ผลบุญในปัจจุบัน
#1
โพสต์เมื่อ 19 March 2006 - 02:38 PM
เช่น มหาเศรษฐี สมัยพุทธกาลมีสมบัติเกิดจากการทำทานในพุทธศาสนามาก่อนในอดีตชาติ
ไม่รู้ว่าใครเคยคิดแบบนี้บ้าง
บางทีทำให้ท้อใจครับ
ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่าง แล้วมันขึ้นอยู่กับบุญที่เรามี
สงสัยว่าถ้าเราตั้งใจพยายามทำงานแล้วจะสามารถได้ทรัพย์สมบัติเกินบุญที่มีหรือไม่ ?
ถ้าหากว่าเราพบอุปสรรค เช่นเกิดคู่แข่งการค้าที่มีบุญมากกว่าจะแก้ไขอย่างไร ?
และทำบุญอะไรครับที่ผลบุญตอบแทนเร็วที่สุด ?
#2
โพสต์เมื่อ 19 March 2006 - 05:21 PM
1) สงสัยว่าถ้าเราตั้งใจพยายามทำงานแล้วจะสามารถได้ทรัพย์สมบัติเกินบุญที่มีหรือไม่ ?
- ไม่ได้ครับ เพราะบุญเป็นเบื้องหลัง เป็นตัวกำหนดทั้งหมดของชีวิต แต่ก็มีส่วนที่สามารถมาช่วยเหลือได้บ้างคือ เหตุปัจจุบัน ซึ่งก็คือ บุญปัจจุบันและความเพียร อย่างที่คุณครูไม่ใหญ่เคยบอกว่า บุญมากอุปสรรคน้อย บุญน้อยอุปสรรคมาก
2) ถ้าหากว่าเราพบอุปสรรค เช่นเกิดคู่แข่งการค้าที่มีบุญมากกว่าจะแก้ไขอย่างไร ?
- ก็ต้องทำบุญบ่อยๆ แล้วอธิษฐานบ่อยๆ และก็ต้องอาศัยความเพียร ความรอบคอบระมัดระวังในการทำงานครับ
3) และทำบุญอะไรครับที่ผลบุญตอบแทนเร็วที่สุด ?
- ทำบุญในเนื้อนาบุญอันอุดมครับ ซึ่งหลักในการทำบุญมี ผู้รับบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ วัตถุบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ แต่ถ้าจะเอาให้ได้ผลทันตาก็ต้องทุ่มทำบุญแบบสุดๆ ทุ่มหมดใจ ถ้าจะดูตัวอย่างก็เช่น บุคคลที่หลวงพ่อเคยกล่าวถึงคือ เจ้าหญิงถั่วงอก เจ้าชายปลาทู เจ้าชายโลตัสน่ะครับ อย่างเจ้าชายโลตัส เค้ามีอาชีพเก็บขวดน้ำตามกองขยะ แต่ก็ทุ่มหมดใจรับกองกฐินมา 1 กอง แล้วก็หาเงินมาจนทำได้สำเร็จ ลองคิดดูเอาแล้วกันครับว่า เค้าต้องใช้ความพยายามเท่าไหร่ เก็บขวดกี่ใบกว่าจะได้เงินมาทำบุญกฐินจนครบ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 19 March 2006 - 05:23 PM
ไม่มีวันค่ะ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยบุญเท่านั้น
แต่ถ้ามีบุญมาก ก็ได้ค่ะ ตั้งใจทำงานไปเถอะค่ะ เพราะเราไม่รู้เสียหน่อยว่าบุญเรามีแค่ไหน
ถ้ากลัวบุญไม่พอก็ทำบุญเยอะๆแล้วอธิษฐานสิคะ
ถ้าเขามีบุญมากกว่าเรา เขาก็ได้กำไรมากกว่า แต่เราก็ได้ด้วยตามกำลังบุญของเรา ใช่ว่าจะไม่ได้
แก้ได้ด้วยการทำบุญแซงหน้าเขาไงคะ
ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ
ทรัพย์บริสุทธิ์ มาจากหยาดเหงื่อของเราเอง
ปลื้มทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำ ไม่เสียดายทรัพย์
ทำบุญด้วยความเคารพ
ทำบุญด้วยมือองตัวเอง
เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ (ยิ่ฝศีลมาก บุญก็ได้ช่องมาก)
เจริญภาวนาเพื่อให้บุญได้ช่อง ควรนั่งหลังทำบุญทันที ถ้านั่งก่อนด้วยก็ดี ตอนทำก็ต้องเป็นสมาธิไปด้วย จะทำให้ท่อบุญเราใหญ่ บุญได้มาก
ในชาตินี้ ผลบุญที่จะเกิดทั้งหมด จะเผยให้เราได้ใช้เพียงแค่ 20 เปอร์เซนต์เท่านั้น พอชาติหน้าละก็ ใช้เป็นว่าเล่นเลย สั่งสมบุญไปเรื่อยๆ ทั้งทาน ศีล ภาวนาค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#4
โพสต์เมื่อ 19 March 2006 - 07:08 PM
แต่เราขอให้บุญส่งผลในวันข้างหน้าจะมีโอกาศไหมคะ
ว่าบุญนั่งจะส่งผลกับเราจริงๆ หากกรรมได้ช่องเราควรแก้ยังไงคะ
สงสัยจริงๆ
#5
โพสต์เมื่อ 19 March 2006 - 07:43 PM
แต่เราขอให้บุญส่งผลในวันข้างหน้าจะมีโอกาสไหมคะ ว่าบุญนั่งจะส่งผลกับเราจริงๆ
มีโอกาสส่งผลอย่างแน่นอนครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเหตุที่เราได้ประกอบไว้ในปัจจุบันด้วยว่าเป็นเช่นไร? ซึ่งกรณีนี้เราต้องย้อนกลับมาถามตัวเราเองว่า เวลาที่เราทำบุญ เราได้ประกอบเหตุไว้ในเนื้อนาบุญหรือเปล่า? เราทำบุญแบบทันที (ตุริตะ ตุริตัง สีฆะ สีฆัง) หรือว่า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ดังนี้เป็นต้น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลาในการส่งผล กล่าวคือ เวลาใดที่บาปยังให้ผลอยู่ เมื่อนั้น บุญก็ยังคงไม่ให้ผลอยู่นั่นเอง เปรียบได้กับตอไม้เพียงตอเดียว ซึ่งมีบุรุษผู้มีความประสงค์จะนั่งถึงสอง (แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่งได้เพียงแค่คนเดียว) ผมเองไม่อยากให้คุณคิดเช่นนี้นะครับว่า เอ! เราทำบุญไปแล้ว บุญจะส่งผลไหมหนอ? เพราะหากจะเปรียบไปแล้ว บุญก็เปรียบได้กับผลไม้พันธุ์ดีซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาในการสุกงอมน่ะครับ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ จะทำให้ใจเราไปหน่วงเหนี่ยวกับเรื่องผลมากจนเกินไปนะครับ
ก็อย่าพึ่งคิดนำไปก่อนสิครับคนดี เพราะเหตุการณ์จริงยังไม่ทันเกิดขึ้นเลยนี่นา เอาเป็นว่าผมขอเสนอวิธีการแก้กรรมอย่างง่ายๆ ตามแบบฉบับของผมดังนี้นะครับ
๑. อย่าทำกรรมเพิ่ม (ในที่นี้หมายถึง อกุศลกรรม)
๒. รักษาเส้นทางของการสั่งสมบุญกุศลไม่ให้เกิดช่องว่าง เพราะหากบุญในตัวเราอ่อนกำลังลงเมื่อใด บาปที่พลาดพลั้งกระทำไว้ ย่อมจักได้ช่องสำแดงเดชเป็นแน่
๓. รักษาใจให้ใสๆ ไม่เศร้าหมอง ด้วยการเติมบุญให้กับตัวของเราเอง ทั้งทาน ศีล และภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญภาวนาต้องปฏิบัติให้มากนะครับ เพราะเป็นยอดของบุญ และเป็นบุญที่ทำให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
๔. อธิษฐานกำกับบุญกุศลที่ได้ทำไปทุกครั้งดังนี้ว่า "ขออาราธนาบารมีกุศลที่ข้าพระพุทธเจ้าได้กระทำบำเพ็ญไว้ดีแล้ว จงมาช่วยตัดรอนวิบากกรรมของข้าพระพุทธเจ้า จากหนักให้เป็นเบา จากเบาขอให้มลายหายสูญ ขอผลแห่งบุญศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงจงเกื้อกูล ให้ชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าบริบูรณ์ตลอดไปฯลฯ"
#6 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 20 March 2006 - 01:53 AM
#7
โพสต์เมื่อ 20 March 2006 - 07:27 AM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#8
โพสต์เมื่อ 20 March 2006 - 11:19 AM
#9
โพสต์เมื่อ 20 March 2006 - 05:19 PM
เรื่องที่ 1
เป็นเรื่องราวของบัณฑิตในกาลก่อนผู้ไม่ยอมแพ้ในโชคชะตา(หรือผลบุญของคนอื่น) เรื่องมีอยู่ว่ามีพระราชา 2 เมือง เมืองที่ 1 เป็นเมืองใหญ่ (มีกำลังบุญมาก) เที่ยวอาละวาด ยึดครองเมืองอื่นไปทั่ว วันหนึ่งก็ได้กรีฑาทัพมาถึงเมืองที่ 2 ขณะที่กำลังจะประจัญหน้ากันนั้นเอง กษัตริย์เมืองใหญ่ จึงได้ส่งคนไปถามพระฤษีผู้หนึ่งซึ่งมีฤทธิ์มาก สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ กษัตริย์ถามว่า ศึกครั้งนี้ใครจะชนะ พระฤษีตรวจดูแล้วเห็นว่ากำลังบุญของกษัตริย์เมืองใหญ่มีมากกว่า จึงบอกว่า วางใจได้พระองค์ชนะแน่นอน กษัตริย์เมืองใหญ่ ก็เลยประมาท
ส่วนเมืองที่ 2 กษัตริย์ก็มาถามพระฤษีเช่นเดียวกัน พระฤษีก็บอกว่า ตรวจดูกำลังบุญบารมีแล้วท่านแพ้แน่นอน กษัตริย์เมืองเล็กก็หมดกำลังใจ ไปหาเสนาบดี เสนาบดีบอกว่า ใจเย็นไว้ก่อน รอเขาไปถามพระฤษีก่อน และแล้วเสนาบดีก็ไปถามพระฤษี พระฤษีก็ตอบแบบเดิม แต่เสนาบดีไม่หมดกำลังใจ จึงถามต่อไปว่า สัญลักษณ์แห่งชัยชนะคืออะไร พระฤษีบอกว่า คือ นิมิตวัว เสนาบดีบอกว่า ขอบคุณมาก ว่าแล้วก็จากไป
ถึงเวลาเสนาบดีเมืองเล็กไปบอกกษัตริย์ว่า เรามีทางชนะแต่ขอให้ทุกคนทำตามที่ข้าพเจ้าบอก ว่าแล้วกษัตริย์และทุกคนก็ล้วนเชื่อฟังเสนาบดีทุกอย่าง เตรียมการรบอย่างดี พอวันรบมาถึง กษัตริย์ทั้งสองยกทัพมาประจัญหน้ากัน เสนาบดีบอกพระราชาว่า พระฤษีบอกว่า สัญลักษณ์แห่งชัยชนะคือ วัว (นิมิต) ให้พระราชามองหา วัวนิมิต ของฝ่ายตน และฝ่ายตรงข้าม (พระราชาเท่านั้นที่เห็น) แล้วช่วยนิมิตวัวของเรารบ โดยใช้ดาบแทงไปที่นิมิตวัวของฝ่ายตรงข้าม
กษัตริย์เมืองเล็กมองตามไป เห็นนิมิตวัวของพระองค์ซึ่งตัวเล็กกว่ากำลังจะเข้าประจัญกับวัวฝ่ายตรงข้าม พระองค์จึงแทงหอกไปที่นิมิตวัวฝ่ายตรงข้ามทันที ฝ่ายทหารเห็นกษัตริย์แทงหอกไปในความว่างเปล่า ก็ไม่สนใจ แทงหอกทกหอกตามไปทันที ส่วนทหารฝ่ายตรงข้ามก็ยืนหัวเราะอยู่ ที่เห็นพวกนั้นแทงหอกใส่ความว่างเปล่า
กษัตริย์เมืองเล็กแทงหอกช่วยนิมิตวัวของพระองค์ไปมา ทหารก็ช่วยกษัตริย์แทงตาม จนในที่สุดก็ฆ่านิมิตวัวฝ่ายตรงข้ามได้ พอฆ่าได้ กษัตริย์เมืองเล็กมีกำลังใจ สั่งให้บุก เหล่าทหารมีกำลังใจตาม รบจนศัตรูแตกพ่ายไปสิ้น
กษัตริย์เมืองใหญ่โมโหมาก ไปหาพระฤษี ต่อว่าท่านว่า ไหนท่านบอกว่า เราจะชนะทำไมแพ้ได้ พระฤษีบอกว่า นิมิตบอกไว้อย่างนั้นจริงๆ แต่วาสนาหรือจะสู้ความเพียรพยายาม ผู้มีความเพียรพยายามจริงๆ ย่อมเอาชนะอุปสรรคได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
เรื่องที่ 2
พระโพธิสัตว์ ตอนเริ่มต้นสร้างบารมี มีกำลังบุญนิดเดียว แต่เพียรพยายามนับชาติไม่ถ้วน ชาติสุดท้ายได้เป็นพระพุทธเจ้าสมใจปรารถนา
เกิดเป็นคน ควรพยายามเรื่อยๆ ไป เพราะความพยายาม คือ ความงามของจักรวาล
#10
โพสต์เมื่อ 20 March 2006 - 08:11 PM
#11
โพสต์เมื่อ 20 March 2006 - 09:06 PM
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ คนมีบุญมากก็อาจจะเหนื่อยน้อยหน่อย แต่คนมีบุญน้อยก็อาจจะเหนื่อยมากหน่อยครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#12
โพสต์เมื่อ 20 March 2006 - 10:21 PM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#13
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 12:52 PM
ตอบคำถามข้อสองได้ เมื่อเห็นคุ่แข่งที่มีบุญบารมีมากกว่าต้องไม่ท้อใจ ( คิดว่าทุกคนคงมีคู่
ต่อสู้ทางใดทางหนึ่งบ้าง ) เหมือนกับเพลงของนักร้องดังคือ "ไม่แข่งยิ่งแพ้" เพราะไม่มีอะไร
ช่วยเราได้นอกจากผลบุญในปัจจุบันและความพยายาม
การทำบุญเพิ่มให้ได้ผลเร็วที่สุดเป็นตัวเสริม
ขอบคุณทุก ๆ คำตอบครับ ช่วยบอกแนวทางและเสริมกำลังใจขึ้นดีมาก
#14 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 02:32 PM
สรรพสัตว์ที่เกิดในยุคนี้ ยังมีสิทธิได้สมบัติทั้ง 6ประการ
1.กาลสมบัติ คือ เกิดในยุคที่ยังมีพระสัจธรรม แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้วก็ตาม
2.คติสมบัติ คือ เกิดมาได้ขันธุ์5 เป็นมนุษย์ เพศบริสุทธิ์ ยิ่งเป็นชายแท้ ก็ได้โอกาสออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาอันเป็นเนื้อนาบุญของโลก
3.ทวีปสมบัติ คือ เกิดในประเทศที่มีพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง(ปัจจุบันต้องเพิ่มเติมว่าหรือ DMC ไปถึง)
4.ครอบครัวสมบัติ คือ เกิดในครอบครัวที่มีสัมมาทิฐิ แม้ต่างความเชื่อขอเพียงใจเปิดกว้างในการรับฟัง-ศึกษาธรรม
5.ร่างกายสมบัติ คือ เกิดมาครบ 32 ไม่พิการ
6.จิตใจสมบัติ คือ เกิดมามีความเห็นชอบ อันเป็นต้นทางของอริยมรรค
ถ้า จขกท. ได้สมบัติทั้ง 6ประการนี้ ขอจงอย่าได้ท้อ
เพราะท้อเมื่อไหร่ ถอยเมื่อนั้น ไม่ควรนำตนเองมาเปรียบกับผู้อื่น
ในทางกลับกันควรสร้างกำลังใจให้กับตนเอง คบกัลยาณมิตรไว้ สมกับความหมายของนามว่า"ทศพล"
#15
โพสต์เมื่อ 23 March 2006 - 06:00 AM