ว่าด้วยความคิด
คนโง่ ทำก่อนแล้วถึงคิด จึงผิดพลาดอยู่เนืองๆ ต้องเปลืองเวลาและความรู้สึก ตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด
คนฉลาด คิดมากก่อนแล้วถึงทำ จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์ จะทำดีมาก แต่ทำได้น้อย เพราะเขม่าความคิดปิดกั้นความหาญกล้า
คนเจ้าปัญญา คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำ ประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอน ป้องกันความผิดพลาดขื่นขม และประสบความสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย
ว่าด้วยการทำงาน
คนโง่ ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็น และมักไม่ได้ คุณค่าอื่นๆของงาน
คนฉลาด ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่ และได้เงินตามมาโดยง่าย
คนเจ้าปัญญา ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียง และมิตรมหาศาลย่อมตามมาเสมอ
ว่าด้วยการสร้างความมั่งคั่งรํ่ารวย
คนโง่ ชอบรวยทางลัด จึงจนอย่างรวบรัดได้เช่นกัน
คนฉลาด ชอบรวยเชิงระบบ ต้องอิงอาศัยระบบจึงจะรวย เมื่อระบบล่มก็ต้องล้มไปด้วย
คนเจ้าปัญญา ชอบรวยด้วยความยินดี จึงรวยในทุกระดับที่มี ได้ดูดซับคุณค่าของสิ่งที่มีอย่างแท้จริง รวยและเป็นสุขเสมอ
ทำงัยสายน้ำทิพย์จะเลิกเป็นโง่กะเค้าบ้าง!!..เป็นคนโง่ทั้งสาม..ว่าด้วย..เลย
คนโง่..คนฉลาด..คนเจ้าปัญญา
เริ่มโดย บุญโต, Oct 12 2006 01:27 PM
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 01:27 PM
#2
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 02:02 PM
เราเป็นทั้งสามคน ในคนเดียวกันเลย เก่งจัง ฮิ ๆๆๆๆๆๆ
#3
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 05:37 PM
ไม่ทราบความแตกต่างระหว่างความฉลาดกับความเจ้าปัญญา ใครรู้ตอบด้วยค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 10:41 PM
??????
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก
#5
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 10:48 PM
ว่าด้วยความโง่และความฉลาด
คนโง่ : ชอบคิดว่าตนฉลาดแล้ว จึงดักดานอยู่กับความโง่ของตนตามที่เป็น
คนฉลาด : ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด
คนเจ้าปัญญา : ย่อมเห็นความโง่และความฉลาด ที่ซ้อนกันอยู่ และวิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่งๆขึ้นไป จึงค่อยๆ หายโง่ และเลิกฉลาดโดยลำดับ
ว่าด้วยการพูดจา
คนโง่ : ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะ และความบาดหมางแทนความรู้
คนฉลาด : ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้ และมิตรภาพมากกว่าความแตกแยก
คนเจ้าปัญญา : ชอบเฉยสังเกตลึก เข้าใจสิ่งต่าง อย่างลึกซึ้งแล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม
ว่าด้วยการพูด
คนโง่: ชอบใช้อารมณ์พูดจึงผิดพลาดมาก ล้มเหลวบ่อย
คนฉลาด : ชอบใช้เหตุผลพูดจึงถูกต้องมากแต่มักไร้ความรู้สึกและประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง
คนเจ้าปัญญา : ชอบใช้ธรรมะพูดจึงบริสุทธิ์เหนือถูกผิดและเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม
ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา
คนโง่ : พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย
คนฉลาด : พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา
คนเจ้าปัญญา : พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น
ว่าด้วยการบริหารธรรม
คนโง่ : ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ
คนฉลาด : ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี
คนเจ้าปัญญา : ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!
ว่าด้วยการดำรงชีวิต
คนโง่ : ดิ้นรนเพื่อการดำรงอยู่ จึงอยู่ต่อไปแม้นโง่งมบรมทุกข์
คนฉลาด : ดิ้นรนเพื่อการพัฒนา จึงมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าตามลำดับ
คนเจ้าปัญญา : ดิ้นรนเพื่อความเป็นอิสระ บริสุทธิ์ จึงหลุดพ้นโดยลำดับ
ว่าด้วยการบริหารจิตใจ
คนโง่ : ปล่อยใจตนเอง จึงไหลไปตามสิ่งเร้า กลายเป็นทาสของสถาณการณ์
คนฉลาด : ขังใจตนเอง ไม่ไหลตามสิ่งเร้า จึงเป็นอิสระจากสถานการณ์ แต่เป็นทาสตนเอง
คนเจ้าปัญญา : ชำระใจตนเอง บริสุทธิ์กว่าสิ่งเร้าและตนผู้ถูกเร้า จึงเป็นอิสระเหนือสิ่งทั้งปวง
ว่าด้วย จิต
ว่าด้วยการบริหารจิต
คนโง่ : แม้เมื่อมีจิตใจ ก็ไม่เห็นจิตใจ จึงไม่บริหารจิตใจตนแต่สัปดนไปบริหารคนอื่น และมักขื่นขมที่ควบคุมคนอื่นไม่ได้
คนฉลาด : แม้มีจิตใจก็เข้าใจจิตใจตนแม้จะไม่เห็นอยู่ จึงทู้ซี้ระวังรักษาและได้ประโยชน์บ้างตามกำลังสติสัมปชัญญะ
คนเจ้าปัญญา : เมื่อมีจิตใจย่อมเห็นแจ่มแจ้งในจิตใจอยู่ รู้แจ้งพฤติของจิต และอำนาจแห่งใจ จึงสามารถบริหารให้เกิดประโยชน์สุขสูงสุดได้เสมอ
ว่าด้วย ทัศนคติ
คนโง่ : ดูหมิ่นความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตตกต่ำ กลายเป็นทาสสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีจะไม่เข้าใจ จึงพลาดโอกาสใหญ่
คนฉลาด : ชอบทำดีและติดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งดีโดยมาก ครั้นพบสิ่งชั่วร้าย จะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น ต้องถอยหนีสถานการณ์ ดวงใจแตกร้าว ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคืองและปฏิฆะเร้นลึก
คนเจ้าปัญญา : ละชั่วเด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ติดดี แล้วละแม้ความดีเข้าสู่ความบริสุทธิ์ จึงเห็นที่สุดแห่งความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่า ทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ และความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกสถานการณ์
ว่าด้วยการอยู่กับความทุกข์
คนโง่ : มัวทนกับทุกข์ เมื่อทุกข์ใจก็ไม่กล้าตัดใจจากสิ่งที่ทำให้ทุกข์ จึงต้องทนเจ็บใจตลอดไป ระบม ระงม ร่ำไร
คนฉลาด : มักหนีทุกข์ เมื่อทุกข์ใจก็กล้าตัดใจจากสิ่งที่ทำให้ทุกข์ จึงโล่งใจไปเรื่อยๆ ตราบที่ตัดได้ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงร่ำไป
คนเจ้าปัญญา : มุ่งทำลายเงื่อนไขของทุกข์ ทำใจให้ไม่เจ็บในทุกข์ จึงไม่ต้องตัดใจอีกต่อไป ใจจึงเป็นปกติเย็นอยู่อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุกข์ใจ
ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ
คนโง่ : เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก
คนฉลาด : กตัญญูผู้มีพระคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รู้จบ
คนเจ้าปัญญา : ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่องทุกฝ่ายจึงได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง
ว่าด้วยความเพียร
คนโง่ : มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี
คนฉลาด : มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าห์ระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก
คนเจ้าปัญญา : ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป
ว่าด้วยความจริงจัง
คนโง่ : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า
คนฉลาด : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ
คนเจ้าปัญญา : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว
ว่าด้วยการแสวงหา
คนโง่ : งุ่มง่ามแสวงหาคุณค่าภายนอกตน ยิ่งพบมากก็ยิ่งพบว่าตนด้อยค่า จึงยอมตนเป็นทาสสิ่งต่างๆ ภายนอก
คนฉลาด : งุ่นง่านแสวงหาคุณค่าในตน ยิ่งพบมากยิ่งเห็นว่าตนล้ำค่า จึงหลงตนกลายเป็นทาสตัวเอง
คนเจ้าปัญญา : ย่อมแสวงหาคุณค่าสากล ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นความธรรมดาในทุกสิ่ง จึงมี เป็น และบริโภคทุกสิ่งเหมือนไม่มี ไม่เป็น
ว่าด้วยการบริหารเป้าหมายในชีวิต
คนโง่ : มักใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายจึงว่ายไปแล้ววนกลับมาที่เดิม ต้องเริ่มต้นใหม่ร่ำไปสู่อนาคตที่ไร้ทิศทาง
คนฉลาด : มักตั้งเป้าหมายชีวิตอย่างยิ่งใหญ่จึงไม่พึงพอใจกับภาวะที่ตนเป็นสักทีเพราะดูทีไรก็ยังห่างไกลเป้าหมายเสมอ
คนเจ้าปัญญา : ย่อมมีเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิตและมีเป้าหมายน้อยนิดสานสู่เป้าหมายใหญ่ จึงมีบันใดความสำเร็จให้บรรลุเป็นลำดับไป ได้กำลังใจและหรรษาไปตลอดหนทาง
ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ
คนโง่ : รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง
คนฉลาด : เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก
คนเจ้าปัญญา : ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า
คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา เป็นเพียงคำเรียกขาน
เป็นการจำแนกบุคคะลักษณะการกระทำ
การดำเนินของคนออกมา
ในความเป็นจริงแล้ว
สามจำแนก นั้นก้อมาจากหนึ่งเดียวก้อคือคน
สมมุติบัญญัติจำแนก เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารตน
ในการดำเนินตามวิถี ที่จะประยุกต์ในชีวิตที่ดำเนิน
...........................................................................................................
เนื้อหาบางส่วนจาก หนังสือ
The Foolish The clever The Wise คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา โดย ไชย ณ พล ค่ะ
เพิ่มเติมค่ะ ร่วมด้วยช่วยกัน
คนโง่ : ชอบคิดว่าตนฉลาดแล้ว จึงดักดานอยู่กับความโง่ของตนตามที่เป็น
คนฉลาด : ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด
คนเจ้าปัญญา : ย่อมเห็นความโง่และความฉลาด ที่ซ้อนกันอยู่ และวิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่งๆขึ้นไป จึงค่อยๆ หายโง่ และเลิกฉลาดโดยลำดับ
ว่าด้วยการพูดจา
คนโง่ : ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะ และความบาดหมางแทนความรู้
คนฉลาด : ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้ และมิตรภาพมากกว่าความแตกแยก
คนเจ้าปัญญา : ชอบเฉยสังเกตลึก เข้าใจสิ่งต่าง อย่างลึกซึ้งแล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม
ว่าด้วยการพูด
คนโง่: ชอบใช้อารมณ์พูดจึงผิดพลาดมาก ล้มเหลวบ่อย
คนฉลาด : ชอบใช้เหตุผลพูดจึงถูกต้องมากแต่มักไร้ความรู้สึกและประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง
คนเจ้าปัญญา : ชอบใช้ธรรมะพูดจึงบริสุทธิ์เหนือถูกผิดและเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม
ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา
คนโง่ : พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย
คนฉลาด : พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา
คนเจ้าปัญญา : พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น
ว่าด้วยการบริหารธรรม
คนโง่ : ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ
คนฉลาด : ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี
คนเจ้าปัญญา : ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!
ว่าด้วยการดำรงชีวิต
คนโง่ : ดิ้นรนเพื่อการดำรงอยู่ จึงอยู่ต่อไปแม้นโง่งมบรมทุกข์
คนฉลาด : ดิ้นรนเพื่อการพัฒนา จึงมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าตามลำดับ
คนเจ้าปัญญา : ดิ้นรนเพื่อความเป็นอิสระ บริสุทธิ์ จึงหลุดพ้นโดยลำดับ
ว่าด้วยการบริหารจิตใจ
คนโง่ : ปล่อยใจตนเอง จึงไหลไปตามสิ่งเร้า กลายเป็นทาสของสถาณการณ์
คนฉลาด : ขังใจตนเอง ไม่ไหลตามสิ่งเร้า จึงเป็นอิสระจากสถานการณ์ แต่เป็นทาสตนเอง
คนเจ้าปัญญา : ชำระใจตนเอง บริสุทธิ์กว่าสิ่งเร้าและตนผู้ถูกเร้า จึงเป็นอิสระเหนือสิ่งทั้งปวง
ว่าด้วย จิต
ว่าด้วยการบริหารจิต
คนโง่ : แม้เมื่อมีจิตใจ ก็ไม่เห็นจิตใจ จึงไม่บริหารจิตใจตนแต่สัปดนไปบริหารคนอื่น และมักขื่นขมที่ควบคุมคนอื่นไม่ได้
คนฉลาด : แม้มีจิตใจก็เข้าใจจิตใจตนแม้จะไม่เห็นอยู่ จึงทู้ซี้ระวังรักษาและได้ประโยชน์บ้างตามกำลังสติสัมปชัญญะ
คนเจ้าปัญญา : เมื่อมีจิตใจย่อมเห็นแจ่มแจ้งในจิตใจอยู่ รู้แจ้งพฤติของจิต และอำนาจแห่งใจ จึงสามารถบริหารให้เกิดประโยชน์สุขสูงสุดได้เสมอ
ว่าด้วย ทัศนคติ
คนโง่ : ดูหมิ่นความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตตกต่ำ กลายเป็นทาสสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีจะไม่เข้าใจ จึงพลาดโอกาสใหญ่
คนฉลาด : ชอบทำดีและติดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งดีโดยมาก ครั้นพบสิ่งชั่วร้าย จะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น ต้องถอยหนีสถานการณ์ ดวงใจแตกร้าว ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคืองและปฏิฆะเร้นลึก
คนเจ้าปัญญา : ละชั่วเด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ติดดี แล้วละแม้ความดีเข้าสู่ความบริสุทธิ์ จึงเห็นที่สุดแห่งความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่า ทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ และความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกสถานการณ์
ว่าด้วยการอยู่กับความทุกข์
คนโง่ : มัวทนกับทุกข์ เมื่อทุกข์ใจก็ไม่กล้าตัดใจจากสิ่งที่ทำให้ทุกข์ จึงต้องทนเจ็บใจตลอดไป ระบม ระงม ร่ำไร
คนฉลาด : มักหนีทุกข์ เมื่อทุกข์ใจก็กล้าตัดใจจากสิ่งที่ทำให้ทุกข์ จึงโล่งใจไปเรื่อยๆ ตราบที่ตัดได้ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงร่ำไป
คนเจ้าปัญญา : มุ่งทำลายเงื่อนไขของทุกข์ ทำใจให้ไม่เจ็บในทุกข์ จึงไม่ต้องตัดใจอีกต่อไป ใจจึงเป็นปกติเย็นอยู่อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุกข์ใจ
ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ
คนโง่ : เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก
คนฉลาด : กตัญญูผู้มีพระคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รู้จบ
คนเจ้าปัญญา : ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่องทุกฝ่ายจึงได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง
ว่าด้วยความเพียร
คนโง่ : มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี
คนฉลาด : มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าห์ระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก
คนเจ้าปัญญา : ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป
ว่าด้วยความจริงจัง
คนโง่ : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า
คนฉลาด : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ
คนเจ้าปัญญา : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว
ว่าด้วยการแสวงหา
คนโง่ : งุ่มง่ามแสวงหาคุณค่าภายนอกตน ยิ่งพบมากก็ยิ่งพบว่าตนด้อยค่า จึงยอมตนเป็นทาสสิ่งต่างๆ ภายนอก
คนฉลาด : งุ่นง่านแสวงหาคุณค่าในตน ยิ่งพบมากยิ่งเห็นว่าตนล้ำค่า จึงหลงตนกลายเป็นทาสตัวเอง
คนเจ้าปัญญา : ย่อมแสวงหาคุณค่าสากล ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นความธรรมดาในทุกสิ่ง จึงมี เป็น และบริโภคทุกสิ่งเหมือนไม่มี ไม่เป็น
ว่าด้วยการบริหารเป้าหมายในชีวิต
คนโง่ : มักใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายจึงว่ายไปแล้ววนกลับมาที่เดิม ต้องเริ่มต้นใหม่ร่ำไปสู่อนาคตที่ไร้ทิศทาง
คนฉลาด : มักตั้งเป้าหมายชีวิตอย่างยิ่งใหญ่จึงไม่พึงพอใจกับภาวะที่ตนเป็นสักทีเพราะดูทีไรก็ยังห่างไกลเป้าหมายเสมอ
คนเจ้าปัญญา : ย่อมมีเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิตและมีเป้าหมายน้อยนิดสานสู่เป้าหมายใหญ่ จึงมีบันใดความสำเร็จให้บรรลุเป็นลำดับไป ได้กำลังใจและหรรษาไปตลอดหนทาง
ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ
คนโง่ : รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง
คนฉลาด : เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก
คนเจ้าปัญญา : ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า
คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา เป็นเพียงคำเรียกขาน
เป็นการจำแนกบุคคะลักษณะการกระทำ
การดำเนินของคนออกมา
ในความเป็นจริงแล้ว
สามจำแนก นั้นก้อมาจากหนึ่งเดียวก้อคือคน
สมมุติบัญญัติจำแนก เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารตน
ในการดำเนินตามวิถี ที่จะประยุกต์ในชีวิตที่ดำเนิน
...........................................................................................................
เนื้อหาบางส่วนจาก หนังสือ
The Foolish The clever The Wise คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา โดย ไชย ณ พล ค่ะ
เพิ่มเติมค่ะ ร่วมด้วยช่วยกัน
ไฟล์แนบ
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#6
โพสต์เมื่อ 13 October 2006 - 09:53 AM
สาธุค่ะ...คุณkoonpatt
ได้อีกเยอะเลย
ได้อีกเยอะเลย
#7
โพสต์เมื่อ 13 October 2006 - 05:43 PM
อืมม... ดีจัง ขอบคุณครับ
"หยุด เป็น ตัวสำเร็จ"
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#8
โพสต์เมื่อ 14 October 2006 - 11:15 PM
เจ้เกิ้ลข้อยบ่โง่เด้อ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#9
โพสต์เมื่อ 16 October 2006 - 09:36 AM
QUOTE
เจ้เกิ้ลข้อยบ่โง่เด้อ
เชื่อเจ้าค๊า...ฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษฐ์ด้วยนะค๊า#10 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 22 December 2010 - 12:51 PM
ขอบคุณคับ มีกลจ.มากในการทำตนให้เป็นคนมีปัญญา