ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เพชรพญานาค


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 แครอทจัง

แครอทจัง
  • Members
  • 27 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 October 2008 - 02:14 PM

คือว่าเห็นรูปเพชรพญานาคบนเวบอื่นค่ะ
มันสวยมากเลย
อยากรู้ว่ามีจริงไหมค่ะแล้วมันเกิดจากอะไร

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  DSCF0685.JPG   20.72K   21 ดาวน์โหลด


#2 ลีดเดอร์

ลีดเดอร์
  • Members
  • 416 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 October 2008 - 03:20 PM

ไม่ทราบอ่ะแต่สวยดี สวยพอดี

#3 เด็กน้อยมาวัด

เด็กน้อยมาวัด
  • Members
  • 204 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 October 2008 - 03:22 PM

สวยจัง เหอๆ
หยุดเป็นตัวสำเร็จ


#4 Ray

Ray
  • Members
  • 168 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 October 2008 - 04:04 PM

เหมือนลูกกวาดเลยเนอะ สวยจัง

#5 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 03 October 2008 - 08:35 AM

ที่มาของข้อมูลค่ะ http://www.oknation....t.php?id=162588


คำนำ

การที่ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่อง”เพชรนาคา”ธาตุกายสิทธิ์นั้น มิได้มุ่งหวังให้ท่านผู้อ่านงมงายขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้ดุลยพินิจวิเคราะห์กันเอาเองว่าจริงหรือเท็จ โดยใช้หลัก”กาลามสูตร”ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาการเชื่อด้วยปัญญาการใคร่ครวญอย่างมีเหตุและผลรองรับซึ่งกันและกันมีอยู่ด้วยกัน 10 ข้อ
1.อย่าเชื่อด้วยได้ฟังตามกันมา
2.อย่าเชื่อโดยลำดับสืบๆกันมา
3.อย่าเชื่อโดยความตื่น ว่าได้ยินว่าอย่างนี้
4.อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา
5.อย่าเชื่อโดยนึกคาดเดาเอา
6.อย่าเชื่อโดยนัยการคาดคะเนเอา
7.อย่าเชื่อโดยตรึกตรองตามอาการ
8.อย่าเชื่อโดยชอบใจว่าต้องกับลัทธิของตน
9.อย่าเชื่อโดยผู้พูดสมควรจะเชื่อถือได้
10.อย่าเชื่อโดยนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ เป็นญาติของเรา


เพราะผู้เขียนพึงเขียนนำเสนอมาจากประสบการณ์ทางจิต,การศึกษาการเรียนรู้และคำบอกเล่าจากครูบาอาจารย์ผู้รู้หลายท่านของผู้เขียนมาเล่าสู่กันฟัง โดยที่ผู้เขียนมิได้มุ่งหวังให้เป็นบรรทัดฐานใดๆที่จะบ่งบอกให้ทุกท่านใช้เป็นกฏเกณฑ์ตัดสินใจในเรื่องนี้

ต่างคนก็ต่างประสบการณ์ ขอให้ผู้อ่านจงดูเนื้อที่แท้จริงในสิ่งนั้นๆไม่มีหลักการใดๆมาพิสูจน์ในเรื่องเช่นนี้ได้จริง
นอกจากบุคคลผู้นั้นได้ศึกษาเรียนรู้ถึงที่สุดแล้ว เพียงแค่” นรก สวรรค์ ” สาวกองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ก็ยังมีความคิดที่แตกแยกกันไป ไม่ต้องไปกล่าวถึง” อัตตา หรือ อนัตตา ใน นิพพาน “เพราะพูดกันไปในแต่ละคนก็ยังไปไม่ถึงเพราะถ้าถึงพูดออกไปใครจะเชื่อ การอธิบายคำบรรยายความหมายก็เกิดขึ้นมาจาก”สมมุติบัญญัติ”ว่าสิ่งนี้คือสิ่งนี้ รูปร่างหน้าตานี้คือคน หรือ รูปร่างหน้านี้คือลิง เป็นต้น จะเอาเหตุผลกลใดมาเป็นมาตราฐานได้จริง เพียงแต่สิ่งนี้เป็นการยอมรับของมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่เป็นสัตวโลกเท่านั้น

ตอนนี้ผู้เขียนมีความเสียดายเพียงอย่างเดียว นอกเหนือจากการที่ได้สัมผัสและเห็นของจริงไม่ว่าจะเป็น”เพชรนาคา”ในรูปร่างลักษณะต่างๆและแบบที่เป็นหินห่อหุ้มเพชรนาคาไว้ภายใน นั้นก็คือไม่สามารถที่จะเดินทางไปสัมผัสและถ่ายรูปในสถานที่เก็บรักษาเพชรนาคาในถ้ำลึกในสถานที่ต่างๆที่มีการพบ” เพชรนาคา”ได้
แต่บางครั้งถึงจะยืนยันในเรื่องสถานที่รูปถ่ายก็ตาม ถ้าจะมีคนที่ชั่งสงสัยตั้งข้อสงเกตุสังกามาหักล้างหรือไปพบแต่ของปลอมที่เลียนแบบขึ้นมาและค้นหาวิธีการแยกธาตุพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ก็เพียงจะรู้ได้แค่มีส่วนผสมเป็นแร่อะไร,โลหะชนิดไหนเพียงเท่านั้น นอกเหนือธรรมชาติจากนั้นไม่สามารถที่จะพิสูจน์หาเหตุผลมาได้

อจินไตยเกินความรู้.


เพชรนาคาหรือเพชร 7 สีมณี 7 แสง เป็นของศักดิ์สิทธิ์มีอาถรรพ์พลังลึกลับอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เกิดขึ้นมา
ด้วยบุญญาธิการแห่งการบำเพ็ญเพียรพระโพธิญาณขององค์มหาพระโพธิสัตว์ที่ตั้งจิตอธิษฐานปราถนาที่จะได้ลงมาตรัสรู้เป็น”องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า”นับว่าเป็นความยากลำบากมาก เพราะจะต้องประกอบไปด้วยการบำเพ็ญเพียรการสร้างสมบารมีให้ครบ 30 ทัศ และต้องลงมาสร้างบารมีขั้นปรมัตถบารมีอีก 10 ชาติถึงจะสมบูรณ์ทุกประการ การสร้างบารมีบำเพ็ญเพียรนั้นจะแบ่งออกมาได้อีก 3 ประเภทคือ1.พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญสร้างบารมีถึง 4 อสงไขยกำไรแสนกัป , 2.พระพุทธเจ้าสัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึง 8 อสงไขยกำไรแสนกัป ,3.พระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึง 16 อสงไขยกำไรแสนกัป แค่เพียงแสนกัปนั้นก็มิอาจคาดคะเนคำนวณได้ถ้าจะนับก็เป็นล้านล้านล้านปี…….


เป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะคาดคิดคะเนได้ ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์บรมครูได้ทรงตรัสกล่าวเอาไว้มิให้ครุ่นคิดตรึกตรองคาดคะเนเพราะเป็นเรื่อง”อจินไตย”นั้นก็คือพุทธวิสัย,การกำเนิดของโลก,ณาน,กรรมเป็นต้น เพราะเกินกำลังความรู้ความคิดคาดคะเนของมนุษย์ปถุชนคนธรรมดาที่สามารถจะกระทำได้ จะทำให้เกิดเป็นบ้าใบ้เสียสติฟุ้งซ่านเป็นความรู้ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันเป็นการสร้างโลกขึ้นมา โลกแห่งความวุ่นวายในการเวียนว่ายในวัฏสงสารและไม่สามารถหาเหตุผลของทางโลกได้เลย


สิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน จงระมัดระวังการเกิดเหตุของ”วิบัติ”ซึ่งจะแบ่งออกได้หลายข้อ แต่จะกล่าวถึงความ
”วิบัติแห่งทิฐิ”นี้ได้แก่ความวิบัติเพราะทิฐิแห่งตน ที่เกิดมีความคิดผิดเห็นผิดของตนอันไม่ถูกต้อง เพราะไปคบค้าสมาคมกับชนมิจฉาทิฐิเข้า หรือจะเป็นเหตุแห่งการไปพบสัมผัสกับอีกภพภูมิหนึ่งๆหรือว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่นก็ตาม แล้วทำให้เกิดความคิดความเห็นที่วิปริตนอกลู่นอกทางจน”สติปัญญา”ของตนเองตามไม่ทันและไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะของธรรมชาติของ”เหตุและผล,เกิดและดับ”ทำให้เกิดมีความคิดความเห็นว่า” องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี!เป็นเรี่องที่แต่งขึ้นมา , หลัง2,500 ปีหมดยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน , ยุคนี้เป็นยุคพระศรีอาริยเมตไตรย , พระพุทธเจ้าแบ่งภาคจากพระนารายณ์ , พระอรหันต์ไม่มีในโลกนี้ , มรรคผล นิพาน นรก สวรรค์ บุญบาปไม่มี , สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพพรหมเทวดาไม่มีจริง , คำสอนในศาสนาไม่มีคุณค่าไม่สามารถที่จะทำให้โลกมีสันติได้ , ตายแล้วสูญ !” ไปกันใหญ่แล้ว เพียงแค่ตนเองเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร ทำไมจะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย หาคำตอบให้ตนเองได้ไหม! จนทำให้เกิดมีความคิดเห็นที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง เลยทำให้ไม่มีความศรัทธาจิตที่จะเลื่อมใส ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฏีกาธรรมะอันหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงที่หาได้ยากในโลกนี้ หรือไม่ก็นำไปปฏิบัติได้ให้เกิดผลเพียงนิดหน่อย ก็คิดเข้าข้างตนเองหลงตนเองไปเปลี่ยนแปลงธรรมะคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าไปเสียนี้ นี้แหละที่เรียกว่า”วิบัติทิฐิ”ที่ต้องประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิตของตนทั้งที่ได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา


ถึงแม้สมเด็จบรมศาสดาจารย์จะเสด็จปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังปรากฏอยู่ และถ้าประพฤติปฏิบัติตาม”มรรคแปดประการ”โลกย่อมไม่ว่างเว้น”พระอรหันต์”หรือเป็นแนวทางที่พาให้ตนเองก้าวพ้นสู่อบายภูมิโดยมี”นรก,ภูมิสัตว์เดรัจฉาน”เป็นที่ตั้ง ย่อมถือได้ว่าพ้นแล้วแห่งความวิบัติความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแล้วในชาตินี้ ย่อมไม่เสียชาติที่เกิดมาทนทุกข์ทรมาน


ตำนานการก่อกำเนิดเพชรนาคา.

นับย้อนหลังนานแสนนานไปในสมัยพุทธกาลแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโป ซึ่งได้ลงมาตรัสรู้พระโพธิญาณเพื่อรื้อขนสัตว์ข้ามห้วงวัฏฏะสงสารในมหาภัทรกัปนี้(ที่มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่.4) ทำให้เกิดความสั่นสะเทือนกึกก้องไปทั่วหมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาลด้วยพระบารมีแห่งพระโพธิญาณองค์มหาพระโพธิสัตว์ เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์บังเกิด”ฝนโบกพัท”ตกลงมา ใครใคร่ให้เปียกก็เปียกใครใคร่ไม่เปียกก็ไม่เปียกด้วยพระบุญญาธิการแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโป เมื่อได้ตกลงมาสู่พื้นพสุธาบางส่วนได้ประมวลตัวรวมธาตุดึงดูดธาตุทั้งสี่คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จนบังเกิดก่อกำเนิดเป็น”เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง”ธาตุกายสิทธิ์ขึ้นมา มีรัศมีสว่างไสวเปล่งประกายรัศมีถึง 7สี ส่องแสงสว่างไปทั้งกลางวันและกลางคืนนับเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน รัศมีแห่งเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนี้ส่องสว่างครอบคลุมจนไปถึงนครใต้บาดาลดลบันดาลทำให้เกิดแสงสว่างเป็นรัศมี 7 ประการกลบรัศมีแสงสว่างอัญมณีพลอยอันมีค่าต่างๆที่อยู่ในนครบาดาลทั้งหมด จนเกิดความแตกตื่นโกลาหลไปทั่วทั้งนครบาดาล จนเหล่านาคีนาคาผู้ที่มีฤิทธิ์ต่างหาสาเหตุต่างๆนาๆถึงเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้จนทำให้กษัตริย์ผู้ครองเมืองนครบาดาลทั้ง 7 เมืองนามว่า”พญานาคราชสุนันโท”กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ผู้ครองเมืองนครบาดาล ที่มีเหล่าบริวารนาคีนาคาผู้มีฤทธิ์อำนาจกำลังแห่งตนมากมายนับไม่ถ้วน ได้ใช้กำลังบุญฤทธิ์ของตนอธิษฐานขอให้รู้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์อัศจรรย์ใจในครั้งนี้ ด้วยเหตุของกำลังบุญฤทธิ์ที่ได้สร้างสะสมมานานในสมัยอดีตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาและได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุสาวกแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตกาล ซึ่งได้ตั้งจิตอธิษฐาน”จะขอทะนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา”ก่อนที่จะละสังขารตายลง(ขอเว้นในเหตุของกฏแห่งกรรมที่ทำให้กำเนิดเป็นพญานาคผู้มีฤทธิ์) ด้วยเหตุนี้เองทำให้ล่วงรู้ถึงการก่อกำเนิดแห่ง”เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง”ด้วยอำนาจผลบุญบารมีแห่ง”พระโพธิ ญาณขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า”และรู้ถึงหน้าที่ของตนเองที่ได้อธิษฐานเอาไว้ พญานาคราชสุนันทโทผู้เป็นใหญ่ได้แสดงฤิทธิ์อำนาจแทรกแผ่นดินขึ้นมาพร้อมกับเหล่าบริวารทั้งหลาย ขึ้นมาสู่พื้นปัฐพีมาดูต้นเหตุอัศจรรย์อันที่ทำให้เกิดความอัศจรรย์ไปทั่วพื้นพิภพใต้บาดาล ท่านพญานาคราชสุนันโทได้มีคำสั่งให้เหล่าบริวารทั้งหลายต่างแสดงฤิทธิ์อานุภาพอัญเชิญไปเก็บรักษาเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสืบต่อไปเหล่านาคีนาคาบริวารทั้งหลายต่างก็อัญเชิญไปเก็บตามถ้ำตามภูเขาหมวดหมู่ที่พวกตนได้สิ่งสถิตย์พักอาศัยอยู่ ส่วนหนึ่งก็ได้นำดินสีต่างๆมาพอกหุ้มเพชรนาคาหรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงเอาไว้ เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาหรือน้ำมือจากพวกมนุษย์ใจคิดคดไม่อยู่ในศีลในธรรมหรือจากเหล่าเทพพรหมที่เป็นมิจฉาทิฐิ ให้เห็นเป็นเพียงก้อนดินก้อนหินธรรมดา อีกกลุ่มหนึ่งได้นำไปไว้ในถ้ำที่ลึกลับที่ยากจะเข้าไปได้นำไปประดิษฐสถานเอาไปไว้ในแอ่งน้ำต่างๆภายในแต่ละถ้ำที่เห็นสมควรพร้อมกับทั้งอธิษฐานบดบังรัศมีแห่งแก้วนี้เสีย จนรอเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสืบต่อไป


.หลวงปู่เทพโลกอุดร เกี่ยวข้องกับเพชรนาคา!.


ตามความเป็นจริงแล้วผมไม่ต้องการที่จะกล่าวถึงหลวงปู่เทพโลกอุดรหรอกนะครับ แต่มีเหตุที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง”เพชรนาคา”ที่ผมได้รับและสัมผัสเป็นครั้งแรก ถ้าไม่กล่าวถึงเลยมันก็จะข้ามขั้นตอนไปเสียในความเป็นจริงที่เกิดกับตัวผมเองและที่สำคัญผมเคารพสักการะบูชาหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์ในวันหนึ่งผมเดินทางไปพบพี่จิม(นามสมมุติ)ที่บ้าน เพราะว่าพี่จิมได้บูชาเพชรนาคามาจากบุคลท่านหนึ่งก่อนหน้านี้หลายปีผมได้อ่านข่าวที่ลงทางหน้าสื่อพิมพ์เกี่ยวกับเพชรพญานาคว่าเป็นการหลอกลวงเรียกเงินกันเป็นแสนๆว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นของอาถรรพ์ จึงทำให้ผมไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าใดนักนี้นับเป็นครั้งที่จะได้เห็นของจริงเมื่อได้สัมผัสเห็นของจริงแวบแรกที่สัมผัสเห็น ภายในจิตบอกว่า”เป็นของศักดิ์สิทธิ์”แต่ในความที่ผมได้อ่านข่าวคราวมามันเลยทำให้จิตผมขุ่นมัวต่อต้านอยู่บ้าง ผมจึงขออนุญาตินั่งเข้าสมาธิสัมผัสดู ช่วงจังหวะนั้นเองปรากฏเห็น ภาพหนึ่งขึ้นมา”เห็นเป็นลักษณะมองเห็นทิวยอดไม้เห็นภูเขาสูง เหมือนดึงซูมภาพเข้าไปจนถึงปากถ้ำเมื่อมองลงไปด้านข้างภูเขามองเห็นสายน้ำไหลคดเคี้ยวยาวมากอยู่พื้นดินด้านล่าง “ก่อนที่จะเข้าไปในถ้ำผมถอยออกมาจากสมาธิเสียก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ( มีเนื้อเรื่องต่อ )

.รูปร่างสัณฐานสีสันของเพชรนาคา.

เพชรนาคาหรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนั้น มีรูปร่างหลายสัณฐานหลายขนาดหลายสีสัน เพชรนาคาสามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 3 สัณฐานใหญ่คือ


1.สัณฐานลูกรักบี้ จะมีรูปร่างกลมยาวเรียวหัว-ท้ายเรียวมนคล้ายหัวจรวด จะมีความยาวประมาณตั้งแต่ 2-3 ซ.ม.จนถึง 9-10 ซ.ม. สามารถแบ่งเป็นประเภท1.1เป็นเพชรนาคา , 1.2.เป็นเหล็กไหลชนิดดูดติดเหมือนแม่เล็ก หรือแบบดูดไม่ติด

2.สัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย จะมีรูปร่างสัณฐานแบ่งออกได้อีก 2 แบบคือ 2.1. รูปกลม(แฮม
เบอเกอร์) จะมีรูปลักษณะทรงกลมตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน ด้านข้างจะสามารถมองเห็นคล้ายขอบรอยเชื่อมของเพชรนาคา จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์ตั้งแต่ 7 มิลลิเมตรถึง 1 ซ.ม.กว่าๆ , 2.2.รูปวงรี จะมีรูปทรงเป็นวงรีตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน จะมีขนาดตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรจนกระทั่งมีความถึงยาว 1-2 นิ้ว

3.สัณฐานกลมแบบลูกแก้ว จะมีลักษณะกลมเป็นลูกแก้ว แต่สังเกตุดูดีๆแล้วบางเม็ดจะมีรอยขอบ รอบๆ มีตั้งแต่ขนาดเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย( ประมาณ 1 ซ.ม.)จนถึงขนาดเท่าไข่ไก่

4.สัณฐานพิเศษที่หายาก จะมีคือ…..

4.1.ลักษณะลูกสมอจันท์ จะมีลักษณะออกจะกลมคล้ายดังลูกแก้วเหมือนกับสัณฐานกลมหลังเบี้ยแบบที่.2.1 จะมีขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเกือบ 2 ซ.ม. หรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง

4.2.ลักษณะเป็นเขี้ยวแก้ว จะมีลักษณะรูปทรงสัณฐานเป็นเขี้ยว จะมีความยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้วก้อยนิดๆจนกระทั่งมีความยาว 6 - 7 นิ้ว

4.3.ลักษณะรูปหยดน้ำ จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายหยดน้ำขนาดใหญ่ประมาณปลายนิ้วก้อย

4.4.ลักษณะเป็นฟันกราม จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายฟันหน้าหรือฟันกรามของคน จะมีส่วนที่ยื่นออกมาดังรากฟัน จะมีหลายขนาดทั้งฟันกรามเล็กฟันกรามใหญ่

4.5.ลักษณะรูปหัวใจ

4.6.ลักษณะรูปดอกบัว

4.7.ลักษณะรูปหงอนพญานาค

4.8.ลักษณะเป็นไข่

ซึ่งเพชรนาคานั้นจะมีสีสันที่สวยงามส่องแสงเป็นประกายมาก ยิ่งเอาไปส่องด้วยแสงไฟจะส่องเป็นประกายสีถึง 7 สีและจะมีความมันเงาแวววาว บางสัณฐานภายในคล้ายกับมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่หรือคล้ายกับมีดวงตาซ้อนอยู่ภายใน แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจนนั้นจะเป็นสัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย จึงนับว่าแปลกอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
มีผู้ที่มีความชำนาญในการดูพลอยบอกว่า ถ้าพลอยดีชั้นดีเวลาส่องดูจะเห็นเป็นแถบสายรุ้งถ้าเป็นพลอยรองลงมาเวลาส่องดูจะเห็นเป็นประกายของสี ทั้ง 7 สี เมื่อนำเพชรนาคานำมาส่องดู(แบบสัณฐานที่2)บางเม็ดด้านหนึ่งส่องดูเห็นเป็นแถบสีพอพลิกดูอีกด้านหนึ่งส่องดูเห็นเป็นประกายสีเหมือนมีชีวิตเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก


ซึ่ง หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา จ.อุดรธานีได้เล่าให้ฟังว่า”ลูกศิษย์ท่านได้นำไปตรวจสอบตรวจดูที่ต่างประเทศ ซึ่งผลปรากฏว่ามีคุณค่าเกือบจะเท่าอัญมณี แต่ก็ถือว่าเป็นแร่รัตนชาติชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า”
การแบ่งสีสันของเพชรนาคานั้นสามารถที่จะแบ่งออกได้ 3 ประเภทก็คือ 1.สีอ่อนแต่ใส 2.สีเข้ม 3.สีเข้มออกโทนเทาดำ จะมีอานุภาพพลังที่แตกต่างกันไปตามสีสันและตามขนาดสัณฐานด้วย ยิ่งออกเป็นสีในประเภทที่ 3.ยิ่งมีพลังลึกลับอาถรรพ์เพิ่มมากขึ้น


การแบ่งตามวรรณะตามโทนสีของเพชรนาคา สามารถแบ่งออกได้คือ

1.สีน้ำเงิน วรรณะกษัตริย์

2.สีฟ้าน้ำทะเล วรรณะเชื้อพระวงศ์

3.สีเขียว วรรณะนักบวช,ผู้ทรงศีล

4.สีแดง วรรณะนักรบ,ขุนพล

5.สีม่วง วรรณะขุนนาง

6.สีขาว วรรณะ กลาง

7.สีเหลือง,สีส้ม,สีชมพู วรรณะทั่วไป

ความหมายตามสีสันของเพชรนาคา ก็คือ

1.สีขาว หมายถึง พลังบารมีพุทธคุณหรือบารมีขององค์มหาพระโพธิสัตว์ ที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถือศีลภาวนาปฏิบัติธรรมลดละกิเลสตัณหาอุปทาน ให้วางจิตให้อยู่ในสายกลางไม่มีบุญไม่มีบาป มีสติเป็นผู้รู้(เกิดปัญญา)เท่าทันในสภาวะปัจจุบัน เกิดความใสสะอาดบริสุทธิ์ มีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ เหมาะกับผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวรวนเรไม่มีความมั่นใจ


2.สีแดง หมายถึง สีแห่งกำลังฤทธิ์อำนาจ กล้าหาญเด็ดเดียวความคิดฉับไหวเฉียบคมดุดัน ตัดสินใจรวดเร็วตรงเป้าหมายทันอกทันใจ เป็นที่เคารพน่าเกรงขาม ผู้ที่ได้ครอบครอบเพชรนาคาสีแดงนี้จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมฝึกฝนให้จิตมี”สติ”รู้เท่าทันอารมณ์มิเช่นนั้นจะเกิดผลกระทบที่ไม่ดีเกิดขึ้นทั้งตนเองและผู้อื่น สีแดงเป็นสีที่บ่งบอกถึง”โทสะ
จริต”ที่มีความต้องการให้ทันอกทันใจรวดเร็ว บางครั้งไม่เป็นตามที่เราต้องการก็จะเกิดอารมณ์โมโหโกรธขึ้นมานี้ละตัวร้าย ยิ่งเพชรนาคาที่มีสีเข้มขึ้นมากเท่าใดยิ่งจะมีพลังทางลบมากเท่านั้น มันจะเผาผลาญทั้งกายและจิตใจให้เกิดความหม่นหมองมืดมัวเศร้าสร้อยไปทางทุคติที่ไม่ดี


2.1.สีแดงพิเศษ…จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาวประมาณ 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่พลังอานุภาพฤทธิ์อำนาจสูงกว่าสีปกติมาก เพราะจะเป็น”เพชรนาคาสีแดงขอบดำ”ครูบาอาจารย์บอกว่า”เป็นพลัง
อนันตจักรวาล” ผู้ที่สามารถที่จะครอบครองได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสมมาจากอดีตชาติไว้มาก
หรือและต้องเป็นผู้ที่มี”จิต”เป็นฤทธิ์เดชตบะมหาอำนาจที่ฝึกฝนมาทางนี้ มิเช่นนั้นไม่สามารถที่จะรองรับพลังอานุภาพของเพชรนาคาที่มีพลังอนันตจักรวาลได้


3.สีเขียว หมายถึง อำนาจจิตที่มีความเมตตาเย็นกายเย็นจิต มีเดช ตบะบารมีของผู้ทรงธรรมที่มีจิตสัมผัสทาง
โลกลี้ลับเหล่าเทพพรหมเทวดา มีพลังอำนาจลี้ลับไหลเวียนเป็นกระแสล้อมรอบตัว ทำให้จิตมีความสงบเยือกเย็นมั่นคงแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ ยิ่งสีเข้มยิ่งมีอานุภาพของพลังที่สื่อผ่านมาจากเพชรนาคาจนเย็นยะเยือก เป็นที่เคารพนอบน้อมเป็นที่น่าเชื่อถือไม่ว่าจะทำสิ่งใดพูดจาอะไร เป็นเหตุที่เกิดมาจากการบำเพ็ญเพียรตบะบารมี”สัจจะอธิษฐาน”ที่ไม่พูดปดมดเท็จหลอกลวงตลบแตลง และเป็นสีของกายทิพย์ผู้เป็นจอมเทพใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้าทรงช้างเอราวัณ 3 เศียรที่มีอำนาจฤิทธานุภาพจ้าวแห่งสรวงสวรรค์แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์


4.สีเหลือง หมายถึง ความนุ่มนวลมีสง่าราศีสีที่แสดงถึงความมั่งคั่งมีโชคมีลาภไหลมาเทมา มีความเจริญสดใสรุ่งเรืองดัง”ทองคำ”ที่มีคุณค่าในตัวเอง กระแสแห่งสียิ่งสีสดใสเท่าใดยิ่งมีกระแสแห่งโชคลาภทรัพย์สินเงินทองเปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น เป็นกระแสที่ทำให้น่าเกรงขามเคารพศรัทธาในความมีสง่าราศีดังเจ้าขุนคุณนายเจ้าพระยาผู้มีศักดิ์มีศรี จะได้รับการช่วยเหลืออนุเคราะห์สงเคราะห์ทำให้หน้าที่กิจการเจริญก้าวหน้าราบรื่น


หมายเหตุ…ผู้ใดได้เพชรนาคาสีเหลืองไว้ครอบครองจะต้องมีจิตใจที่ชอบทำบุญทำทานเป็นนิจวัตร มีน้อยทำน้อยมีมากเท่ามากตามกำลังของตนเองและต้องเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ยิ่งจะส่งผลให้เกิดกระแสแห่งทานบารมีที่บริสุทธิ์ส่งเสริมพลังเพชรนาคาสีเหลืองและองค์เทพที่รักษาดูแลมีบุญบารมีเพิ่มขึ้น


5.สีส้ม หมายถึงพลังแห่งการป้องกันภัยจากอาวุธภัยอันตรายต่างๆ เป็นพลังที่มีความคิดเด็ดเดียวกล้าหาญกล้าคิดกล้าทำกล้าที่จะเผชิญและเป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้ายุติธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เป็นกระแสพลังที่ป้องกันและลดสลายอุปสรรคพลังที่ไม่ดีที่เข้ามากระทบ กระทำให้บุคคลใดผู้ใดที่คิดจะมาเบียดเบียนต้องพ่ายแพ้ตนเองไปในที่สุด มีเทพที่มีคุณธรรมดูแลปกปักรักษา และเป็นสีแห่ง”พระบารมีขององค์พระสยามเทวาธิราช”องค์มหาเทพที่ดูแลปกปักรักษาคุ้มครองประเทศชาติ,ศาสนา,พระมหากษัตริย์ จากภัยอันตรายจากศัตรูผู้ไม่เป็นมิตรที่คิดมากระทำย่ำยี


6.สีม่วง หมายถึง พลังที่มีอำนาจลึกลับยากที่จะหยั่งถึงได้ ดังคำว่า”รู้หน้าไม่รู้ใจ” เกี่ยวข้องจิตวิญญาณโอปาติกะภูติผีปีศาจทำให้เกิดความเกรงกลัวไม่กล้าที่จะคิดไม่ดีกระทำไม่ดี เหมือนมีพลังลึกลับจ้องมองอยู่ ยิ่งสีที่เข้มจนเกือบดำไม่ต้องพูดถึงมีพลังลึกลับอานุภาพมากขึ้นเป็นทวีคูณ ป้องกันภูติผีปีศาจคุณผีคุณคนคุณไสยการกระทำย่ำยีต่างๆให้เสื่อมสลายหายไป และเป็นสีที่สามารถดูดซับพลังอำนาจลึกลับทั้งดีและไม่ดีได้ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของ


หมายเหตุ…บุคคลที่มีวาสนาครอบครองเพชรนาคาสีม่วงนี้จะเป็นคนที่มีพลังลึกลับหรือมีสัมผัสพิเศษเรื่องลึกลับบางคนอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้และเป็นคนที่ช่างคิดช่างตรึกตรองเจ้าวางแผน ถ้ามีมากจนกระทั่งออกไปทางหน้ากลัว อาจจะเกิดผลเสียหรือเกิดพลังที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ควรที่จะฝึกปฏิบัติจิตให้มีความเมตตาหนักแน่นปล่อยวางจากอารมณ์ที่มากระทบ ให้จิตมีแต่ความโปร่งใสบริสุทธิ์จะทำให้อานุภาพของเพชรนาคาสีม่วงนี้จะเปล่งประกายออกมาครอบคลุมทั่วร่างตลอดเวลา เสมือนเกราะแก้วคุ้มครอง


6.1.สีม่วงพิเศษ… จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาว 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่มีพลังฤทธิ์อำนาจแห่งความลึกลับแห่งจิตวิญญาณโอปาติกะ ป้องกันอาถรรพ์การกระทำคุณไสยคุณผีคุณคนการกระทำย้ำยีต่างๆผูก
พยนต์ฝังรูปฝังรอย ทำให้เกิดการสลายเสื่อมอานุภาพ ศัตรูหมู่มารต่างสยบไม่กล้าที่จะคิดร้ายกระทำไม่ดี มีอานุภาพแผ่พลังครอบคลุมเป็นปริมณฑลได้ทั้งบ้าน แต่ก็ขึ้นอยู่ผู้ที่เป็นเจ้าของครอบครองมีจิตสะอาดอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่เป็นหลัก ยิ่งที่เป็นผู้ที่ปฏิบัติทางจิตจะยิ่งเปล่งประกายของอานุภาพรัศมีกว้างขึ้น


7.สีฟ้า หมายถึง ถึงผู้ที่มีบุญวาสนาที่ได้สร้างสมมาในอดีต มีน้ำใจกว้างขวางใสสะอาด น่าเคารพนอบน้อมดังเพื่อนสนิทมิตรสหายสนิทชิดเชื้อกันมานาน พูดจาเจรจาพาทีเข้าทีเข้าท่าติดต่อค้าขายคล่องตัวลื่นไหลสะดวก เป็นผู้ที่
มีบุญฤทธิ์ที่เหล่าเทพยดาดูแลค้ำชู เดินทางไปไหนมาจะมีความสะดวกสบาย


8.สีน้ำเงิน หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมีสูงมีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์บารมี เป็นผู้นำผู้ปกครองมีทั้งเดชตบะบารมีเป็นที่เคารพน่าเกรงขามมีขุมทรัพย์มหาศาลที่ซ้อนเร้นอยู่ ดังร่มโพธิ์ร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านร่มเย็นที่พักพิงแก่สรรพ

สัตว์ มีพลังที่ป้องกันศัตรูภัยอันตรายต่างๆทั้งแปดทิศ จะต้องมีเทพพรหมเทวดาดูแลปกปักรักษาตลอดเวลาเสริมสร้างบารมียิ่งขึ้น


หมายเหตุ…ผู้ที่บุญวาสนาได้ครอบครองจะต้องเป็นผู้ที่บุญวาสนาบารมีมาในอดีตชาติที่สร้างสมมานาน และต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประจำใจ มิฉะนั้นจะเกิดอาถรรพ์ที่ไม่ดีแก่ผู้ที่ครอบครองเกิดความวิบัติ อย่าหลงอดีตอย่าบ้าอำนาจอย่าอวดเก่งหลงตัวเอง จงทำจิตให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดคือการปล่อยวางจากกิเลสตัณหาอุปทาน


9.สีชมพู หมายถึง สีแห่งพลังอานุภาพเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์มหานิยมนิ่มนวลอ่อนโยน มีความโดดเด่นสะดุดตาดึงดูดสำหรับเพศตรงข้ามและผู้คนรอบข้างผู้ที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ผู้คนรอบข้างเกิดความเมตตาช่วยเหลืออย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยิ่งสีชมพูเข้มออกสดใสยิ่งมีพลังมหาเสน่ห์ดึงดูดเป็นที่รักใคร่เป็นที่พึงปรารถนาดังนางพญาที่สูงศักดิ์สง่างดงามอย่างน่าประหลาด


หมายเหตุ…ผู้ที่ได้ครอบครองจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีงาม ไม่นำพลังไปใช้ในทางไม่ดีดัง”ปากหวานก้นเปรี้ยวเลี้ยวตลบแตลง”ยิ่งกระทำกับเพศตรงข้ามจนกระทั่งผิดศีลในข้อที่ 3 จนเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ บั้นปลายท้ายสุดแล้วจะอเน็จอนาถน่าสังเวชเป็นอย่างมาก เมื่อผลกรรมนั้นมาตอบสนอง


10.สีชา(สีพิเศษ) หมายถึง สีที่มีพลังอานุภาพสามารถที่จะยับยั่งอารมณ์ความคิดที่ใช้แต่อารมณ์ ทำให้สติปัญญาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ถูกที่ควรที่ตามไม่ทัน จนกระทำพลาดพลั้งผิดพลาดไปจนเกิดความเสียหาย เหมาะกับผู้ที่ขาดแหล่งพึงพิงทางจิตใจหรือผู้ที่มีจิตใจเลื่อนลอยเสร้าเสียใจผิดหวังท้อแท้ และมีความพิเศษก็คือจะมีอานุภาพทางมีโชคมีลาภอย่างที่คาดไม่ถึง ( เป็นสีที่หาพบได้ยาก )
แต่ตามความเป็นจริงแล้วในการบูชาเพชรนาคาหรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนั้น มิใช่บูชาตามความหมายของสีว่าสีนี้ดีอย่างนี้แบบนั้นหรือสีที่เหมาะกับวันเกิดเดือนเกิดแล้วจะได้ตามนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสมกันตั้งแต่ในอดีตชาติและเคยได้เป็นเจ้าของกันมาก่อน ผนวกในปัจจุบันเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในศีลในธรรมเป็นที่ตั้ง มิฉะนั้นแล้วจะเกิดอาถรรพ์เพทภัยไม่ดีกับตนเอง จึงจำจะต้องมีการอธิษฐานจิต”เสี่ยงบารมี”ตามกำลังบุญวาสนาบารมีของตนเองว่า”สีใดแบบใด”จะคู่ควรกับบุญวาสนาบารมีของตัวเรา หรือได้คำแนะนำจากครูบาอาจารย์ผู้รู้เท่านั้น.

.การอธิษฐานจิตบูชา.

การอธิษฐานจิตบูชา”เพชรนาคา”นั้นมีเครื่องสักการะบูชา 1.ธูป 5 ดอก ,2.เทียน 2 เล่ม ,3.พวงมะลิหรือพวงมาลัย จุดธูปเทียนตั้ง”นะโม 3 จบ ,ท่องไตรสรณคม , อาราธนาศีล 5 , บทพุทธคุณ , ธรรมคุณ , สังฆคุณ และคาถาบูชา อม อุ อะ มะ นะ โม พุท ธา ยะ ยะ สะ สุ มัง ” ต่อด้วยการตั้งจิตอธิษฐานตามที่ต้องการ(ไม่เกินกำลังของกฏแห่งกรรม)
ต้องการทำนำมนต์ โดยการหาขันใส่น้ำสะอาด อัญเชิญ”เพชรนาคา”ลงแช่ในน้ำ พร้อมกับการจุดธูปเทียนบูชาท่องคาถา พร้อมกับสำรวมกายวาจาใจให้สงบนิ่งสักอึดใจหนึ่ง แล้วตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ตั้งมั่นจบด้วยบทแผ่เมตตา เมื่อสำเร็จสมหวังดังที่ได้อธิษฐานทุกครั้ง จะต้องทำบุญใส่บาตร,ถวายสังฆทาน,ถวายพระพุทธรูป เป็นต้น อุทิศถวายให้”พระแม่ธรณี,หลวงปู่เทพโลกอุดร,ปู่ทวดนาคราชสุนันโท,นาคานาคีเงือกบริวารทั้งหลาย ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรเป็นที่ตั้ง” ซึ่งจะเป็นการสร้างกุศลผลบุญบารมีไปในตัว
การอธิษฐานเพชรนาคา 9 สี…นำมาบรรจุรวมกันในภาชนะเดียวกัน แล้วอธิษฐานและหมุนตามเข็ม
นาฬิกา คือหมุน 1 ครั้งป้องกันภัย ,หมุน 2 ครั้งป้องกันภูติผีปีศาจ ,หมุน 3ครั้งขอโชคลาภ ,หมุน 4 ครั้งสะท้อนป้องกันสิ่งไม่ดี( ป้องกันการทำร้ายจากศัตรู ) ,หมุน 5 ครั้งป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน ,หมุน 6 ครั้งรักษาโรค ,หมุน 7ครั้ง

ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ( สามี,ภรรยารัก ) ,หมุน 8 ครั้งถ้าไม่สบายรักษาตนเอง ,หมุน 9 ครั้งชนะศัตรูหมู่มาร
หลังจากเสร็จสิ้นจากการที่นำเพชรนาคาติดตามตัวเช่น เป็นเครื่องประดับเป็นหัวแหวน,เป็นจี้ห้อยคอ,เป็นสร้อยข้อ
มือก็ตาม หรือนำมาบูชาเอาไว้ที่บ้าน ควรที่จะจัดหาพานรองรับตามความเหมาะสมวางผ้าแดงผ้าขาวรองพื้นก่อนที่นำเพชรนาคาหรือเครื่องประดับที่มีเพชรนาคาวางลงบนพาน และจัดหาขันหรือถ้วยใส่น้ำสะอาดโรยมะลิร่วงวางบูชาไว้ตรงด้านหน้าพานที่วางบรรจุเพชรนาคาอยู่ ควรจะเปลี่ยนน้ำสะอาดทุกวันหรือวันเว้นวันตามความเหมาะสม น้ำที่วางบูชาเพชรนาคานี้เป็นน้ำมนต์ที่มีพลังอานุภาพ ใช้ดื่มกินอาบราดทั่วตัวไล่สิ่งไม่ดีสิ่งไม่ดีเสนียดจัญไรที่มาเกาะติดตามตัวเรา เพื่อเป็นสิริมงคลเป็นเกราะคุ้มกันปกป้อง พร้อมระลึกขอบารมีปู่ทวดนาคราชสุนันโทกำหนดเห็นเป็นรูปองค์พญานาคมาขดล้อมรอบตัวของเราส่องแสงสว่างเป็นรัศมีกระจายรอบตัวประมาณ 1 วา
หรืออาจจะหาขันหรือภาชนะที่ใส่น้ำสะอาด พร้อมขันหรือภาชนะเล็กที่ลอยน้ำได้เพื่อนำเพชรนาคาหรือเครื่องประดับมีเพชรนาคาวางอยู่ในขันหรือภาชนะที่ลอยน้ำได้อีกทีหนึ่ง

.บ่งบอกลักษณะผู้เป็นเจ้าของ.

“เพชรนาคา”นั้นสามารถบ่งบอกลักษณะนิสัยหรือข้อติดขัด(วาระกรรม)ของผู้ที่ครอบเป็นเจ้าของ เพราะธาตุกายสิทธิ์นี้ เมื่อได้เลือกผู้ใดบุคคลใดจะ”เชื่อม”กำลังบารมีซึ่งกันและกันคล้ายดังเป็นดวงจิตเดียวกัน มีพลังอำนาจที่จะบ่งบอกจุดบกพร่องจุดที่จะต้องพัฒนาเพื่อยกระดับภูมิจิตภูมิธรรมและเพื่อแก้ไขสภาวะกรรมที่เป็นอกุศลที่ได้ตามติดมาจากอดีตที่จะส่งผลในชาติปัจจุบันนี้(ไม่เกินกฎแห่งกรรมที่หนัก)
ที่สำคัญเพชรนาคานี้สามารถ”ขยายโตใหญ่และเล็กลงได้ เกิดความขุ่นใสเปลี่ยนสีได้”ตามระดับภูมิจิตภูมิธรรมของผู้ที่ครอบครองประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมแค่ไหน
เพชรนาคามีพลังงานของธรรมชาติที่สะสมประมวลธาตุมานานหลายล้านล้านปีประมาณมิได้ ย่อมสามารถที่จะ ”เปิดสภาวะกรรม”ให้รู้ให้เห็นได้และมีพลังที่สามารถลดกระกรรมหนักให้สลายเป็นเบาได้ แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวะกฏแห่งกรรมได้ นอกจาก”จิต”ผู้เป็นเจ้าของต้องเป็นผู้พฤติปฏิบัติในแนวทาง” ศีลอริยะมรรค”ก่อกำเนิดพลัง”โลกุตระ”ยกภูมิจิตยกภูมิธรรมให้จากอบายภูมิมีสัตว์และสัตว์เดรัจฉานเป็นการ”อโหสิกรรม”กันไป



.พิสูจน์.

วันที่ 26 มกราคม 2544 เวลาประมาณเกือบบ่ายสองโมง มีคนผู้หนึ่งโทรมาคุยเรื่องเพชรนาคาและเรื่องพญานาค (ต้องขออภัยจำชื่อมิได้ แต่มีเบอร์หมายเลขโทรศัพท์ 01 315-5571) คุยกันถึงรูปภาพพญานาคของนายทหารอเมริกันที่จับปลาประหลาดได้ที่แม่น้ำโขงฝั่งประเทศลาว ซึ่งจะมีลักษณะลำตัวแบนและยาวมากก็ยังมีข้อถกเถียงเป็นอย่างมากฝ่ายหนึ่งบอกว่าเป็นปลาโบราณ อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์พญานาคที่จะแสดงให้ชาวโลกรู้ว่ายังมีเผ่าพันธุ์พญานาคมิใช่เรื่องงมงาย เรื่องจะจริงเท็จเพียงใดก็ไม่ทราบ แต่ทุกวันเข้าพรรษาและวันออกพรรษาชาวริมแม่น้ำโขงจะเห็นปลาประหลาดพวกนี้ว่ายกันมาเป็นฝูง แล้วก็ว่ายหายตัวไประหว่างที่เห็นตัวนั้นก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรคงจะกลัวอาถรรพ์ ดังเรื่องบั้งไฟพญานาคที่ทุกปีของวันออกพรรษาของลาวจะเกิดมีลูกไฟหรือดวงไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขงสู่อากาศแล้วหายไปเลย ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้จนกระทั่งบันนี้เพราะหาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้
มาถึงเรื่องเพชรนาคา บุคคลผู้นี้บอกว่าเพชรนาคามิใช่เป็นแก้ว แต่จะเป็นหินที่ใสเป็นแก้วเพราะเขาได้ทดลองใช้ไฟเผาดู ถ้าเป็นแก้วจะหลอมละลายมีการหดตัวของเนื้อแก้ว ส่วนเพชรนาคานี้เมื่อโดนไฟเผารนจะไม่มีการหดตัวหรือละลายเหมือนแก้ว แต่จะกลายเป็นสีแดงจากการทนความร้อนสูงที่เผาไหม้จนกระทั่งในสุดท้ายแตกออกมาเป็นเสี่ยงเสี่ยง
ผมจึงถามว่าคุณทดลองเผาเพชรนาคาเองใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ผมจึงต้องบอกเขาให้จุดธูปเทียนบูชาเพื่อขอขมาในสิ่งที่กระทำไปแล้ว โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มิเช่นนั้นจะมีโทษในภายหลัง หลังจากที่กำลังบุญดวงชะตาบารมี
ของตนเองตกต่ำลงมา อาจจะเกิดในลักษณะผีซ้ำด้ามพลอยหรืออาจจะมีเหตุการณ์ที่จะทำให้ดวงชะตาชีวิตหน้าการงานกำลังรุ่งเรืองกับติดขัดไม่สมบูรณ์เกิดสะดุดอยู่ตลอดเวลา เพราะไปลบลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามก็ยังมีผลที่ติดตามมา ( มีเนื้อเรื่องต่อ )

.ผลมณีนาคราช.


และอีกอย่างที่แปลกประหลาด เมื่อดูก้อนดินที่แข็งคล้ายหินดูจากภายนอกดูแล้วจะมีความรู้สึกว่าเก่าคงมีอายุนานมาก พอนำมากระเทาะดูเนื้อภายในแล้วไม่น่าที่จะมีอายุตามที่คิด แต่ก็คงมีอายุนานมากพอสมควรซึ่งกลายสภาพแข็งคล้ายหินได้ และที่สำคัญถ้าคิดว่าเป็นการทำขึ้นมาจะทำได้อย่างไรที่จะทำให้ภายในกลวงและมีผงติดรวมกับเพชรนาคาได้…! คล้ายดังผลมณีโคตรที่มีขนาดตั้งแต่ลูกมะพร้าวกระทั่งเท่าไข่ไก่ ภายในจะมีผงสีเหลืองบางสีขาวบางและสามารถที่จะละลายน้ำได้ อธิษฐานกินเป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ บางก้อนเมื่อกระเทาะออกมานำผงไปละลายน้ำจะมีบางส่วนที่ไม่ละลาย จะมีลักษณะคล้ายเม็ดกรวดเป็นแก้วขาวใสสัมผัสได้ว่าเป็น”พระธาตุ”มิใช่จะมีอยู่ในทุกก้อน ( มีเนื้อเรื่องต่อ )

.ลูกแก้วเสด็จหรือเพชรนาคา !.

เป็นวัตถุธรรมชาติที่มีพลังอานุภาพอยู่ในตนเองต้องอาศัยระยะเวลานานหลายพันหลายหมื่นปีในการรวมธาตุ
ทั้งสี่จนแปรสภาพให้มีความแข็งแกร่งสดใสงดงามเช่นนี้ ได้ดูดซับแร่ธาตุต่างๆและพลังสุริยันจันทราสะสมจนเกิดมี

พลังอานุภาพในตนเอง และมีเทพเทวดารักษามาสถิตย์ดูแลรักษาเพราะเป็นทรัพย์สมบัติของพระศาสนาที่รอเวลาปรากฏขึ้นมาทำประโยชน์ให้กับพระศาสนา ซึ่งเทพเทวดาในแต่ละองค์ย่อมมีอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์และคุณธรรมที่แตกต่างกันไป ก็ยังมีนิสัยในกมลสันดานของจิตอยู่บ้างคล้ายกับมนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างคนเรา
ผู้ที่ได้มีวาสนาครอบครองควรพึงสังวรระมัดระวังให้ดีอยู่ในศีลในธรรมอย่าให้ออกนอกลู่นอกทางจะไม่เป็นมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เพราะอานุภาพของเพชรนาคาที่จะเปล่งอานุภาพได้เต็มที่นั้นจะต้องประกอบไปด้วยคุณธรรมและบารมีของผู้ที่ครอบครอง
เพชรนาคานั้นเมื่อนำมาโดนแสงสว่างยิ่งส่องแสงเป็นประกายสวยงามแวววาวจับตามากขึ้น นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก และมีความแข็งแรงทนทานต่อการตกหล่นกระทบกัน เมื่อนำเพชรนาคามาลองกรีดบนแก้วน้ำจะทำให้แก้วน้ำเป็นรอยกรีด ส่วนเพชรนาคาจะไม่เป็นรอยขูดขีดและที่สำคัญตรงรอยขอบของเพชรนาคาแบบ

สัณฐานที่.2 จะมีความมันลื่นไม่สากมือเหมือนรอยเจียระไนหรือขอบรอยอัดของพลอยอัด(มีการทำเลียนแบบแล้วนำเข้าพิธีปลุกเสก)
เพชรนาคานั้นจะมีความพิเศษซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมีและการประพฤติปฏิบัติของผู้ที่ครอบครองเพชรนาคา เพราะสามารถที่จะเปลี่ยน”สี”จากสีอ่อนเป็นสีเข้มหรือเปลี่ยนเป็นสีต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจและเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือใสตามสภาวะจิตของผู้ครอบครอง ที่สำคัญไปกว่านั้นสามารถที่จะ”เสด็จ”ไปมาเพิ่มขึ้นได้คล้ายดัง
”พระธาตุเสด็จ” คงเคยจะได้ยินคำกล่าวจากผู้เฒ่าผู้แก่หรือครูบาอาจารย์ที่ได้พบเห็น”ลูกแก้วเสด็จ”ผุดมาจากพื้นดินแล้วพุ่งลอยขึ้นไปเป็นดวงแสงสว่างไสวลอยวนเวียนไปมาแล้วก็หายไป แต่ก็มีครูบาอาจารย์บางองค์ที่มีลูกแก้วเสด็จไว้ครอบครองเช่น พระอาจารย์บรรลังก์ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทยโสธร จ.ยโสธร เป็นศิษย์เจ้าคุณโฮมอดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯสายพระกรรมฐานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้มีลูกแก้วเสด็จมาปรากฏไว้ให้ท่านพระอาจารย์ครอบครองไว้จำนวนหนึ่งนับว่าเป็นบุญวาสนาบารมีธรรมของพระอาจารย์บรรลังก์
“ลูกแก้วเสด็จ”อาจจะเป็นหนึ่งใน”เพชรนาคา”แบบสัณฐานที่.3 (กลมเป็นลูกแก้ว) ก็เป็นไปได้ เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพมีเหล่าเทพเทวดาดูแลรักษา ที่จะนำมามอบให้กับผู้ที่มีบุญวาสนาบารมีธรรมหรือเคยเป็นเจ้าของดังเดิมมาจากในอดีตชาติปางเก่า ( มีเนื้อเรื่องต่อ )

จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#6 ใจใสสว่าง

ใจใสสว่าง
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 October 2008 - 02:52 PM

ข้าพเจ้า ก็มีไว้บูชาอยู่หลายเม็ด ได้รับกับมือจากพระอาจารย์สายวัดป่า ที่จ.อุบล เมื่อคราวตามหมู่คณะและเพื่อนที่รู้จัก พาไปกราบและร่วมงานบุญ ท่านให้ดูสิ่งอัศจรรย์เกี่ยวกับพญานาคด้วย เช่น เกล็ดพญานาค ซึ่งเมื่อวางที่พื้นโต๊ะ จะนิ่งเฉย แต่พอวางใส่ในฝ่ามือ ก็จะขยับตัว พลิกกลับไปกลับมา เหมือนมีชีวิต และก็เขี้ยวแก้วพญานาค พระขรรค์พญานาค รวมทั้งลูกแก้วพญานาค ซึ่งใหญ่และหนักเป็น 10 กิโล เหมือนที่วัดหลวงปู่คำคะนิง

ถ้าผู้ที่มีไว้ครอบครอง ได้ปฏิบัติธรรม รักษาทาน ศีล และหมั่นนั่งธรรมะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ จะมีพลังคุ้มครองตัว
และเปลี่ยนสีได้ โดยเปลี่ยนจากสีอ่อน เป็นสีเข้มขึ้น และเปลี่ยนขนาดใหญ่ขึ้นด้วย

ทุกคืนวันเพ็ญ 15 ค่ำ ให้นำเพชรพญานาค ออกรับแสงจันทร์เพ็ญ จะยิ่งเพิ่มอานุภาพ

และให้หมั่นแผ่บุญกุศลถึงเหล่าพญานาค ผู้สร้างเพชรพญานาค เม็ดที่เราบูชา

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เพชรพญานาคก็ดี หรือธาตุกายสิทธิ์ต่างๆ ก็ดี ไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐ

ไม่ควรยึดเป็นสรณะ ไม่จำเป็นต้องไปขวนขวาย เพื่อหามาครอบครองให้ได้

ให้เป็นไปตามวาระแห่งบุญ ที่จะเกื้อหนุนประเสริฐกว่า

#7 *บุญน้อย*

*บุญน้อย*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 08 February 2011 - 01:22 PM

เรามีโอกาสได้เพชรพญานาคมาบูชา คิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เพราะเมื่อ 2-3 ปีมานี้เราจะสวดมนต์และนั่งสมาธิ(ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่แต่เราก็ตั้งใจทำ)ก่อนนอนเป็นประจำและเราจะอุทิศบุญกุศลให้กับองค์นาคราชทุกครั้งไป เมื่อไม่นานมานี้ได้รับน้องคนหนึ่งเข้าทำงาน ทำอยู่ได้ไม่กี่วันน้องเขาก็เล่าให้ฟังว่าได้ไปหาอาจารญ์ท่านหนึ่งเป็นผู้ทรงศีล(คิดเอาเอง)เพราะน้องบอกว่านุ่งขาวห่มขาวหน้าตาอิ่มเอิบมากอายุเยอะแล้วแต่หน้าตึงใสไม่มีริ้วรอยคงเป็นเพราะอิ่มบุญ น้องเขาได้เอาเอกสารจากอาจารย์ท่านนี้มาให้อ่านเรื่องเพชรพญานาค ก้เลยถามน้องเขาว่าได้บูชามาไหมน้องเขาบอกว่าไม่ได้บูชา เราก็เลยบอกน้องว่าถ้าไปอีกฝากบูชาด้วยน่ะ ปรากฏว่าน้องเขาไปเย็นนั้นเลยเพราะอยู่ไม่ไกลและกลัวว่าจะหมดเพราะว่ามีอยู่นิดเดียว ก็เลยได้มาครบเก้าสีเป็นรูปวงรีเล็กนิดเดียวและเม็ดใหญ่ขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง รูปทรงคล้ายแฮมเบอร์เกอร์สีเหลืองทั้งหมดเป็นสิบเม็ด และหลังจากนั้นไม่กี่วันน้องเขาก็ลาออกจากงานสรุปอยู่ทำงานได้แค่ 3 อาทิตย์ เราจึงคิดว่าที่เราได้มาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และน้องเขามาเพื่อเป็นตัวกลางทำให้เราได้มาบูชา เพราะตอนแรกที่คุยกันน้องเขาไม่มีท่าทีหรือพูดถึงว่าอยากจะได้เลย พอเราบอกว่าจะบูชาน้องเขาก็เลยจะบูชาด้วยเขาไปกับเพื่อนเขาอีกคนหนึ่งสรุปได้มาคนละเชต ( 9 สี) เพราะอาจารย์มีอยู่แคนั้นพอดี แต่ที่เรายังคลางแคลงใจก็เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นของจริงเพราะทั้งก่อนได้และหลังได้ไม่เกิดปาฏิหารย์หรือเหตุการณ์หรือผันถึงอะไรให้ได้รู้เลย ถ้าใครมีวิธีดูว่าเป็นของจริงหรือไม่ช่วยบอกด้วยน่ะค่ะ
แต่ก่อนที่น้องเขาจะบูชามา พอดีว่าอาจารย์เองก็มสีเขียวเม็ดใหญ่ทำเป็นแหวนเลยถ่ายรูปมาให้ดูแต่ครั้งแรกถ่ายไม่ติด อาจารย์บอกว่ายังได้ขอ พออาจารย์ขอก็ถ่ายติดชัดแจ๋วเลย แต่เราก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีเพราะไม่รู้ว่ากล้องติดขัดอะไรหรือเปล่า(ใช้มือถือถ่าย)