที่ยังค้างคาในดวงใจเท่านั้น ที่คุณ สาคร ต้องแก้ไขด้วยตัวคุณเอง
ซึ่งก็มีหลายวิธีดังที่เพื่อนสมาชิกแนะนำไว้ เช่น
1 ) เข้าใจผิด ก็ทำความเข้าใจใหม่ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง มิใช่ตามข้อมูลที่บิดเบือน
2 ) ควบคู่กับการรักษาการทำความดี ที่คุณ สาคร ประพฤติ ปฏิบัติมาตลอด และทำให้ยิ่งขึ้นไป
3 ) การปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวคุณ คือ วิธีที่ดีที่สุด
ที่จะทำให้คุณ สาคร เข้าใจความเป็นตัวตนที่แท้จริงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้ถูกต้องมากที่สุด
ป.ล. ขอเพิ่มทัศนะเกี่ยวกับ เป้าหมายและวัตถุประสงค์การสร้าง ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดยย่อสักเล็กน้อย ครับ
วัดพระธรรมกาย ในทรรศนะของข้าพเจ้า
วัดพระธรรมกายสร้างมากว่า 36 ปีแล้ว แต่ข้าพเจ้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาที่วัดพระธรรมกายเมื่อ
16 ปีมานี่เอง ดังนั้นภาพสร้างสร้างวัด การสอนคนในยุคบุกเบิกทุ่งนา 196 ไร่ข้าพเจ้ารู้จักจากเอกสารและ
ภาพถ่ายประวัติศาสตร์ที่ยังมีให้เห็น ฟังคนรุ่นเก่าพูดกันมา
ความยากลำบาก ปัญหาอุปสรรคในสมัยนั้นข้าพเจ้าไม่ได้สัมผัสจริง
แต่ยุคบุกเบิกทุ่งนาฟ้าโล่งกว่า 2,000 ไร่ข้าพเจ้าได้สัมผัสจริง จึงเห็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในทิศทางที่ดี
ด้วยประสบการณ์จริง และความจริงที่ข้าพเจ้าพบ คือ
- หมู่คณะที่สร้างวัดพระธรรมกาย และพัฒนาวัดพระธรรมกาย ล้วนต้องเสียสละ ลำบาก เหน็ดเหนื่อย
ทุ่มเทชีวิตจิตใจทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ คือ
“ สร้างวัดให้เป็นวัด สร้างพระให้เป็นพระ สร้างคนให้เป็นคน ”
เอาแค่หาข้าวหาน้ำ ให้คน มากกว่า 2,000 ชีวิต กินแค่วันละ 2 มื้อ ทุกวันไม่มีวันหยุด
วิธีหาทรัพย์ก็ใช้ วิธีเดียว คือ ทำตัวเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา
ซึ่งการจะให้ใครมาศรัทธาตนเองได้ไม่ใช่เรื่อง-ง่ายเลย
สำรวจง่ายๆว่า เรากิน นอน อยู่กับตัวเองมาตลอด 24 น.หลายสิบปี เราเลื่อมใสตนเอง
แค่ไหน อยากเจอ อยากสนทนาด้วยดี มีอะไรดีก็อยากให้เหนื่อยแค่ไหนก็ยอม
เราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
- กิจวัตร กิจกรรม โครงการต่างๆที่วัดพระธรรมกายจัดขึ้น ล้วนเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมจริงๆ
ไม่ได้เสแสร้ง ทำดี เพราะอยากดัง หวังลาภสักการะด้วยปรารถนาลามก
ลองตรองดูเถิดว่า
* ถ้าต้องตื่นก่อนอรุณรุ่ง นอนดึกทุกวันไม่มีวันหยุดกว่า 33 ปี ถ้าทำเพียงเพื่ออยากดังมีคนสรรเสริญ
เป็นคุณจะทำไหม
* กินอาหารแค่ 2 มื้อ เช้า กลางวัน ทุกวันไม่มีวันหยุด ถ้าทำเพียงเพื่ออยากดังมีคนสรรเสริญ
เป็นคุณจะทำไหม
* มีเครื่องนุ่งห่มเพียงสามผืน(ไตรจีวร)เปลี่ยนผ้าได้ปีละหนหลังกรานกฐิน ถ้าทำเพียงเพื่ออยากดัง
มีคนสรรเสริญ
เป็นคุณจะทำไหม
* ต้องรักษาศีล ๒๒๗ เป็นอย่างน้อย มีมารยาทสงบ สง่า ต้องทำตัวเป็นคนดีทุกวันไม่มีวันหยุด
ถ้าทำเพียงเพื่ออยากดังมีคนสรรเสริญ
เป็นคุณจะทำไหม
* ศาสนสถานที่สร้างมาจากแรงศรัทธามหาชน ที่ส่วนมากไม่ใช่เศรษฐี สร้างวัด สร้างเจดีย์แล้ว
ไปเร่ขายก็ไม่ได้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ต้องตกเป็นสมบัติของสงฆ์ ของแผ่นดิน
ถ้าทำเพียงเพื่ออยากดังมีคนสรรเสริญ
เป็นคุณจะทำไหม
- ข้าพเจ้าทราบดีว่าทำไม คนจำนวนมากยอมสละทรัพย์ของตนเองที่หามาด้วยความยากลำบาก
นำมาบริจาคทาน เรื่องได้บุญ เป็นเรื่องนามธรรมคนทั่วไปเข้าใจตามได้ยาก แต่ดูจากรูปธรรรมได้ คือ
เงินที่บริจาคกลับกลายเป็นสิ่งที่เห็น จับต้อง ลิ้มรส สัมผัสได้ ทั้ง
* สิ่งก่อสร้างศาสนสถานใหญ่โตมโหฬาร * จำนวนคนมาทำความดีมากขึ้น
* อาหาร น้ำดื่ม จำนวนมากที่ผลิตมาเลี้ยง * ค่ารถบัสรับส่งคนมาวัด
ฯลฯ
ที่สำคัญที่สุดคือ
*** จิตใจของผู้ให้สบาย สงบ วิถีชีวิตก็ราบรื่น ทำบุญแล้วมีความสุข ความสุขทำให้คนทำซ้ำๆๆๆ
- เห็นคุณค่าของความสามัคคีของคนดีจำนวนมาก ว่าสามารถเปลี่ยนกระแสสังคม ให้สงบ มีสุขมากขึ้น
-
- เห็นประโยชน์ของการเป็นกำลังให้คนทำความดี
-
- ปฏิวัติทัศนคติการบริจาคทาน
• จากทำตามกำลังศรัทธา มาเป็นทำเต็มกำลังศรัทธา
• นอกจากตัวเองแล้ว ต้องเชิญชวนผู้เป็นที่รัก คนที่รู้จักและไม่รู้จักมาสร้างทานบารมีด้วยกัน
ข้อควรปรับปรุง
ถ้าคุณยอมรับความจริงตามคติที่ว่า nobody Perfect ไม่มีมนุษย์(ที่ยังมีกิเลส)คนใดดีพร้อมเลอเลิศ
ก็ต้องยอมรับได้ว่า
การทำงานทุกอย่าง ไม่ว่างานเพื่อส่วนตัวหรืองานเพื่อส่วนรวม ย่อมมีข้อบกพร่องให้ปรับปรุงแก้ไขกันทั้งนั้น
ในทรรศนะของข้าพเจ้า สิ่งที่วัดพระธรรมกาย ควรปรับปรุง พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น คือ
1 ) ภัยภายนอก ไม่ร้ายเท่าภัยภายในเพราะภัยภายนอกหล่อหลอมให้มนุษย์ฉลาด เข้มแข็งและสามัคคีกัน
ที่น่ากลัวคือภายภายใน หมายถึง การแตกความสามัคคี การประพฤติตนเลวทราม รวมถึงการคบคนชั่ว
การยินดีสมาคมกับนิสัยชั่วๆที่ตนเองมีอยู่ คือ ความโลภ โกรธ หลง
วิธีแก้ไข คือ เคร่งครัดในศีลธรรม ระวังมารยาท การปฏิสันถารต้อนรับ หมั่นฝึกฝน หล่อหลอม ภิกษุ
สามเณร และทุกคนที่มาวัด ให้เป็นคนดี ที่กล้าทำความดีอย่างเปิดเผย สง่างาม
ไม่ต้องอายใคร ไม่ต้องลักลอบทำความดี ทีคนทำชั่วเขายังไม่อายกันเลย
2 ) โครงการทุกโครงการกุศลที่ทำอยู่แล้ว ทำให้เข้มข้นยิ่งไปอีก เช่น เทเหล้าเผาบุหรี่ ทางก้าวหน้า
อบรมธรรมทายาททั้งในประเทศและต่างประเทศ ถวายสังฆทาน ปัจจัยไทยธรรมแด่สังฆมณฑล
โครงการมุทิตา สักการะเปรียญธรรม ฯลฯ
3 ) ริเริ่มโครงการทำความดีใหม่ๆ ให้ทันกระแสโลกาภิวัฒน์&กามานุวัตร (หมุนไปตามกระแสกาม)
4 ) การประชาสัมพันธ์ fact ในผลงานและคุณประโยชน์ที่วัดพระธรรมกายทำอยู่จริง
ให้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแก่ประชาชน สังคมไทยและคนทั่วโลก โดยอาศัย
• เทคโนโลยี internet & mass media
• Mass communication เช่น จัดรายการทางวิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์อิงธรรมะ
จัดงานกุศลที่รวมหน่วยงานและบุคคลมีชื่อเสียง มีศักยภาพในการถ่ายทอดความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้คนในสังคม
ให้คนในประเทศ ให้คนในโลกตื่นตัวทำตามได้ เช่น
หน่วยงาน UN , พสล. , ยพสล. ,กระทรวงศึกษาธิการ กรมการศาสนา มหาเถรสมาคม ฯล
Pre Report วัดพระธรรมกาย, ในทรรศนะที่เป็น วัดยุคใหม่ ในพุทธศตวรรษที่ ๒๕
http://www.dmc.tv/fo...showtopic=15379
ความเข้าใจที่บิดเบี้ยว กรณีวัดพระธรรมกาย
http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=12197
คุณคิดอย่างไร กับคุณครูไม่ใหญ่
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3881
#23
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 09:46 PM
ขอให้คุณสาครมาที่วัดนะคะ มาปฏิบัติธรรมพร้อมหน้าพร้อมตากับหมู่คณะ มาบ่อยๆ มาให้ได้สม่ำเสมอ
มาพบกัน กับหมู่ญาติของเรา นักสร้างบารมี เพื่อสันติสุขภายใน สันติสุขโลก เพื่อมวลมนุษยชาติทุกหมู่เหล่า
มาแล้ว ...แล้วจะเห็นว่า อะไรเป็นอะไร
พระพ่อ...
ท่านเหนื่อยมาตลอด ที่ผ่านมา
ท่านสู้ ด้วยหวังจะเห็นรอยยิ้มของลูก
ที่ลูกได้เข้าถึงธรรมภายใน
ภัยในวัฎฎะนั้น แสนร้ายนัก
ลูกต้องมีอาวุธฟาดฟันกิเสสร้าย อีกทั้งวิบากฯ สารพัน
พ่อหาบุญใหญ่ พร่ำสอนธรรม เพื่อชักนำลูกให้พ้นภัย
พ่อสู้เพื่อลูก ทั้งที่มาแล้ว และยังมิได้มา
มโนปณิธานของพ่อ ยิ่งใหญ่นัก
ใจพ่อกว้าง แสนกว้าง มิอาจคาดคะเน
แม้อุปสรรคถาโถม ก็มิอาจล้มมโนปณิธานของพ่อได้
ลูก...ต้องเข้าใจพ่อ และพร้อมใจรักสามัคคี
#24
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 09:59 PM
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#25
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 10:29 PM
ท่านไม่เคยถือโกรธผู้ใดเลย
จำได้ว่า คุณอนันต์เคยถามท่านว่า ทำไมผู้อื่นจึงไม่เข้าใจวัด
ท่านตอบว่า เป็นเพราะ เรายังอธบายได้ไม่ดีนะครับ
อีกประการหนึ่ง สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้าวัด คงเห็นภาพความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาบางส่วน
เป็นสภาธรรมกายสากลหลังปัจจุบัน
สำหรับคนที่เข้าวัดมานาน ผมยังจำภาพสภาหลังจากที่มีผู้คนเต็มจนแทบไม่มีที่นั่งนะครับ
ภาพค่อย ๆ สร้าง สภา มหาธรรมกายเจดีย์ ... จนถึงปัจจุบัน นะครับ
ภูมิใจและประทับใจมาก ๆนะครับ
ยิ่งเห็นภาพหลวงพ่อขุดดิน สร้างวัด ทำให้ประทับใจไม่รู้ลืมนะครับ
#26
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 10:29 PM
#27
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 11:30 PM
...
วันนี้ที่ญี่ปุ่น
คนแก่บางคนเดินไปเดินมาอย่างไรจุดหมายปลายทาง
คนหนุ่มสาวบางคนแสวงหาเงินทอง เพียงเพื่อรถ บ้าน และความมั่งคั่ง
มีการพนัน สิ่งเสพไร้สาระมากมาย ให้ได้ใช้ตอบสนองตัณหาตนเองในญี่ปุ่น
...แต่...
อาทิตย์ที่แล้วที่วัดพระธรรมกาย โตเกียว น้องที่เคยเข้าวัดเข้าบาร์วัดหยุด วันนี้น้องเขาบอกว่าผมได้ความสงบ ได้ทำบุญกับหลวงพ่อ ผมมีความสุข
...ลองสิครับ...
มีโอกาสเดินทางมาต่างประเทศ เมื่อมองมุมมองจากภายนอกเข้าไปที่ประเทศไทยแล้ว ที่ว่าอยากทำบุญแต่ไม่มีพระสงฆ์นั้นเป็นอย่างไร แม้ว่าต้องเดินทางแรมวันก็ยอม เพื่อหาทางทำให้ได้
...เอาใจช่วย...
ให้ค้นให้พบตนเองนะครับ
#28
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 12:02 AM
#29
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 12:34 AM
มันเป็นคดีความที่แปลกประหลาดที่สุดเพราะ
ฝ่ายจำเลย (หลวงพ่อ) โดนฟ้องข้อหายักยอกทรัพย์ (ที่ดิน) แต่เจ้าของทรัพย์อยู่ข้างเดียวกับหลวงพ่อ
(ถ้าจำได้ ตอนนั้นจะมีการประกาศว่าที่ดินนั้นมอบให้หลวงพ่อ โดยจะนำไปทำอย่างไรก็ได้)
มีคดีที่ไหนผู้ที่ควรจะเป็นเจ้าทุกข์กลับอยู่ข้างเดียวกับจำเลย
พอไม่มีเจ้าทุกข์ก็ฟ้องไม่ได้
ฝ่ายนั้นก็พยายามทุกวิถีทางที่จะฟ้องเพื่อจะได้จับหลวงพ่อสึกให้ได้
แต่ก็ไม่มีอัยการไหนส่งสำนวนฟ้อง (ก็เพราะมันไม่มีเจ้าทุกข์)
หลังจากเปลี่ยนอัยการมาเกือบสิบคน สุดท้ายก็ได้ฟ้องโดยข้อหา "เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฎิบัติ"
โดยบอกว่า พระ ถือเป็นเจ้าหน้าที่ (เนี่ยนะ)
ดูซิว่าเค้าจงใจแกล้งขนาดไหน
ผมเคยไปนั่งฟังที่ศาลอาญาครั้งหนึ่ง
อย่างกับดูการเล่นปาหี่ หลักฐานของฝ่ายกล่าวหาคือ "ได้ยินมาว่า..." "อ่านจากใน นสพ."
พอทนายของวัดถามกลับ ก็ตอบว่า "ไม่รู้" อย่างเดียว
ตอนจบการไต่สวนของวันนั้น ตอนอ่านสรุปการไต่สวน
ท่านผู้พิพากษายังส่ายหัวเลย
มีที่ไหน ฝ่ายโจทย์ที่มาฟ้องเค้า กลับไม่รู้อะไรเลย ส่วนที่รู้ก็ได้ยินมา หรือ อ่านจาก นสพ.มา
ดูก็รู้ว่าฟ้องไปอย่างนั้นแหละ ตั้งใจแค่จะทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเสียหายเท่านั้น
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#30
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 05:40 AM