ผมถามเล่นๆนะครับ ผมมีคำตอบอยู่แล้ว อยากให้ลองคิดกันดูนะครับ
คุณคิดว่า การสูบบุหรี่ เป็นการผิดศีลข้อ 5 หรือไม่
ศีลข้อ 5 คือ "เจตนาเครื่องงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นเหตุที่ตั้งแห่งความประมาท"
สุรา = น้ำเมาที่ถูกกลั่นให้มีรสชาติเข้มข้นขึ้น
เมรัย = น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น
ปล อย่าซีเรียสกับคำถามนี้ครับ แต่ที่แน่ๆ สูบบุหรี่เป็นเหตุแห่งอบายภูมิ โดยเฉพาะ ขุม 5 นะครับ พี่น้องงงง
ลองคิดดูเล่นๆ
เริ่มโดย WB, Oct 13 2008 11:26 PM
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#2
โพสต์เมื่อ 14 October 2008 - 06:55 AM
พอดีเลย อยากรู้เหมือนกันว่าศีลห้า และ อบายมุขต่างกันตรงไหน แล้วทำไมไม่นำสิ่งที่เป็นอบายมุขมาเป็นกำหนดเป็นศีลเหรอค่ะ แบบบางทีเพื่อนถามเหมือนกันว่าสูบบุหรื่ไม่ผิดศีล แล้วทำไมต้องไปนรก อธิบายลึกๆไม่ได้อ่ะค่ะ แบบว่างงเอง อิอิ
#3
โพสต์เมื่อ 14 October 2008 - 09:19 AM
คิดเล่นๆ เมื่อก่อน เมื่อ 2500ปีมาแล้วยังไม่มีการสูปบุรี่ นะสิ ครับ เหมือนสมัยนี้ที่มีสิ่งเสพติดใหม่เกิดขึ้นมามาก ผมว่าสิ่งสิ่งใด้ถ้าเสพเพื่อทำใหขาดสติ เป็นโทษแก่ร่างกาย น้าจะจัดอยู่ใน ศีลข้อห้านี้ด้วย
"ขอตามติด ติดตามสร้างบารมีกับ หลวงปู่ คุณยาย หลวงพ่อ และหมู่คณะไปทุกภพทุกชาติ "
#4 *innerspot*
โพสต์เมื่อ 14 October 2008 - 09:54 AM
เรื่องศีลสามารถหารับฟังได้จากบทเทศนาของหลวงพ่อทัตตชีโวครับ
โหลดจากลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ
มีสี่ไฟล์ เรื่อง " รวมพระธรรมเทศนา แผ่นที่ ๒ ตอน องค์แห่งศีลครับ"
http://www.kalyanami...ing.asp?catid=5
โหลดจากลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ
มีสี่ไฟล์ เรื่อง " รวมพระธรรมเทศนา แผ่นที่ ๒ ตอน องค์แห่งศีลครับ"
http://www.kalyanami...ing.asp?catid=5
#5
โพสต์เมื่อ 14 October 2008 - 10:14 AM
แม้รักษาศีล5ได้ เป็นปกติ แต่หากมีเรื่องกังวล หรือให้ได้คิดทำให้ใจไม่ผ่องใส อยู่บ่อยๆ ก็มีสิทธิ์ ไปอบายภูมิได้นะจ๊ะ คิดเอง จะไม่เชื่อก็ได้นะ แค่อยากให้รู้ว่าอยากแสดงความคิดเห็น จ้า...
#6
โพสต์เมื่อ 14 October 2008 - 11:09 AM
หลักการ คือ ร่างกายมนุษย์นี้ มีไว้สร้างบุญญาบารมี
ถ้าไม่ดูแลสรีระยนต์นี้ให้ดี ก็คือตกอยู่ในความประมาท เช่น ตามใจปากเป็นหมู เป็นต้น
ยิ่งถล่มทลายกายหยาบด้วยสารพิษเสพติดต่างๆ ก็ยิ่งบาปผิดศีลไปกันใหญ่
ร่างกายมนุษย์เป็นกายหยาบชนิดเดียวที่มีศูนย์กลางกาย
สามารถบรรลุธรรมต่างๆนานาได้อย่างทรงพลัง จึงเป็นของสูงค่า
หลักการต้องชัด ทบทวนได้จากมงคลชีวิต๓๘ประการของหลวงพ่อทัตตะอย่างละเอียด
เมื่อหลักการพื้นฐาน(เสาเข็ม)ปักหลักหนาแน่นมั่นคงดีแล้ว
จะต่อยอดเรื่องละเอียดก็จะไม่ผิดเพี้ยนนะครับ
ขอแนะนำให้ไปเข้าเรียนหลักสูตร Academy of life ของหลวงพี่ฐานะ ที่ภูวนาลี resort เขาใหญ่
http://www.dmc.tv/fo...showtopic=17946
ถ้าไม่ดูแลสรีระยนต์นี้ให้ดี ก็คือตกอยู่ในความประมาท เช่น ตามใจปากเป็นหมู เป็นต้น
ยิ่งถล่มทลายกายหยาบด้วยสารพิษเสพติดต่างๆ ก็ยิ่งบาปผิดศีลไปกันใหญ่
ร่างกายมนุษย์เป็นกายหยาบชนิดเดียวที่มีศูนย์กลางกาย
สามารถบรรลุธรรมต่างๆนานาได้อย่างทรงพลัง จึงเป็นของสูงค่า
หลักการต้องชัด ทบทวนได้จากมงคลชีวิต๓๘ประการของหลวงพ่อทัตตะอย่างละเอียด
เมื่อหลักการพื้นฐาน(เสาเข็ม)ปักหลักหนาแน่นมั่นคงดีแล้ว
จะต่อยอดเรื่องละเอียดก็จะไม่ผิดเพี้ยนนะครับ
ขอแนะนำให้ไปเข้าเรียนหลักสูตร Academy of life ของหลวงพี่ฐานะ ที่ภูวนาลี resort เขาใหญ่
http://www.dmc.tv/fo...showtopic=17946
#7
โพสต์เมื่อ 14 October 2008 - 03:05 PM
<center><a href="http://www.dmc.tv/fo...=0#entry123662" target="_blank"><strong>โค้ด DMC TV ติดhi5</strong></a><br>
<embed allowaccess="never" allowaccess="never" type="application/x-mplayer2" pluginspage="http://www.microsoft...ownloads.aspx/" filename="mms://203.146.251.191/vcont450k_4" name="MediaPlayer" showcontrols="1" showstatusbar="1" width="450" height="450" autostart="true" showtracker="1" showaudiocontrols="1" showpositioncontrols="1" playcount="100" /><br>
<embed allowaccess="never" allowaccess="never" type="application/x-mplayer2" pluginspage="http://www.microsoft...ownloads.aspx/" filename="mms://203.146.251.191/vcont450k_4" name="MediaPlayer" showcontrols="1" showstatusbar="1" width="450" height="450" autostart="true" showtracker="1" showaudiocontrols="1" showpositioncontrols="1" playcount="100" /><br>
#8
โพสต์เมื่อ 14 October 2008 - 03:39 PM
ขอเสนอหน้านิดนึงนะครับ อย่าว่ากันล่ะ
ก่อนอื่น ทุกคนต้องทำใจก่อนนะครับว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์จะทรงกำหนดข้อบัญญัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ ก็ต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว มีผลแล้ว ทุกคนรู้เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว น้อยครั้งมากที่พระองค์จะทรงพยากรณ์เหตุที่จะเกิดในเบื้องหน้าแล้วทรงบัญญัติไว้ เพราะฉะนั้นบางอย่างในสมัยนี้ก็เลยไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎก
แต่ด้วยความที่พระองค์ทรงต้องการให้หลักธรรม เป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ดังนั้นสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้จึงเป็นหลักกว้างๆให้เราใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเอา ว่าควรไม่ควรอย่างไร โดยมีหลักสามประการคือ
การกระทำใดๆของเราไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ ต้องไม่ทำให้ "ผู้อื่น" เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งปัจจุบันนี้และในอนาคต
การกระทำใดๆของเราไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ ต้องไม่ทำให้ "ตัวเรา" เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งในปัจจุบันนี้และในอนาคต
การกระทำใดๆของเราไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ ต้อง "เป็นประโยชน์" แก่ตัวเราและผู้อื่นทั้งในปัจจุบันนี้และในอนาคต
อย่างเช่น ศีล ข้อที่ ๕ ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้
สุรา บางบาลีแปลว่า หยด(ลงมา) บางบาลีก็ว่ามาจาก ชื่อของผู้ที่คนพบคนแรก คือ นายพรานสุระ แต่ในปัจจุบันนี้ เราถือว่า เป็นของที่ปรุงแต่งเพื่อใช้ "ดื่มกิน" ให้เกิดความมึนเมา เช่น เหล้าที่เกิดจากการกลั่น การผสมทางเคมี เป็นต้น
ปล.บางบาลี ว่าถึง รวมหมดทุกสิ่งอย่างที่ ทำให้เราหลงมัวเมาดื่มกินกับสิ่งนั้นอยู่โดยไม่มีสติคิดเลิก(ติด) เช่น ดื่มน้ำอัดลมจนติด ถ้าไม่ได้ดื่มจะรู้สึกไม่สบายตัว ต้องหาดื่มให้ได้ อย่างนี้ บางบาลี ก็ถือเรียกว่า สุรา ได้เหมือนกัน แต่เป็นเฉพาะของบุคคลนั้นๆ
เมรัย หมายถึงของหมักดองอันทำให้เกิดความมึนเมาเคลิบเคลิ้มใจ เพราะฉะนั้น อะไรที่เอามาหมักแล้วเกิดแอลกอฮอร์ก็น่าจะถือว่าเป็นเมรัยทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้ดื่มหรือกิน แล้วของทุกอย่างที่มีน้ำตาลอยู่ในตัวและในขบวนการหมักดอง ก็มักจะเกิดแอลกอฮอร์ทั้งนั้นครับ เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราใช้เป็นเภสัช คือ ใช้รักษาร่างกายให้เกิดความสบายหายจากทุกข์เวทนา(ยาหรืออาหาร)ก็ไม่ถือว่าผิดอันใด เพียงแต่ใช้ให้เหมาะสมแก่เหตุเท่านั้นเอง
คราวนี้มาถึงตัวปัญหา มัชชะ ถ้าจำไม่ผิด เคยมีพระอาจารย์ท่านแปลให้ฟังว่า "เป็นเหตุให้มึนเมา" มึนเมา คือ การขาดสติไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เรารับเข้ามาแล้วเป็นเหตุให้มึนเมาขาดสติ ก็น่าจะถือว่า เป็น มัชชะ ใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด การพนัน รวมทั้งบุหรี่ด้วย เพราะมีสารกล่อมประสาทให้เกิดความมึนเมาเหมือนกัน แถมยังทำร้ายตัวเราเองและผู้อื่นด้วย
พระอาจารย์ท่านยังยกตัวอย่างที่น่าสนใจให้ฟัง คือ มีคดีความนึงลูกเขยเอายากล่อมประสาทให้แม่ยายกิน เพื่อให้เคลิ้มขาดสติ แล้วหลอกให้เซ็นยกที่ดินให้เอาไปขายได้ เนื่องจากใช้ยาปริมาณไม่มากจนทำให้หมดสติ แม่ยายก็เซ็นต่อหน้าพยานเพราะมึนงง ขาดสติไตร่ตรอง พระอาจารย์ท่านก็ว่า อย่างนี้ลูกเขยคนนั้นก็ถือว่าละเมิดศีลข้อห้าเหมือนกัน
สรุปง่ายๆในปัจจุบันนี้ อะไรที่ทำให้เรามัวเมา ลุ่มหลง ขาดสติไตร่ตรอง และเป็นอันตรายต่อตัวเราและผู้อื่น ถือว่าละเมิดศีลข้อห้าหมดครับ ส่วนอย่างไหนอย่างใด จะมากจะน้อยมาว่ากันเป็นรายๆไปอีกที
ถ้ามีข้อผิดพลาด ก็บอกมานะครับ เพราะเป็นการตอบปากเปล่าไม่ได้เปิดตำรา มาช่วยกันทำความเข้าใจหลักแห่งชีวิตกันครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
ปล.ผมใช้คำว่าละเมิดศีลนะครับ เพราะผมถือว่า ศีลคือ ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต ไม่ใช่ข้อห้าม
ก่อนอื่น ทุกคนต้องทำใจก่อนนะครับว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์จะทรงกำหนดข้อบัญญัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ ก็ต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว มีผลแล้ว ทุกคนรู้เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว น้อยครั้งมากที่พระองค์จะทรงพยากรณ์เหตุที่จะเกิดในเบื้องหน้าแล้วทรงบัญญัติไว้ เพราะฉะนั้นบางอย่างในสมัยนี้ก็เลยไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎก
แต่ด้วยความที่พระองค์ทรงต้องการให้หลักธรรม เป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ดังนั้นสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้จึงเป็นหลักกว้างๆให้เราใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเอา ว่าควรไม่ควรอย่างไร โดยมีหลักสามประการคือ
การกระทำใดๆของเราไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ ต้องไม่ทำให้ "ผู้อื่น" เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งปัจจุบันนี้และในอนาคต
การกระทำใดๆของเราไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ ต้องไม่ทำให้ "ตัวเรา" เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งในปัจจุบันนี้และในอนาคต
การกระทำใดๆของเราไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ ต้อง "เป็นประโยชน์" แก่ตัวเราและผู้อื่นทั้งในปัจจุบันนี้และในอนาคต
อย่างเช่น ศีล ข้อที่ ๕ ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้
สุรา บางบาลีแปลว่า หยด(ลงมา) บางบาลีก็ว่ามาจาก ชื่อของผู้ที่คนพบคนแรก คือ นายพรานสุระ แต่ในปัจจุบันนี้ เราถือว่า เป็นของที่ปรุงแต่งเพื่อใช้ "ดื่มกิน" ให้เกิดความมึนเมา เช่น เหล้าที่เกิดจากการกลั่น การผสมทางเคมี เป็นต้น
ปล.บางบาลี ว่าถึง รวมหมดทุกสิ่งอย่างที่ ทำให้เราหลงมัวเมาดื่มกินกับสิ่งนั้นอยู่โดยไม่มีสติคิดเลิก(ติด) เช่น ดื่มน้ำอัดลมจนติด ถ้าไม่ได้ดื่มจะรู้สึกไม่สบายตัว ต้องหาดื่มให้ได้ อย่างนี้ บางบาลี ก็ถือเรียกว่า สุรา ได้เหมือนกัน แต่เป็นเฉพาะของบุคคลนั้นๆ
เมรัย หมายถึงของหมักดองอันทำให้เกิดความมึนเมาเคลิบเคลิ้มใจ เพราะฉะนั้น อะไรที่เอามาหมักแล้วเกิดแอลกอฮอร์ก็น่าจะถือว่าเป็นเมรัยทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้ดื่มหรือกิน แล้วของทุกอย่างที่มีน้ำตาลอยู่ในตัวและในขบวนการหมักดอง ก็มักจะเกิดแอลกอฮอร์ทั้งนั้นครับ เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราใช้เป็นเภสัช คือ ใช้รักษาร่างกายให้เกิดความสบายหายจากทุกข์เวทนา(ยาหรืออาหาร)ก็ไม่ถือว่าผิดอันใด เพียงแต่ใช้ให้เหมาะสมแก่เหตุเท่านั้นเอง
คราวนี้มาถึงตัวปัญหา มัชชะ ถ้าจำไม่ผิด เคยมีพระอาจารย์ท่านแปลให้ฟังว่า "เป็นเหตุให้มึนเมา" มึนเมา คือ การขาดสติไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เรารับเข้ามาแล้วเป็นเหตุให้มึนเมาขาดสติ ก็น่าจะถือว่า เป็น มัชชะ ใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด การพนัน รวมทั้งบุหรี่ด้วย เพราะมีสารกล่อมประสาทให้เกิดความมึนเมาเหมือนกัน แถมยังทำร้ายตัวเราเองและผู้อื่นด้วย
พระอาจารย์ท่านยังยกตัวอย่างที่น่าสนใจให้ฟัง คือ มีคดีความนึงลูกเขยเอายากล่อมประสาทให้แม่ยายกิน เพื่อให้เคลิ้มขาดสติ แล้วหลอกให้เซ็นยกที่ดินให้เอาไปขายได้ เนื่องจากใช้ยาปริมาณไม่มากจนทำให้หมดสติ แม่ยายก็เซ็นต่อหน้าพยานเพราะมึนงง ขาดสติไตร่ตรอง พระอาจารย์ท่านก็ว่า อย่างนี้ลูกเขยคนนั้นก็ถือว่าละเมิดศีลข้อห้าเหมือนกัน
สรุปง่ายๆในปัจจุบันนี้ อะไรที่ทำให้เรามัวเมา ลุ่มหลง ขาดสติไตร่ตรอง และเป็นอันตรายต่อตัวเราและผู้อื่น ถือว่าละเมิดศีลข้อห้าหมดครับ ส่วนอย่างไหนอย่างใด จะมากจะน้อยมาว่ากันเป็นรายๆไปอีกที
ถ้ามีข้อผิดพลาด ก็บอกมานะครับ เพราะเป็นการตอบปากเปล่าไม่ได้เปิดตำรา มาช่วยกันทำความเข้าใจหลักแห่งชีวิตกันครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
ปล.ผมใช้คำว่าละเมิดศีลนะครับ เพราะผมถือว่า ศีลคือ ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต ไม่ใช่ข้อห้าม
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ .....
ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน .....
ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ .....
อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ
#9
โพสต์เมื่อ 14 October 2008 - 07:38 PM
ลูกเขยละเมิดศีลข้อ๔ด้วยคือ"ใช้เล่ห์เพทุบาย"(แม้ไม่พูดแต่ใช้ภาษาท่าทาง,มารยาสาไถหรือวางแผนลวงโลก)ก็ขุม๔
และข้อ๒ด้วยคือ "เอาของของเขาโดยที่เขาไม่อนุญาติ" (หลอกล่อเล่ห์กลมนต์คาถา)ก็ขุม๒
และข้อ๒ด้วยคือ "เอาของของเขาโดยที่เขาไม่อนุญาติ" (หลอกล่อเล่ห์กลมนต์คาถา)ก็ขุม๒