ขอความเมตตาจากท่านผู้รู้ช่วยตอบทีครับ
#1
โพสต์เมื่อ 30 November 2007 - 06:34 PM
#2
โพสต์เมื่อ 30 November 2007 - 07:50 PM
ถูกต้องแล้วครับ การละชั่ว (สพฺพปาปสฺสอกรณํ) ทำดี (กุสลสฺสูปสมฺปทา) และการยังจิตของตนให้ผ่องแผ้ว (สจิตฺตปริโยทปนํ) เป็นหลักธรรมคำสอนอันเป็นหัวใจและเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า "โอวาทปาฏิโมกข์" ครับ
ถูกต้องครับ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พุทธสาวกของพระองค์รู้จักการปล่อยวาง เพราะการนำเอาจิตของตนไปหน่วงเหนี่ยว (ยึดมั่นถือมั่น) ในตัวบุคคล สัตว์ สิ่งของ ที่จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นแก่จิตใจเป็นไม่มี
การมีสติรู้ตัวตลอดเวลา รู้กาย รู้จิต และรู้อารมณ์ที่มากระทบจิตแต่เพียงประการเดียวนั้น ไม่เพียงพอต่อการไปสู่แดนนิพพานหรอกครับ ผู้ปรารถนาไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานนั้น จะต้องบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ อันได้แก่ การบำเพ็ญทาน รักษาศีล และการเจริญภาวนา (ทั้งในฝ่ายของสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน) และบำเพ็ญบารมี ๑o ประการ อันได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี จนกระทั่งบารมีในตัวกลั่นกล้าเต็มเปี่ยมถึงจุดที่สามารถดำรงตนอยู่ในสภาวะของความเป็นผู้พ้นออกไปจากภพนี้ได้ (หมายถึง พระอรหันต์) เมื่อนั้นแหละครับ จึงจะสามารถเข้าสู่แดนนิพพานอันเกษมได้โดยแท้จริง
ถูกต้องครับ
เข้าใจถูกต้องแล้วนะครับ คุณมาถูกทางแล้ว
พระพุทธองค์ตรัสสอนทั้งเรื่องนรกและสวรรค์แก่พุทธสาวกของพระองค์ เพื่อให้เกิดเทวธรรม (หิริ (ความละอายต่อบาป)-โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อผลแห่งบาป)) ขึ้นในจิตใจ เมื่อความรักความฝักใฝ่ในกิจอันเป็นกรณียกิจ (กุศลกิจ) และความละอาย-เกรงกลัวต่อผลแห่งบาปเกิดขึ้นในดวงจิตอยู่เนืองนิจเช่นนี้ แม้ในภพที่เขาละอัตภาพจากความเป็นมนุษย์เขาย่อมมีสุคติเป็นที่ไป (แม้ว่าบารมีในตัวยังไม่ถึงขั้นที่จะกระทำกิเลสานุสัยทั้งน้อยและใหญ่ทั้งหลายให้หมดไปจากขันธสันดานได้ก็ตาม) นอกจากตรัสสอนแล้ว พระพุทธองค์ยังสามารถพยากรณ์ถึงคติอันเป็นไปในหมู่สัตว์ทั้งหลายได้อีกด้วย เป็นต้นว่า เมื่อได้มีมนุษย์กระทำบาปกรรมประการใดประการหนึ่ง เมื่อทรงทราบด้วยพระพุทธญาณของพระองค์แล้ว ก็ทรงพยากรณ์ได้ทันทีว่า มนุษย์ผู้นั้น ย่อมไปบังเกิดในกำเนิดแห่งสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นสัตว์นรกในแดนสัญชีวมหานรก กาฬสุตตมหานรก สังฆาฏมหานรก โรรุวมหานรก มหาโรรุวมหานรก ตาปนมหานรก มหาตาปนมหานรก อเวจีมหานรก และนรกขุมบริวารน้อยใหญ่ทั้งหลาย (อุสสทนรกและยมโลกนรก) ได้ตลอดถึงอายตนะโลกันต์/โลกันตร์ ดังตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ได่แก่ พระเทวทัตผู้กระเสือกกระสนขวนขวายในการทำลายหมู่สงฆ์ให้แตกแยก เมื่อท่านได้ถูกธรณีสูบแล้ว ได้ทรงมีพระพุทธพยากรณ์ถึงคติเบื้องหน้าของพระเทวทัตไว้ว่า "เทวทัตได้บังเกิดแล้วในอเวจีมหานรก" นอกจากนี้ ยังทรงอาศัยพระอนาคตังสญาณสอดส่องไปถึงกาลภายภาคเบื้องหน้าได้อีกด้วยว่า เมื่อพระเทวทัตพ้นจากการลงทัณฑ์ในอเวจีมหานรก และได้สั่งสมบารมีอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว จะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงมีพระนามว่า "อัฏฐิสระปัจเจกพุทธเจ้า" ในทางตรงกันข้าม หากมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งประกอบกิจอันเป็นไปในทางกุศล และได้ละจากอัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์ลง เมื่อทรงตรวจดูด้วยพระพุทธญาณของพระองค์แล้ว ก็ทรงพยากรณ์ได้ทันทีว่า มนุษย์ผู้นั้น ย่อมถึงอัตภาพของความเป็นสหายแห่งทวยเทพในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวัสสวัตตี เกิดในรูปาวจรภูมิ ๙ ชั้น ๑๖ จำพวก อันเป็นที่สถิตแห่งบรรดาเหล่ารูปพรหม เกิดในอรูปาวจรภูมิ อันเป็นที่สถิตแห่งบรรดาเหล่าอรูปพรหม ดังตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ได้แก่ หญิงงามเมืองผู้มีนามว่า "สิริมา" ซึ่งต่อมาภายหลังเธอได้บรรลุถึงซึ่งความเป็นพระโสดาบัน เมื่อเธอละอัตภาพจากความเป็นมนุษย์แล้ว ได้ทรงพยากรณ์ว่า เธอได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวัสสวัตตี ทั้งนี้ ย่อมเป็นไปด้วยพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ เนื่องจากกำลังของพระพุทธญาณแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นพระสัพพัญญุตญาณ คือ ญาณอันสามารถหยั่งรู้ได้ตลอดหมดจดในทุกสรรพสิ่ง และเป็นอนาวรณญาณ คือ ญาณอันสามารถหยั่งรู้ได้โดยไม่มีเขตแดน
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#3
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 04:45 AM
#4
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 08:23 AM
#5
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 10:15 AM
จากทั้งหมดคือ หยุด เป็นตัวสำเร็จ (๐๗๒)
#6
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 11:27 AM
ทำเช่นนั้นเช่นนี้เป็นธรรมะ หรือไม่ หากเราเพียงแต่ฟัง แล้วก็เฉยๆ เราก็ไม่ทราบถ่องแท้หรอกครับ แต่ให้เราลองพิสูจน์ดู ด้วยการลงมือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส เดี๋ยวเราก็จะทราบเองแหละครับ
ส่วนเรื่องพระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์นรกสวรรค์ให้ใครนั้น ก็เป็นกรณีปรกติครับ เพราะมนุษย์โดยทั่วๆไป บุญบาปชิงช่วงช่วงชิงกันตลอดเวลา ตอนเช้าใจหมอง ตกบ่ายใจใส หากไม่ได้ทำบุญใหญ่ หรือ ทำบาปมหันต์ อย่างนี้พระพุทธเจ้า ท่านจะไม่พยากรณ์ครับ เพราะยังไม่แน่ หากพยากรณ์ว่า เขาจะขึ้นสวรรค์แน่นอน แต่พอตอนตาย ใจเขาเศร้าหมอง กลับลงนรกแทนก็มีครับ
แต่ใครก็ตามที่สร้างบุญใหญ่กำลังบุญส่งผลอย่างแน่นอน ไม่เปลี่ยนเป็นอื่น กรณีนี้ พระพุทธเจ้าท่านจะพยากรณ์ครับ เช่น ด้วยบุญที่นายสุมนมาลาการ อุทิศชีิวิตถวายทานแด่เรานี้ เขาจะไม่รู้จักทุคติเลย ตลอดแสนกัป ชาติสุดท้ายจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง นามว่า สุมนะ เป็นต้น
หรือใครก็ตามที่สร้างบาปมหันต์ จนกำลังแห่งบาปต้องส่งผลแน่นอนว่า ลงนรกแน่ อย่างนี้พระพุทธองค์ก็จะทรงพยากรณ์ว่า เป็นไปตามนั้นครับ เช่น พระเทวทัตทำบาปมหันต์ ตอนท้ายสำนึกผิดมากราบพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์บอกว่า พระเทวทัต จะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าหรอก แต่จะต้องไปอบาย พระสาวกรายงานว่า ตอนนี้เดินทางมาถึงหน้าวัดแล้วนะ พระพุทธเจ้าก็ยังทรงพยากรณ์ยืนยันว่า ไม่ได้เห็นแน่นอน แล้วธรณีก็สูบพระเทวทัตอยู่ตรงนั้นเอง
เข้าใจหรือยังครับ เมื่อบุญบาปยังไม่แน่ว่า อะไรก็ให้ผล ผู้รู้ท่านย่อมไม่พยากรณ์ ต่อเมื่อรู้ผลแน่นอนนั่นแหละครับ จึงจะพยากรณ์ได้ครับ
#7
โพสต์เมื่อ 01 December 2007 - 03:03 PM
ทำเช่นนั้นเช่นนี้เป็นธรรมะ หรือไม่ หากเราเพียงแต่ฟัง แล้วก็เฉยๆ เราก็ไม่ทราบถ่องแท้หรอกครับ แต่ให้เราลองพิสูจน์ดู ด้วยการลงมือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส เดี๋ยวเราก็จะทราบเองแหละครับ
ถูกต้องครับ เห็นชอบด้วยอย่างยิ่ง
ขอบพระคุณพี่หัดฝันมากเลยครับ ที่ได้ช่วยเสริมต่อในบางส่วนที่ผมขาดหาย พี่หัดฝันได้ให้เหตุผลไว้ถูกต้องแล้วครับ เรื่องการตอบสนองของผลแห่งกรรมที่มีต่อหมู่สัตว์นี่ บางขณะสมัยพระพุทธองค์ก็ไม่ทรงพยากรณ์หรอกครับ เนื่องจากบุคคลผู้นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ด้วยเหตุที่ได้ประกอบไว้ในปัจจุบัน ดังเช่นกรณีสามเณรผู้เป็นศิษย์ของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เนื่องด้วยพระเถระได้พยากรณ์ศิษย์ของตนไว้ว่า จะต้องถึงคราวทำกาละ (ตาย) ภายใน ๗ วัน ด้วยเหตุอันเกิดแต่กรรมเก่าในอดีตตามมาตัดรอน พระเถระจึงบอกกล่าวแก่สามเณรให้เดินทางกลับสู่นิวาสสถาน เพื่อไปร่ำลาพ่อแม่และหมู่ญาติของตน ในระหว่างทางนั้นเอง สามเณรได้พบกับฝูงปลาในหนองน้ำที่แห้งแล้ง ท่านจึงเปลื้องเอาจีวรของตนลงกอบเอาฝูงปลาเหล่านั้น ไปปล่อยยังหนองน้ำอีกแห่งหนึ่ง ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ หนึ่งในฝูงปลานั้น ได้มีปลาพระโพธิสัตว์รวมอยู่ด้วย ผลแห่งกุศลกรรมที่สามเณรได้ช่วยชีวิตสัตว์ให้พ้นจากที่คุมขังและความตายในครั้งนั้น ได้มาพิฆาตตัดรอนอกุศลกรรมเก่าของสามเณรให้กลายเป็นอโหสิกรรมไปหมดสิ้น และยังให้การพยากรณ์ของพระเถระต้องคลาดเคลื่อนไปด้วยเหตุดังกล่าว นอกจากนี้ สามเณรยังมีอายุขัยยืนยาวนานต่อไปอีกจนกระทั่งถึง ๑๒o ปีด้วย
คำว่า "ผู้รู้ท่านย่อมไม่พยากรณ์" ในที่นี้ หมายเอา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ เพราะเหตุว่า วาทะแห่งพระตถาคต เป็นหนึ่งไม่มีสองเสมอ ตรัสไว้เช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้น สำหรับผู้รู้ท่านอื่นการพยากรณ์ยังมีผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ ดังตัวอย่างที่ยกไว้ในข้างต้น
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 05 December 2007 - 11:39 PM
#9
โพสต์เมื่อ 07 December 2007 - 12:46 PM
หลักธรรมที่ทำพระนิพพานให้แจ้ง
หลักธรรมที่กำจัดกเลสอาสะวะให้หมดสิ้น
หลักธรรมที่สามารถปราบพญามาร
หลักธรรมที่สามารถไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม
ล้วนเป็นหลักธรรมที่แท้จริง แต่การทำให้ปรากฎนั้นต้องเริ่มต้นให้ถูกทางก่อน
#10
โพสต์เมื่อ 17 January 2009 - 02:24 PM
คืออะไรค่ะแล้วเราจะนำมาให้ได้ไงค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 03 February 2009 - 10:18 PM
แต่ถ้าจะว่าตามลำดับขั้นตอนก็ต้อง ทำทานเพื่อให้ใจสบายคลายจากความยึดติด
รับษาศีลเพื่อชำระกายให้บริสุทธิหมดจดเมื่อหยาบๆบริสุทธิืหมดจดได้ จิตใจก็จะสามารถ
ทำให้หยุดนิ่งได้ง่ายและเมื่อใจหยุดได้จิตก็จะบริสุทธิ์
จิตที่บริสุทธิ์ ก็คือจิตที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ และความหลงผิดนั่นเอง
และความโลภ โกรธ หลง ก็กำจัดได้ ด้วย ทาน ศีล ภาวนา นี่เองครับ