ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นอย่างไร
#1
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 09:18 AM
โหลดไปอ่านกันนะครับให้สมกับที่เป็นชาวพุทธ ใครถามก็ตอบได้ว่าพุทธศาสนาดีอย่างไร
ไฟล์ PDF เปิดอ่านด้วยโปรแกรม Adobe Reader
มีหัวข้อดังนี้
เป้าหมายที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา
เรื่องความเชื่อ
เปรียบเทียบศาสนา (จุดหมายสูงสุดและวิธีการเข้าถึง)
ทำไมศาสนาทั้งหลายสอนไม่เหมือนกัน
คำสอนของศาสดาทั้งหมด กล่าวถูกต้องหรือไม่
วิเคราะห์ศาสนาอื่นด้วยหลักของพุทธศาสนา
วัฏจักร และ จุดจบของโลก ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา
โลกล้าง กับโลกแตก แตกต่างกัน
ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่อง “พระเจ้า” และ “พระผู้สร้าง” ?
พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่อง “สร้างโลก” เพราะไม่มีความรู้..??
-------------ตัวอย่างเนื้อหาสาระ------------
เป้าหมายที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา
คำสอนของพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น คือ คำสอนของศาสนาอื่นนั้นเป็นคำสั่งสำเร็จรูปที่ ศาสนิกจะต้องทำตาม
ให้เทพเจ้าพึงพอใจสถานเดียว ใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษจากเทพเจ้าเบื้องบนโดยการให้ตกนรกไปตลอดกาล[1]
แต่คำสอนของพุทธศาสนาเป็นเพียงการนำกฏความจริงของธรรมชาติมาบอกเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฏ
หรือผู้บังคับผู้คนให้ต้องทำตามกฏ
เรื่องความเชื่อ
เรื่องความเชื่อ พระโพธิญาณ(ชา สุภทฺโท) เคยให้ทัสนะไว้ ดังนี้
ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?
ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
ผู้ถาม : เชื่อ
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่
ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด? [20]
เปรียบเทียบศาสนาจุดหมายสูงสุด
๑. อิสลาม - สวรรค์ คือ ดินแดนที่จะได้รับความสุขตามที่พระฮัลลาห์จะ ประทานให้ เช่นจะได้หญิงสาวสวยตาโตเป็นภริยา[7] เป็นต้น
๒. คริสต์ - สวรรค์ คือ ดินแดนที่มีแต่ความสุขตามแต่พระยะโฮวาห์จะมอบให้
๓. พราหมน์ - พรหมัน คือสภาวะดั้งเดิมของสรรพสิ่งมีความบริสุทธิ์สูงสุด
๔. พุทธ - นิพพาน คือ สภาวะที่บริสุทธิ์สูงสุด ไม่มีการเกิด จึงไม่มีการแก่ /ตาย
วิธีการเข้าถึง
๑. อิสลาม ต้องมีศรัทธาไม่หวั่นไหวทำความดีตามพระประสงค์ของพระอัลลอร์ ต้องสรรเสริญพระองค์บ่อย ๆ
๒. คริสต์ ต้องมีศรัทธามั่นคงห้ามสงสัย ทำความดีตามพระประสงค์ของพระเจ้า เน้นรักผู้อื่น ต้องอ้อนวอนและสรรเสริญพระองค์บ่อย ๆ[8]
๓. พราหมณ์ ทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ปฏิบัติภาวนาถึงขั้นอรูปฌาน
๔. พุทธ ไม่จำเป็นต้องมีศรัทธา จึงไม่มีการอ้อนวอนร้องขอ[9] แต่ท้าให้มาพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง
โดยการปฏิบัติจิตภาวนาอย่างเคร่งครัด จากนั้นส่งจิตพิจารณาองค์ฌาน จนเกิดเป็นสภาวะญาณ เกิดวิปัสสนาญาณ ๑๖ ขั้น
เข้าถึง “พระนิพพาน”อย่างสมบูรณ์
ก่อนอื่นขอให้เข้าใจก่อนว่า หลักคำสอนของทุกศาสนาเป็นสัจจะ ความจริงด้วยกันทั้งสิ้น ผู้ที่เชื่อพระฮัลลาห์ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์จะได้ขึ้นสวรรค์จริง ผู้ที่เชื่อพระยะโฮวาห์ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์จะได้ไปอยู่ในแดนสวรรค์จริง ผู้ที่เชื่อพรหมันทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด เจริญภาวนาถึงขั้นอรูป ฌานจะเข้าถึงพรหมันจริง
ทำไมศาสนาทั้งหลายสอนไม่เหมือนกัน
ถาม : ทำไมศาสนาทั้งหลายสอนไม่เหมือนกัน มีความเชื่อไม่เหมือนกันและปฏิบัติไม่เหมือนกัน
ตอบ : ที่จริงแล้ว ความจริงและความบริสุทธิ์สูงสุดมีเพียงหนึ่งเดียว แต่ที่ศาสนาทั้งหลายสอนต่างกัน
เพราะศาสดาของแต่ละศาสนาเข้าถึงความจริงได้ไม่เท่ากัน ถ้าสมมติว่าความจริงสูงสุด คือ ช้าง ศาสดาที่จับถูกหางก็
บอกว่า “หางนี่แหละคือ ช้าง ” ศาสดาที่จับถูกงวงก็บอกว่า“งวงนี่แหละคือ ช้าง ” ศาสดาที่จับถูกหูก็บอกว่า
“หูนี่แหละคือ ช้าง ” ศาสดาที่คลำทั่วทั้งตัวก็บอกว่า “ทั้งตัวนี่ แหละคือ ช้าง ”[10]
คำสอนของศาสดาทั้งหมด กล่าวถูกต้องหรือไม่
ถาม : คำสอนของศาสดาทั้งหมด กล่าวถูกต้องหรือไม่ ?
ตอบ : ศาสดาทุกท่านกล่าวถูกหมด ไม่มีใครกล่าวผิดแม้แต่ท่านเดียว เพราะหูก็คือช้าง งวงก็คือช้าง หางก็คือช้าง
เพียงแต่ศาสดาบางท่านรู้บางส่วน แต่หลงเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตนรู้คือทั้งหมดของตัวช้าง
ติดตามรายละเอียดที่เหลือเชิญดาวน์โหลดได้เลยครับ
________________________________________________________________________________________________.pdf 876.17K 576 ดาวน์โหลด
#2
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 11:34 AM
แจ่มเลย
วันก่อนเพื่อนร่วมงานชาวคริสบอกว่าศาสนาพุทธนำคำสอนของศาสนาอื่นมาประยุกต์ใช้
โอ้โห ปรี้ดดดดดดดดดเลยค่ะ
แต่อดทนไว้ ใจเย็นเย็นค่ะ ในตอนนั้นโกรธ และคิดว่าทำไมเธอคิดได้แค่นั้น ใช้นิ้วไหนคิดก็ไม่รู้
แต่ก็ไม่ได้พูดตอบโต้อะไรไป เพราะเถียงใครไม่เป็น เลยนิ่งนิ่ง
แต่เถียงในใจค่ะ
และเรื่องนี้ก็ทำให้ใจขุ่นหมองหลายวันเลยล่ะค่ะ
เจ็บใจที่ตัวเองให้เหตุผลแทนศาสนาที่เราศรัทธาไม่ได้
อนุโมทนาสาธุกับความรู้เปรียบเทียบอย่างชัดเจน
#3
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 11:39 AM
#4
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 03:15 PM
เพราะดวงตาเห็นธรรม คือ ความรู้แจ้ง เห็นแจ้ง ตามความเป็นจริง
ส่วนคนยังไม่เห็นธรรมก็เป็นดังคนตาบอดคลำช้างอยู่ "ช้าง"เปรียบเหมือน"พระธรรม"ที่พระอรหันต์และพระพุทธเจ้าได้มองเห็น
ส่วน"คนตาบอด"ที่คลำช้างเปรียบเหมือน"ปุถุชนคนธรรมดา"ที่ยังมีกิเลส ตัญหา อวิชา บดบังตาให้มืดบอดอยู่
ในส่วนที่คิดว่า ทางพุทธ ไม่จำเป็นต้องมีศรัทธา อยากให้ไปดูเรื่อง อินทรีย์5 พละ5 เช่น พละ5 คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ส่วนหัวข้อ วัฏจักรและจุดจบของโลกตามแนวทางพุทธศาสนา ดูแล้วยังไม่ใช่แนวทางของพุทธศาสนาดูแล้วออกเป็นแนวทางวิทยาศาสตร์มากกว่า
คือ ทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าโลกมีอายุได้เพียง 6,000ล้านปี แต่จริงๆแล้วทางพุทธ โลกมีอายุยืนยาวกว่านั้นมาก
จะเห็นว่าอายุกัปตามแนว วิทยาศาสตร์สั้นมากๆ ให้ลองคิดดู คนในยุคต้นกัป ก็มีอายุ 1 อสงไขยปี(1ตามด้วย0 ทั้งหมด140 ตัว)เข้าไปแล้ว มากกว่าอายุกัปตามแนววิทยาศาสตร์อีก
1กัปมี 4 อสงไขยกัป (อสงไขยกัปละ 64 อันตรกัป รวมแล้ว 1กัปมี 256 อันตรกัป)แต่มีเพียง 1อสงไขยกัปที่มนุษย์และสัตว์สามารถมีชีวิตอยู่ได้
1 อสงไขยกัปนั้นมี64 อันตรกัป
แบ่งเป็น อันตรกัปที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้แก่
อันตรกัปที่ 9 พระกกุสันธพุทธเจ้า
**** 10 พระโกนาคมนพุทธเจ้า
**** 11 พระกัสสปพุทธเจ้า
**** 12 พระสมณโคดม (องค์ปัจจุบัน)
**** 13 พระศรีอาริยเมตตรัย (อันตรกัปหน้า)
แต่ที่เจ้าของบทความนำมา โพสต์ มาให้ดูนี่ เหมือนนำเอาพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์มาจัดเรียงตามระยะเวลาให้ช่วงระยะเวลาเท่าๆกัน ซึ่งดูแล้วยังไม่ใช่
แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ ตอนนี้อายุขัยมนุษย์ 75 ปี แล้วก็จะลดลงไปเรื่อยๆทุกๆ 100ปีอายุขัยจะลดลงไป 1 ปีจนกระทั่ง
เหลือ 10ปี แล้วก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอีกในอัตราเดียวกันจนถึง 1 อสงไขยปี แล้วก็จะลดลงอีกในอัตราเดิมจนเหลืออายุขัย
80,000 ปี เวลานั้น พระศรีอารย์จะมาตรัสรู้ เท่าที่ดูคร่าวๆก็ยังไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนที่ทำดีต้องไปเกิดชั้นอาภัสสราพรหม แผ่นดินโลกก็ยังมีอยู่มนุษย์และสัตว์ยังอาศัยอยู่ได้ ถ้าโลกจะพินาศต้องรอให้ครบ 64 อันตรกัป และอายุขัยจากอสงไขยปีเหลือ 1,000 ปีก่อนจึงจะถึงวาระใกล้สิ้นกัป
#5
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 03:30 PM
อนุโมทนา ในธรรมทานครับ สาธุ
#6
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 05:21 PM
#7
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 05:27 PM
แต่ความจริง หรือความถูกต้องนั้นมีเพียงสิ่งเดียว
ที่สำคัญคือ ต้องรู้ว่า สิ่งที่เรารู้นั้นเป็นความจริง
ไม่ใช่เป็นแค่ความเชื่อ แต่มันต้องเป็น "ความจริง"
#8
โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 11:26 PM
คห.ของคุณ Bruce Wayne ก็กระชับดี
#9
โพสต์เมื่อ 29 June 2008 - 03:56 PM
#10
โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 10:52 PM
(๒) แต่คำสอนเดียวที่มีอริยมรรคผล สามารถบรรลุภาวะนิรันดร์"ได้จริง" ไม่เวียนว่ายตายเกิด(นิพพาน) คือ "พุทธ" ซึ่งเป็นคำสอนที่เหมือนกันทุกพุทธกาล = มหัศจรรย์ = "ความจริง(สัจธรรม)ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร" และใช้ชื่อเหมือนกันด้วยว่า "พุทธ"
(๓) ส่วนคำสอนอื่นๆเป็นรัฐศาสตร์นิติศาสตร์จริยศาสตร์เพื่อการปกครอง เปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมของแต่ละสิ่งแวดล้อม
(๔) Religion = way of life., คำสอนสั่งที่ต้องทำตามด้วยศรัทธา
(๕) ศาสนา = way of truth and fact., ทางแห่งความจริงของชีวิตที่พิสูจน์แล้วและทนต่อการพิสูจน์ด้วยปัญญาในอนาคตกาลด้วย(ไม่เปลี่ยนแปลง)
#11
โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 05:14 PM
ขอแย้งนะ ข้อความข้างต้นนี่ผิดครับ ศรัทธาก็จำเป็นในศาสนาพุทธเช่นกัน
#12
โพสต์เมื่อ 06 October 2008 - 12:16 PM
โ ม ท น า ค รั บ
#13
โพสต์เมื่อ 30 January 2009 - 10:19 AM
ผมเห็นว่าศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงที่คำสอนครับ
เพราะคำสอนในศาสนาพุทธนั้นเป็นเรื่องของความเป็นจริง
แล้วเป็นจริงอย่างไรล่ะ?
สิ่งเดียวที่พระพุทธเจ้าสอนอยู่ และเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
ก็คือ "ความดับทุกข์ทางใจครับ" ส่วนประกอบอื่นๆ นั้นเป็นเพียง
แค่เปลือกนอกของพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
เราจะดับทุกข์ทางใจได้อย่างไร ? คำตอบก็คือ
การลด ละ ความยึดมั่น ถือมั่น ในตนเองครับ
ส่วนเรื่องของบุญ บาปที่ตามมานั้น เหตุมันมาจากการที่เรา
ลด ละ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองได้ครับ ตัวอย่างของการ
กระทำดังกล่าวก็คือการมีสติอยู่กับตัวเองตลอดเวลา ทำให้เรา
สามารถระลึกได้อยู่ตลอดว่าขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่ และระลึกถึง
การเปลี่ยนแปลงต่างๆของอารมณ์เราเสมอ เมื่อเราระลึกได้
เช่นนี้แล้ว เราก็จะไม่ทำผิดศีล ทำแต่ความดี และสะสมบุญไปโดยอัตโนมัติ
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเจอกระเป๋าสตางค์ตกอยู่ แล้วเรามีสติรู้ทันความโลภ
ที่อยู่ในตัวเองแล้ว เราจะก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาใช้หรือไม่ ?
ดังนั้นจะเห็นว่าพระพุทธศาสนาต่างจากนิกายอื่นๆตรงที่
พระพุทธศาสนานั้น based on ความจริงครับ เป็นศาสนา
ที่เน้นให้คนปฏิบัติ และสามารถปฏิบัติได้ทุกเวลาไม่ว่าจะทำงาน เดิน ตื่นนอน
หรืออาบน้ำ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติแต่ในวัดตลอดก็ได้
ส่วนศาสนาอื่นๆนั้นจะ based on ความเชื่อ เช่น
คริสต์ : ต้องเชื่อก่อนว่าพระเจ้ามีจริง แล้วเหตุผลทั้งหลายก็จะตามมา
พราห์ม ฮินดู : ต้องเชื่อก่อนว่าชาติหน้ามีจริง นรกมีจริง สวรรค์ เทพเจ้ามีจริงแล้วจึงเกิดเหตุผล
พุทธ : จะเชื่อหรือไม่เชื่อในชาติหน้าก็ได้เพราะไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ (กาลามสูตร 10)
แต่ถ้าหากท่านปฏิบัติตามคำสอนแล้วจะได้เจอกับวิธีดับทุกข์ทางใจ ขณะเวลาเดี๋ยวนี้เลย
ส่วนเรื่องที่ว่าชาติหน้าจะได้เป็นอะไรนั้น มันเป็นผลพวงที่ได้จากการที่เราปฏิบัติดีในปัจจุบันนี้เองครับ