ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

อ้าว!!!นึกว่าอะไร Pure Lands


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 O_HO_O_HO

O_HO_O_HO
  • Members
  • 23 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 August 2007 - 10:06 AM

ก็เช่นเดิมครับ วันนี้ก็มีเรื่องเล่าเก้าสิบอย่างที่ผ่านมา หลังจากที่ไปสะกิดต่อมวิทยาศาตร์ของลูกพระธรรมให้ออกมาแชร์ความเห็นไประยะหนึ่ง คราวนี้หันกลับมาดูเรื่องราววิทยาศาสตร์ทางใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานลูกพี่ลูกน้องของเราบ้างนะครับ


ครั้งหนึ่งเคยไปอ่านงานวิจัยของฝรั่งท่านหนึ่ง ท่านได้อ้างถึงคัมภีร์สมาธิเก่าแก่ของพระจีนรูปหนึ่ง ซึ่งท่านได้กล่าวว่า "เวลานั่งสมาธิ เธอต้องทำพระพุทธรูปใสให้เกิดขึ้น แล้วทำจากหนึ่งให้เป็นร้อย ทำจากร้อยให้เป็นพัน แล้วทำจากพันให้เป็นแสน และเป็นจำนวนที่ Countless หรือ ว่านับไม่ได้นั่นเอง"

ประโยคนี้เองทำให้เกิดความสนใจว่า เออ เราเห็นแต่การฝึกสมาธิแบบเถรวาทเราแล้ว จริงๆแล้วมหายานเค้าฝึกสมาธิกันอย่างไร

พอดีได้มีโอกาสสนทนากับพระหลวงจีนท่านหนึ่งมาจากไต้หวั๋น เป็นพระที่มีความรู้เรียนปริญญาโท Master of Philosophy University of Sydney แล้วได้มีโอกาสถามท่านว่า

หลวงพี่ฝึกสมาธิยังไงครับ ท่านก็ ตอบว่าท่านฝึกแบบอานาปานสติ และท่านก็อธิบายต่อว่า ท่านฝึกแบบที่พระจีนส่วนใหญ่เค้าไม่ฝึกกัน

อ้าว แล้วส่วนใหญ่เค้าฝึกกันอย่างไร ก็ถามท่านไป ท่านก็ตอบว่า ส่วนใหญ่ก็นึกถึงพระนั่นล่ะ เมื่อได้ฟังคำตอบดังกล่าวก็เลยมาถึงบางอ้อ ว่า อ๋อ ท่านก็ใช้ Buddha Visualisation พุทธานุสสติเหมือนกันเนอะ

ต่อมาไม่นานก็ได้ถามปัญหาคาใจท่านอีกรอบหนึ่งว่า หลวงพี่ แล้วPure Land หรือแดนสุขาวดีนี่มัน คืออะไร ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิด ว่า มหายานเค้าเปรียบแดนสุขาวดีเป็นพระนิพพาน ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่หรอก

แดนสุขาวดีนี่คือ สถานที่ที่พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะสร้างบารมีไปเป็นพระพุทธเจ้าท่านอยู่กัน อ้าว ก็เลยถามท่านต่อไปว่า ตกลงมันคือ ดุสิตบุรีหรือเปล่า ท่านก็บอกว่า ดุสิตบุรีนั่นคือ สวรรค์ชั้นที่สี่ แต่แดนสุขาวดี เป็นที่อยู่หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Site เขตแดน บนดุสิตและมากไปกว่านั้นท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า แต่ละSiteขนาดต่างกันนะ บางก็ใหญ่บ้างก็น้อย เพราะมีพระโพธิสัตว์อยู่ในนั้นจำนวนต่างกัน

โอ้ พอท่านอธิบายมาถึงตรงนี้ก็เลย ถึงบางอ้อ ว่า ที่แท้แดนสุขาวดี นี่ก็คือ วงบุญของพระอริยะต่างๆนี่เอง

และเมื่อท่านบอกว่า นี่พระศรีอริยเมตไตยท่านก็มีวงบุญของท่าน พระอมิตาภะ ท่านก็มีวงบุญของท่าน คนที่จะเป็นพระอรหันต์ส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานให้ไปเกิดกับพระศรีอริยเมตเตยแล้วลงมาเกิดพร้อมท่าน แล้วไปนิพพานพร้อมกัน
ส่วนของท่านอมิตาภะท่านนี่แปลก ท่านจะชวนพระโพธิสัตว์ผู้มีบุญทั้งหลายให้สร้างบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า (แนวคิดนี้คุ้นๆน่ะ) ด้วยเหตุนี้เองหลวงจีนส่วนใหญ่จึงอธิษฐานจิตให้ไปเกิดกับพระอมิตาภะ เพราะอยากเป็นพระพุทธเจ้าว่างั้นเถอะ

แต่ปัญหาที่ทำให้คนเข้าใจผิดก็คือ พุทธศานสนามหายานเค้าเรียก นิยตโพธิสัตว์ว่าเป็น พระพุทธเจ้า เพราะท่านได้รับการพยากรณ์แล้วก็เท่านั่นละครับ

ทั้งนี้ในคัมภีร์ของมหายานเองก็อธิบาย แดนสุขาวดี ว่า ในที่นั้นมีพระพุทธเจ้าอยู่มากมายแต่องค์ที่จะลงมาตรัสรู้องค์ต่อไป คือ พระศรีอริยเมตเตย หรือ ในสมัยพุทธกาลเราก็คือ พระอชิตะนั่นล่ะครับ อันนี้ชัดเจนครับ

จริงอยู่ครับว่า แนวคิดเรื่องแดนสุขาวดีนี่อาจจะเกิดขึ้นมาหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มีมูลความจริงไม่น้อยทีเดียว แม่นบ่อ

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ วงบุญของพระโพธิสัตว์ที่ท่านกล่าวถึง นั้นสังกัดกระทรวงไหนน้อ จะเป็นพระทรวงศึกษาธิการ รึเปล่า หรือ ว่าท่านจะรู้ไหมน้อ ว่า มีกระทรงกลาโหมอยู่เคียงข้าง ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน happy.gif nerd_smile.gif
ไม่รู้ว่าไปชวนมาจะมาไหมน้อ ก็ต้องรอดูกันไป ระยะทางยังอีกยาวไกล แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าใจจะไปถึง

ข้อคิดอย่างหนึ่งที่เป็นจุดที่น่าสังเกตุว่า การศึกษาพุทธศาสนาปัจจุบันนี่ ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจกัน เพราะไม่ได้มองไปถึงตัวคำสอนของกันและกัน ปิดใจก่อนจะคุยกัน ก็เลยไม่เข้าใจกัน พอเชื่อต่างกันก็เลยทำไม่เหมือนกัน พอทำไม่เหมือนกัน ก็เลยทำให้แตกต่างกัน พอแตกต่างก็แยกแยก เหมือนอย่างที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านให้โอวาทไว้จริงๆ

ทั้งนี้ หากจะทำดำริ พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียว ให้เป็นจริง เปิดใจคุยกันจริงๆละน่ะครับ แล้วก็มองหาจุดร่วมประสานกันให้เป็นหนึ่ง

แต่เมื่อไหร่ที่ศึกษาเพื่อมองความแตกต่าง หรือ เปรียบเทียบ ก็จะเจอความแตกต่างและเชื่อมโยงไปถึงความแตกแยกนั่นเอง แต่หากคิดว่า เรากับเค้าก็มาจากพ่อเดียวกันคือพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องแตกแยก

ปัจจุบันพวกที่ไม่รู้ก็ดึงชื่อเหล่าพระโพธิสัตว์ต่างๆมาเป็นของเล่น เล่นเป็นเจ้าพ่อนั่น เจ้าแม่นี่ มั่วไปหมด ก็เลยทำให้คนเกิดความสับสน เช่นเคยครับก็ไม่ใช่หน้าที่ของใครอื่นที่จะต้องไปสร้างความเข้าใจ ก็คงจะเป็นเราท่านนักสร้างบารมีนี่ล่ะนะครับ ที่ต้องออกแรงกันอีกที

แต่ไงก็อาจจะสรุปได้ ว่า ศาสตร์แห่งใจของพี่น้องเราก็ไม่ธรรมดาทีเดียว

สู้ต่อไป

(แหม๋จริงๆอยากอธิบายไปถึงโน้นครับ ต้นกำเนิดของท่านกวนอิม กับ แนวคิดฝ่ายธิเบต แต่วันนี้กลัวจะยาวเหยียดไปคงพักไว้แค่นีก่อน แล้วใครมีข้อมูลอะไรดีๆก็เอามาลงขันกันนะครับ)




#2 MIHARU

MIHARU
  • Members
  • 620 โพสต์
  • Interests:พระพุทธศาสนา<br />วิทยาศาสตร์

โพสต์เมื่อ 24 August 2007 - 03:50 PM

ขอบคุณค่ะ
อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ
Relax & Alert

#3 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 August 2007 - 06:21 PM

ดีครับ นำความรู้มาแบ่งปันกัน..สาธุ

#4 Doctor 072

Doctor 072
  • Members
  • 96 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 August 2007 - 02:46 AM

unsure.gif happy.gif happy.gif happy.gif happy.gif happy.gif wink.gif wink.gif wink.gif wink.gif wink.gif


#5 OOI

OOI
  • Members
  • 62 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 August 2007 - 07:30 AM

สาธุค่ะ

#6 Poti

Poti
  • Members
  • 254 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 August 2007 - 11:06 AM

อนุโมทนาบุญด้วยครับ ท่าน OHOOHO

เล่าเรื่องท่านกวนอิมอีกหน่อยครับ แถมด้วยกระทรวงกลาโหมของเราอีกหน่อยครับ ชอบฟัง


#7 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 September 2007 - 08:33 AM

สาธุ มีทั้งภาคโปรดและภาคปราบ

#8 kiangjung

kiangjung
  • Members
  • 119 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 October 2007 - 01:44 PM

สาธุค่ะ

#9 กาแฟเย็น

กาแฟเย็น
  • Members
  • 121 โพสต์
  • Location:milan
  • Interests:วาดการ์ตูน เล่นคอมกับโปรแกรมแต่งรูปต่างๆ ชอบถ่ายรูปอยู่เหมือนกัน

โพสต์เมื่อ 10 November 2007 - 01:02 AM

ยอดเลยค่ะ เปิดหูเปิดตาจริงๆ ไว้โอกาสหน้าก็เชิญมาแชร์ความรู้ให้กันอีกนะคะ