การถูกทำลาย ของจักรวาล และ โลกธาตุ
....... เหตุที่ทำให้โลกพินาศ
ในสมัยใดที่สัตว์ทั้งหลายมีสันดานหนาแน่นด้วย
ราคะ โลกพินาศด้วยไฟ (ราคะร้อนเหมือนไฟ)
ถ้าหนาแน่นด้วย โทสะ โลกพินาศด้วยน้ำ (โทสะร้ายเหมือนน้ำกรด)
ถ้าหนาแน่นด้วย โมหะ โลกจะพินาศด้วยลม (โมหะเหมือนลมกรด)
กำหนดเวลาแห่งการพินาศต้องประจวบกัน ๒ ประการ คือ
๑. อยู่ในเวลาวิวัฎฎฐายีอสงไขยกัป (จักรวาลที่ตั้งขึ้นใหม่เรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม)
ครบ ๖๔ อันตรกัป (คือ อายุมนุษย์ ไขยลงจากอสงไขยปีเหลือ ๑๐ ปี แล้วไขขึ้นจนถึง
อสงไขยปี เรียกว่า ๑ อันตรกัป)
๒. อายุของมนุษย์ลดจากอายุขัย อสงไขยปีลงมาถึงอายุขัย ๑,๐๐๐ ปี
.......เมื่อเวลาทั้งสองอย่างมาประจวบกันเข้าเมื่อใด เป็นเวลาพินาศของโลก คือ มหากัป
ที่ ๑ ถึงมหากัปที่ ๗ จะถูกทำลายด้วยไฟ พอมหากัปที่ ๘ จะถูกทำลายด้วยน้ำ แล้วนับ
ตั้งต้นใหม่เวียนอยู่ดังนี้รอบละ ๘ มหากัป พอถึงมหากัปที่ ๕๖ นับเป็นโลกถูกทำลาย
ด้วยน้ำครบ ๗ ครั้ง พอถึงมหากัปที่ ๖๔ จะไม่ถูกทำลายด้วยน้ำ แต่จะถูกทำลายด้วยลม
สรุปแล้วในเวลา ๖๔ มหากัป โลกพินาศด้วยไฟ ๕๖ ครั้ง ด้วยน้ำ ๗ ครั้ง ด้วยลม
๑ ครั้ง รวม ๖๔ ครั้ง และการที่อายุของมนุษย์มีกำหนด ๑,๐๐๐ ปี ย่อมเป็นเวลาที่มนุษย์
ทุกคนมีศีลห้าสมบูรณ์ ไม่มีใครตายแล้วไปอบายภูมิ
........เขตแดนในการพินาศของแต่ละครั้ง เมื่อกล่าวรวมๆ กันแล้ว กินอาณาเขตไปถึง
แสนโกฎิจักรวาล ซึ่งเป็นอาณาเขตของพระพุทธเจ้ารวมอยู่ด้วย
( พักสายตา )
เขตของพระพุทธเจ้า มี ๓ อย่าง คือ
๑. ชาติเขต เป็นเขตที่กำหนดด้วยหมื่นจักรวาล เพราะเป็นจำนวนจักรวาลที่หวั่นไหว
เมื่อพระโพธิสัตว์ลงสู่ปฎิสนธิในครรภ์พระมารดา เวลาปฎิสนธิ เวลาตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อเวลาดับขันธปรินิพพาน
๒. อาณาเขต เป็นเขตที่กำหนดด้วยแสนโกฎิจักรวาล เพราะอำนาจแห่งพระปริต
ทั้งหลาย มี ขันธปริต อาฎานาฎิยปริต ธชัคคปริต โมรปริต รัตนสูตร เหล่านี้เป็นต้น
เมื่อสาธยายแล้วมีอานุภาพแผ่ขยายกว้างไปได้ถึงแสนโกฎิจักรวาล
๓. วิสัยเขต เป็นเขตที่กำหนดนับด้วยอนันตโลกธาตุ ประกอบด้วยจักรวาลมีจำนวน
ไม่สิ้นสุด เป็นเขตที่พระญาณแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสามารถพิจารณา
รู้ทั่ว
.......ในบรรดาเขตทั้ง ๓ นี้ เมื่ออาณาเขตถูกทำลายลงครั้งใด ชาติเขตย่อมถูกทำลาย
พร้อมกันลงไปด้วย ยกเว้นวิสัยเขตจะถูกทำลายเพียงบางส่วน ส่วนเวลาเกิดขึ้น ชาติ
เขตและอาณาเขตคงเกิดขึ้นพร้อมกัน ส่วนวิสัยเขตไม่พร้อมกัน เป็นไปกันทีละคราว
ผลัดเปลี่ยนกันไป
ในจำนวนภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อถึงคราวโลกพินาศ มีภูมิที่พ้น
จากการถูกทำลาย คือ ในรูปพรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ ๑๐ เวหัปผลาภูมิ จนถึงชั้นที่ ๑๖
อกนิฎฐาภูมิ (เมื่อโลกถูกทำลายด้วยไฟ จะพินาศตั้งแต่อบายภูมิจนถึงปฐมฌานภูมิ ๓
เมื่อถูกทำลายด้วยน้ำ จะพินาศตั้งแต่อบายภูมิจนถึงทุติยฌานภูมิ ๓ เมื่อถูกทำลายด้วย
ลม จะพินาศถึง ตติยฌานภูมิ ๓)
ส่วนพรหมชั้นสูงกว่าตติยฌานภูมิ ๓ ขึ้นไป แม้มิถูกทำลาย แต่ก็มีเวลาจุติตาม
อายุขัย
.......ก่อนที่โลกจะถูกทำลายในแต่ละครั้ง จะเป็นสภาวะธรรมดาอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้เทวดาประเภทหนึ่งชื่อ โลกพยุหเทวดา ล่วงรู้ถึงภัยพิบัตินั้น (บางแห่งกล่าวว่า
เทวดารู้ได้ด้วยเกิดอกุศลนิมิตดลจิตให้ทราบบ้าง พรหมทั้งหลายที่ได้ฌานสมาบัติล่วง
รู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าบ้าง จึงบอกเทวดาดังกล่าว) เทวดาเหล่านี้เศร้าโศก
เสียใจ สลดสังเวช จึงพากันสัญจรลงมายังโลกมนุษย์ ประกาศป่าวร้องไปทั่วถึงภัย
อันตรายนั้นๆ เริ่มบอกตั้งแต่ก่อนโลกพินาศเป็นเวลา ๑๐๐,๐๐๐ ปี และจะลงมากล่าว
เตือนดังนี้ทุกระยะ ๑๐๐ ปี
.......เมื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ทราบข่าวนี้แล้ว ย่อมเกิดความสังเวชสลดใจรัก
ใคร่ปรองดอง ชักชวนกันประกอบกุศลกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเจริญพรหมวิหารธรรม
เมื่อตายแล้วจึงพากันไปบังเกิดในเทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง ที่บังเกิดในสวรรค์ชั้น
กามาพจร หรือพรหมโลกชั้นต่ำก็ขวนขวายเจริญฌานจนตาย แล้วไปบังเกิดในพรหม
ภูมิชั้นสูงๆ อันพ้นจากความพินาศของโลกต่อไป
ส่วนสัตว์ในอบายภูมิทั้งที่มีอกุศลกรรมเบาบางหรือหนักก็ตาม จะมีญานชนิด
หนึ่ง ชื่อ ชาติสรญาณ คือ ระลึกชาติได้ว่า ที่ตนต้องเสวยความทุกข์ทรมานต่างๆ เหล่า
นั้น ด้วยเหตุจากการประกอบอกุศลกรรมของตน เมื่อรู้สำนึกตนเช่นนี้แล้ว อำนาจของ
กุศลที่เคยประกอบไว้ในชาติก่อนๆ จะส่งผลให้พ้นจากอบายภูมินั้นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์
บ้าง เทวดาบ้าง จึงทันได้รับทราบข่าวจากการป่าวประกาศของเหล่าโลกพยุหเทวดา
ก็พากันเจริญฌานต่อๆ ไปจนไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด
แต่ในที่บางแห่งกล่าวว่า อบายสัตว์ที่มีกรรมหนัก หนาแน่นมาก เมื่อโลกพินาศ
แล้วจุติไปบังเกิดเป็นอบายสัตว์อยู่ในจักรวาลอื่นที่ยังไม่มีการถูกทำลายให้พินาศ
.......ก่อนถูกทำลายด้วยสิ่งใดก็ตาม เสียงเอิกเกริกเซ็งแซ่โกลาหลจะบังเกิดขึ้น
ในโลก ๕ ประการ ที่ทำให้มนุษย์และเทวดาทราบข่าวล่วงหน้า และพากันเจริญกุศล
ธรรมต่างๆ เพื่อหนีความพินาศของโลก เสียงประกาศเหล่านั้น คือ
๑. กัปปะโกลาหล เสียงประกาศให้ทราบว่าต่อจากนี้ อีก ๑๐๐,๐๐๐ ปี โลกจะถึง
ความพินาศ
๒. พุทธะโกลาหล เสียงประกาศกึกก้องว่า ต่อจากนี้ อีก ๑,๐๐๐ ปี จะมีพระพุทธเจ้า
อุบัติขึ้นในโลกมนุษย์
๓. จักกวัตติโกลาหล เสียงประกาศว่า นับแต่นี้ อีก ๑๐๐ ปี จะมีพระเจ้าจักรพรรดิ
บังเกิดขึ้นในโลก
๔. มังคละโกลาหล เสียงประกาศว่าภายในเวลา อีก ๑๒ ปี พระพุทธเจ้าจะทรง
แสดงธรรมที่เป็นมงคล ๓๘ ประการ
๕. โมเนยยะโกลาหล เสียงประกาศว่าภายในระยะเวลา อีก ๗ ปี จะมีผู้ปฎิบัติโมเนยยะ
(ปราชญ์) มาเกิดในโลก
.......เมื่อโลกจะพินาศด้วยไฟ จะเริ่มต้นด้วยการมีมหาเมฆชนิดหนึ่ง ชื่อ
กัปปวินาสมหาเมฆ ตั้งขึ้น ครั้นแล้วฝนจะตกใหญ่ทั่วทั้งแสนโกฎิจักรวาล บรรดา
มนุษย์ทั้งหลายย่อมพากันดีใจปลูกข้าวกล้า เมื่อต้นข้าวโตพอขนาดโคกัดกินได้ กัปป
วินาสมหาเมฆจะส่งเสียงคำรามลั่นดุจเสียงลาร้อง ต่อแต่นั้นไม่มีฝนตกลงมาอีกเลย
นับเป็นร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยน้ำฝนเลี้ยงชีวิตจะพา
กันตายลง ไปบังเกิดในพรหมโลก รวมทั้งเหล่าบรรดาพวกที่อาศัยดอกไม้ ผลไม้ก็เช่น
เดียวกัน แม้แต่สัตว์ในอบายภูมิทั้งปวงก็จะพากันตายและไปบังเกิดในพรหมโลกทั้ง
หมด พร้อมกับดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฎขึ้น (สัตว์ในอบายภูมิ จะพากันมาเกิดเป็น
มนุษย์ก่อน แล้วเจริญฌานเข้าสู่เทวโลกหรือ พรหมโลก มิใช่จากอบายภูมิไปพรหม
ภูมิโดยตรงทีเดียว)
ครั้นไม่มีฝนตกลงมาเป็นเวลาช้านาน และสัตว์ทั้งหลายพากันอดยากทะยอย
ตายลงไป กลับปรากฎดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ บังเกิดขึ้นในเวลากลางคืน พอดวงแรก
ลับขอบฟ้า ดวงที่ ๒ จะส่องแสงแทน นับแต่นั้นโลกก็มีแต่เวลากลางวันอย่างเดียว
ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ไม่มีสุริยเทพบุตรอยู่ประจำ จึงส่องแสงร้อนแรงยิ่งกว่าธรรมดา
เมื่อถึงเวลานี้สุริยเทพบุตรที่อยู่ประจำในดวงอาทิตย์เดิม ก็จะเจริญกสิณทำฌานให้บัง
เกิดขึ้นไปอุบัติในพรหมโลก ดวงอาทิตย์ทั้งสองไม่มีสุริยเทพบุตรดูแลยิ่งมีแสงแผด
เผาแรงกล้า แม่น้ำน้อยใหญ่เหือดแห้งสิ้นไปทุกหนแห่ง ยกเว้นมหานทีทั้ง ๕
ล่วงเวลาต่อมาอีกช้านาน ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๓ จึงบังเกิดขึ้น มหานทีทั้ง ๕ คือ
คงคา ยมุนา อจิรวดี มหิมา สรภู ก็พากันเหือดแห้ง เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔ บังเกิด
สระใหญ่ ๗ สระ (สระอโนดาต กุณาละ รถกาละ มัณฑากินิ สีหปปาตะ กัณณมุณฑะ
และ สระฉัททันตะ) ก็แห้ง น้ำในมหาสมุทรซึ่งลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ค่อยงวดลงเป็นลำดับ
เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๕ เกิด น้ำในทะเลหลวง มหาสมุทรต่างแห้งจนหมดสิ้น
ไม่มีเหลือติดแม้สักองคุลี เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๖ เกิด โลกทั้งหลายก็มีอันกลายเป็นควัน
คลุ้งตลบไปหมดทั่วแสนโกฎิจักรวาล แผ่นดินและภูเขาทั้หลายสิ้นยาง คือความชุ่มเย็น
ที่ทำให้รวมเกาะตัวกันได้ แหลกเป็นควันกลุ้มไปด้วยกัน เป็นควันทั่วไปอยู่ดังนี้นับวัน
เดือนปีมิได้ จนเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ อุบัติขึ้น ในเวลานั้นโลกธาตุที่เป็นควันกลบอยู่
นั้น ก็ลุกเป็นไฟรุ่งโรจน์โชตการขึ้นพร้อมกัน มีเสียงระเบิดดังพิลึกกึกก้องน่าสะพรึง
กลัว ยอดเขาสิเนรุของจักรวาลต่างๆ ก็พินาศหลุดลุ่ยถอดถอนกระจัดกระจายหายไป
ในอากาศ เปลวไฟประลัยโลกเกิดขึ้นจากพื้นมนุษย์ภูมินี้ก่อน แล้วค่อยลามไปชั้น
จาตุมหาราชิกาเทวโลก ทำลายวิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้วพินาศสิ้น และจึงลุก
ลามไปยังดาวดึงสา ยามา ดุสิตา นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นลำดับไปจนถึงรูป
พรหมภูมิขั้นปฐมฌานภูมิ ๓ มี พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหม แล้วจึง
หยุดอยู่เพียงนั้น ไม่ลุกลามต่อไปอีก
........ในบรรดาสังขารโลกทั้งปวงที่ถูกไฟประลัยกัลป์ไหม้แล้วนี้ ไม่มีเหลือแม้แต่
เถ้าถ่านไหม้เป็นจุณวิจุณ เหมือนไฟไหม้น้ำมัน ไม่มีถ่านเถ้า ถ้ายังค้างอยู่แม้เพียง
อณูเดียว ไฟก็ไม่หยุดไหม้ ลุกโพลงอยู่ดังนั้นจนมิมีสิ่งใดเหลือ ว่างเปล่ากลายเป็นอา
กาศไปสิ้นจึงดับลง
ครั้งนั้นอากาศเบื้องต่ำและเบื้องบนก็ต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวโล่งตลอด
ถึงกัน มีแต่ความมืดมนอนธการ เป็นเวลาช้านานคำนวณประมาณเวลามิได้ จนถึงเวลา
ก่อตัวเกิดขึ้นใหม่ของจักรวาล
.......ส่วนโลกที่ถูกทำลายด้วยน้ำ เป็นไปในทำนองเดียวกันกับถูกทำลายด้วยไฟ
เมื่อกัปปวินาสมหาเมฆตั้งขึ้น และมีฝนตกลงมาพอให้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้แล้ว
ต่อจากนั้นฝนก็หยุด ไม่ตกไปนานนับเวลาไม่ได้ ไม่มีพระอาทิตย์ดวงใหม่เกิดขึ้น แต่
กลับมีมหาเมฆน้ำกรด (ขารุทกมหาเมฆ ตกลงมาเป็นฝนแทน ครั้งแรกตกเป็นเม็ดเล็ก
ละเอียดก่อน แล้วจึงตกเป็นเม็ดใหญ่ขึ้นทุกทีๆ เป็นลำดับ เต็มไปทั่วแสนโกฎิจักรวาล
พื้นแผ่นดินและภูเขาทั้งปวงเมื่อต้องน้ำฝนกรดก็ทานทนมิได้ แหลกละลายเป็นจุณวิจุณ
ไปจนสิ้นเหมือนก้อนเกลือถูกทิ้งลงไปในน้ำ เมื่อน้ำกรดละลายสิ่งต่างๆ อยู่นั้น มีลม
ชนิดหนึ่งพัดห่อหุ้มอุ้มเอาน้ำเข้าไว้ มิให้ไหลล้นบ่าออกไปนอกแสนโกฎิจักรวาล น้ำ
ฝนกรดมีจำนวนมากขึ้นทุกทีท่วมกามาวจรเทวโลกทั้ง ๖ ชั้น เลยขึ้นไปท่วมรูปพรหมอีก
๖ ชั้น คือถึงชั้นอาภัสสราภูมิ จนกระทั่งถึงทุติยฌานพรหมภูมิ บรรดาสังขารทั้งหลาย
แหลกละลายไปสิ้น
ถ้ายังมีเหลืออยู่น้ำกรดก็ยังคงมีอยู่ต่อไป เมื่อทุกสิ่งสูญสิ้นหมดแล้ว น้ำกรด
จะยุบแห้งอันตรธานหายไป กลายเป็นที่ว่างให้อากาศเบื้องบนและเบื้องล่างต่อเนื่อง
เป็นผืนเดียวกัน มือมนอนธการ เหมือนเมื่อครั้งถูกไฟประลัยกัลป์เผาเช่นเดียวกัน
.......ครั้นครบ ๖๔ มหากัป ซึ่งโลกจะต้องถูกทำลายด้วยลม มีความเป็นไปตอน
ต้นเช่นเดียวกับเมื่อถูกทำลายด้วยไฟและน้ำ ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ เกิดขึ้น แต่มีลม
ชนิดหนึ่งชื่อ วาโยสังวัฎฎะ เกิดขึ้นแทน ในชั้นแรกลมนี้พัดอ่อนๆ พอพัดธุลีละออง
ละเอียดฟุ้งขึ้นแล้ว ลมก็จะค่อยพัดแรงจัดขึ้นทุกที จนพัดเอาก้อนศิลาใหญ่น้อย ต้นไม้
เล็กใหญ่ ตลอดจนภูเขาต่างๆ ให้สิ่งเหล่านี้ลอยไปในอากาศ กระทบกระทั่งกระแทก
กันจนแหลกละเอียดเป็นจุณสูญหายไป
แล้วจึงมีลมอีกจำพวกหนึ่งเกิดจากใต้พื้นแผ่นดิน มีกำลังกล้าจัด พัดแผ่น
ดินพลิกขึ้นแล้วซัดให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ พื้นดินอันหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ก็แยก
ออกจากกันเป็นท่อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ๑๐๐ โยชน์บ้าง ๔๐๐ โยชน์บ้าง แต่ละก้อนก็
กระทบกันเป็นจุณวิจุณไปอีก
ต่อจากนั้นลมกรดนั้นก็พัดเอาภูเขาสัตตบรรพ์คีรี เขาสิเนรุราช เขาจักรวาล
และอากาศวิมานทั้งปวง ทั้งในกามาวจรเทวโลกในแสนโกฎิจักรวาล ตลอดจนรูปพรหม
ภูมิทั้งชั้นต้นจนถึงรูปาวจร ตติยฌานภูมิ ๓ จึงหยุดลง เมื่อพัดทำลายทุกอย่างแหลก
ละเอียดไม่เหลือแล้วจนกระทั่งน้ำที่รองรับแผ่นดินก็พินาศสาบสูญไปสิ้น ลมกรดนี้ก็
หายไปเอง อากาศเบื้องบนเบื้องล่างก็ตลอดโล่งถึงกัน บังเกิดความมืดมนอนธการอยู่
ทั่วไปตลอดเวลา นับประมาณมิได้ต่อไป