คำนำ
การที่ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่อง”เพชรนาคา”ธาตุกายสิทธิ์นั้น มิได้มุ่งหวังให้ท่านผู้อ่านงมงายขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้ดุลยพินิจวิเคราะห์กันเอาเองว่าจริงหรือเท็จ โดยใช้หลัก”กาลามสูตร”ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาการเชื่อด้วยปัญญาการใคร่ครวญอย่างมีเหตุและผลรองรับซึ่งกันและกันมีอยู่ด้วยกัน 10 ข้อ
1.อย่าเชื่อด้วยได้ฟังตามกันมา
2.อย่าเชื่อโดยลำดับสืบๆกันมา
3.อย่าเชื่อโดยความตื่น ว่าได้ยินว่าอย่างนี้
4.อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา
5.อย่าเชื่อโดยนึกคาดเดาเอา
6.อย่าเชื่อโดยนัยการคาดคะเนเอา
7.อย่าเชื่อโดยตรึกตรองตามอาการ
8.อย่าเชื่อโดยชอบใจว่าต้องกับลัทธิของตน
9.อย่าเชื่อโดยผู้พูดสมควรจะเชื่อถือได้
10.อย่าเชื่อโดยนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ เป็นญาติของเรา
เพราะผู้เขียนพึงเขียนนำเสนอมาจากประสบการณ์ทางจิต,การศึกษาการเรียนรู้และคำบอกเล่าจากครูบาอาจารย์ผู้รู้หลายท่านของผู้เขียนมาเล่าสู่กันฟัง โดยที่ผู้เขียนมิได้มุ่งหวังให้เป็นบรรทัดฐานใดๆที่จะบ่งบอกให้ทุกท่านใช้เป็นกฏเกณฑ์ตัดสินใจในเรื่องนี้
ต่างคนก็ต่างประสบการณ์ ขอให้ผู้อ่านจงดูเนื้อที่แท้จริงในสิ่งนั้นๆไม่มีหลักการใดๆมาพิสูจน์ในเรื่องเช่นนี้ได้จริง
นอกจากบุคคลผู้นั้นได้ศึกษาเรียนรู้ถึงที่สุดแล้ว เพียงแค่” นรก สวรรค์ ” สาวกองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ก็ยังมีความคิดที่แตกแยกกันไป ไม่ต้องไปกล่าวถึง” อัตตา หรือ อนัตตา ใน นิพพาน “เพราะพูดกันไปในแต่ละคนก็ยังไปไม่ถึงเพราะถ้าถึงพูดออกไปใครจะเชื่อ การอธิบายคำบรรยายความหมายก็เกิดขึ้นมาจาก”สมมุติบัญญัติ”ว่าสิ่งนี้คือสิ่งนี้ รูปร่างหน้าตานี้คือคน หรือ รูปร่างหน้านี้คือลิง เป็นต้น จะเอาเหตุผลกลใดมาเป็นมาตราฐานได้จริง เพียงแต่สิ่งนี้เป็นการยอมรับของมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่เป็นสัตวโลกเท่านั้น
ตอนนี้ผู้เขียนมีความเสียดายเพียงอย่างเดียว นอกเหนือจากการที่ได้สัมผัสและเห็นของจริงไม่ว่าจะเป็น”เพชรนาคา”ในรูปร่างลักษณะต่างๆและแบบที่เป็นหินห่อหุ้มเพชรนาคาไว้ภายใน นั้นก็คือไม่สามารถที่จะเดินทางไปสัมผัสและถ่ายรูปในสถานที่เก็บรักษาเพชรนาคาในถ้ำลึกในสถานที่ต่างๆที่มีการพบ” เพชรนาคา”ได้
แต่บางครั้งถึงจะยืนยันในเรื่องสถานที่รูปถ่ายก็ตาม ถ้าจะมีคนที่ชั่งสงสัยตั้งข้อสงเกตุสังกามาหักล้างหรือไปพบแต่ของปลอมที่เลียนแบบขึ้นมาและค้นหาวิธีการแยกธาตุพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ก็เพียงจะรู้ได้แค่มีส่วนผสมเป็นแร่อะไร,โลหะชนิดไหนเพียงเท่านั้น นอกเหนือธรรมชาติจากนั้นไม่สามารถที่จะพิสูจน์หาเหตุผลมาได้
อจินไตยเกินความรู้.
เพชรนาคาหรือเพชร 7 สีมณี 7 แสง เป็นของศักดิ์สิทธิ์มีอาถรรพ์พลังลึกลับอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เกิดขึ้นมา
ด้วยบุญญาธิการแห่งการบำเพ็ญเพียรพระโพธิญาณขององค์มหาพระโพธิสัตว์ที่ตั้งจิตอธิษฐานปราถนาที่จะได้ลงมาตรัสรู้เป็น”องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า”นับว่าเป็นความยากลำบากมาก เพราะจะต้องประกอบไปด้วยการบำเพ็ญเพียรการสร้างสมบารมีให้ครบ 30 ทัศ และต้องลงมาสร้างบารมีขั้นปรมัตถบารมีอีก 10 ชาติถึงจะสมบูรณ์ทุกประการ การสร้างบารมีบำเพ็ญเพียรนั้นจะแบ่งออกมาได้อีก 3 ประเภทคือ1.พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญสร้างบารมีถึง 4 อสงไขยกำไรแสนกัป , 2.พระพุทธเจ้าสัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึง 8 อสงไขยกำไรแสนกัป ,3.พระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึง 16 อสงไขยกำไรแสนกัป แค่เพียงแสนกัปนั้นก็มิอาจคาดคะเนคำนวณได้ถ้าจะนับก็เป็นล้านล้านล้านปี…….
เป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะคาดคิดคะเนได้ ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์บรมครูได้ทรงตรัสกล่าวเอาไว้มิให้ครุ่นคิดตรึกตรองคาดคะเนเพราะเป็นเรื่อง”อจินไตย”นั้นก็คือพุทธวิสัย,การกำเนิดของโลก,ณาน,กรรมเป็นต้น เพราะเกินกำลังความรู้ความคิดคาดคะเนของมนุษย์ปถุชนคนธรรมดาที่สามารถจะกระทำได้ จะทำให้เกิดเป็นบ้าใบ้เสียสติฟุ้งซ่านเป็นความรู้ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันเป็นการสร้างโลกขึ้นมา โลกแห่งความวุ่นวายในการเวียนว่ายในวัฏสงสารและไม่สามารถหาเหตุผลของทางโลกได้เลย
สิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน จงระมัดระวังการเกิดเหตุของ”วิบัติ”ซึ่งจะแบ่งออกได้หลายข้อ แต่จะกล่าวถึงความ
”วิบัติแห่งทิฐิ”นี้ได้แก่ความวิบัติเพราะทิฐิแห่งตน ที่เกิดมีความคิดผิดเห็นผิดของตนอันไม่ถูกต้อง เพราะไปคบค้าสมาคมกับชนมิจฉาทิฐิเข้า หรือจะเป็นเหตุแห่งการไปพบสัมผัสกับอีกภพภูมิหนึ่งๆหรือว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่นก็ตาม แล้วทำให้เกิดความคิดความเห็นที่วิปริตนอกลู่นอกทางจน”สติปัญญา”ของตนเองตามไม่ทันและไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะของธรรมชาติของ”เหตุและผล,เกิดและดับ”ทำให้เกิดมีความคิดความเห็นว่า” องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี!เป็นเรี่องที่แต่งขึ้นมา , หลัง2,500 ปีหมดยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน , ยุคนี้เป็นยุคพระศรีอาริยเมตไตรย , พระพุทธเจ้าแบ่งภาคจากพระนารายณ์ , พระอรหันต์ไม่มีในโลกนี้ , มรรคผล นิพาน นรก สวรรค์ บุญบาปไม่มี , สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพพรหมเทวดาไม่มีจริง , คำสอนในศาสนาไม่มีคุณค่าไม่สามารถที่จะทำให้โลกมีสันติได้ , ตายแล้วสูญ !” ไปกันใหญ่แล้ว เพียงแค่ตนเองเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร ทำไมจะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย หาคำตอบให้ตนเองได้ไหม! จนทำให้เกิดมีความคิดเห็นที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง เลยทำให้ไม่มีความศรัทธาจิตที่จะเลื่อมใส ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฏีกาธรรมะอันหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงที่หาได้ยากในโลกนี้ หรือไม่ก็นำไปปฏิบัติได้ให้เกิดผลเพียงนิดหน่อย ก็คิดเข้าข้างตนเองหลงตนเองไปเปลี่ยนแปลงธรรมะคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าไปเสียนี้ นี้แหละที่เรียกว่า”วิบัติทิฐิ”ที่ต้องประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิตของตนทั้งที่ได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา
ถึงแม้สมเด็จบรมศาสดาจารย์จะเสด็จปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังปรากฏอยู่ และถ้าประพฤติปฏิบัติตาม”มรรคแปดประการ”โลกย่อมไม่ว่างเว้น”พระอรหันต์”หรือเป็นแนวทางที่พาให้ตนเองก้าวพ้นสู่อบายภูมิโดยมี”นรก,ภูมิสัตว์เดรัจฉาน”เป็นที่ตั้ง ย่อมถือได้ว่าพ้นแล้วแห่งความวิบัติความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแล้วในชาตินี้ ย่อมไม่เสียชาติที่เกิดมาทนทุกข์ทรมาน
ตำนานการก่อกำเนิดเพชรนาคา.
นับย้อนหลังนานแสนนานไปในสมัยพุทธกาลแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโป ซึ่งได้ลงมาตรัสรู้พระโพธิญาณเพื่อรื้อขนสัตว์ข้ามห้วงวัฏฏะสงสารในมหาภัทรกัปนี้(ที่มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่.4) ทำให้เกิดความสั่นสะเทือนกึกก้องไปทั่วหมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาลด้วยพระบารมีแห่งพระโพธิญาณองค์มหาพระโพธิสัตว์ เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์บังเกิด”ฝนโบกพัท”ตกลงมา ใครใคร่ให้เปียกก็เปียกใครใคร่ไม่เปียกก็ไม่เปียกด้วยพระบุญญาธิการแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโป เมื่อได้ตกลงมาสู่พื้นพสุธาบางส่วนได้ประมวลตัวรวมธาตุดึงดูดธาตุทั้งสี่คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จนบังเกิดก่อกำเนิดเป็น”เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง”ธาตุกายสิทธิ์ขึ้นมา มีรัศมีสว่างไสวเปล่งประกายรัศมีถึง 7สี ส่องแสงสว่างไปทั้งกลางวันและกลางคืนนับเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน รัศมีแห่งเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนี้ส่องสว่างครอบคลุมจนไปถึงนครใต้บาดาลดลบันดาลทำให้เกิดแสงสว่างเป็นรัศมี 7 ประการกลบรัศมีแสงสว่างอัญมณีพลอยอันมีค่าต่างๆที่อยู่ในนครบาดาลทั้งหมด จนเกิดความแตกตื่นโกลาหลไปทั่วทั้งนครบาดาล จนเหล่านาคีนาคาผู้ที่มีฤิทธิ์ต่างหาสาเหตุต่างๆนาๆถึงเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้จนทำให้กษัตริย์ผู้ครองเมืองนครบาดาลทั้ง 7 เมืองนามว่า”พญานาคราชสุนันโท”กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ผู้ครองเมืองนครบาดาล ที่มีเหล่าบริวารนาคีนาคาผู้มีฤทธิ์อำนาจกำลังแห่งตนมากมายนับไม่ถ้วน ได้ใช้กำลังบุญฤทธิ์ของตนอธิษฐานขอให้รู้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์อัศจรรย์ใจในครั้งนี้ ด้วยเหตุของกำลังบุญฤทธิ์ที่ได้สร้างสะสมมานานในสมัยอดีตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาและได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุสาวกแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตกาล ซึ่งได้ตั้งจิตอธิษฐาน”จะขอทะนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา”ก่อนที่จะละสังขารตายลง(ขอเว้นในเหตุของกฏแห่งกรรมที่ทำให้กำเนิดเป็นพญานาคผู้มีฤทธิ์) ด้วยเหตุนี้เองทำให้ล่วงรู้ถึงการก่อกำเนิดแห่ง”เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง”ด้วยอำนาจผลบุญบารมีแห่ง”พระโพธิ ญาณขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า”และรู้ถึงหน้าที่ของตนเองที่ได้อธิษฐานเอาไว้ พญานาคราชสุนันทโทผู้เป็นใหญ่ได้แสดงฤิทธิ์อำนาจแทรกแผ่นดินขึ้นมาพร้อมกับเหล่าบริวารทั้งหลาย ขึ้นมาสู่พื้นปัฐพีมาดูต้นเหตุอัศจรรย์อันที่ทำให้เกิดความอัศจรรย์ไปทั่วพื้นพิภพใต้บาดาล ท่านพญานาคราชสุนันโทได้มีคำสั่งให้เหล่าบริวารทั้งหลายต่างแสดงฤิทธิ์อานุภาพอัญเชิญไปเก็บรักษาเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสืบต่อไปเหล่านาคีนาคาบริวารทั้งหลายต่างก็อัญเชิญไปเก็บตามถ้ำตามภูเขาหมวดหมู่ที่พวกตนได้สิ่งสถิตย์พักอาศัยอยู่ ส่วนหนึ่งก็ได้นำดินสีต่างๆมาพอกหุ้มเพชรนาคาหรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงเอาไว้ เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาหรือน้ำมือจากพวกมนุษย์ใจคิดคดไม่อยู่ในศีลในธรรมหรือจากเหล่าเทพพรหมที่เป็นมิจฉาทิฐิ ให้เห็นเป็นเพียงก้อนดินก้อนหินธรรมดา อีกกลุ่มหนึ่งได้นำไปไว้ในถ้ำที่ลึกลับที่ยากจะเข้าไปได้นำไปประดิษฐสถานเอาไปไว้ในแอ่งน้ำต่างๆภายในแต่ละถ้ำที่เห็นสมควรพร้อมกับทั้งอธิษฐานบดบังรัศมีแห่งแก้วนี้เสีย จนรอเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสืบต่อไป
.หลวงปู่เทพโลกอุดร เกี่ยวข้องกับเพชรนาคา!.
ตามความเป็นจริงแล้วผมไม่ต้องการที่จะกล่าวถึงหลวงปู่เทพโลกอุดรหรอกนะครับ แต่มีเหตุที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง”เพชรนาคา”ที่ผมได้รับและสัมผัสเป็นครั้งแรก ถ้าไม่กล่าวถึงเลยมันก็จะข้ามขั้นตอนไปเสียในความเป็นจริงที่เกิดกับตัวผมเองและที่สำคัญผมเคารพสักการะบูชาหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์ในวันหนึ่งผมเดินทางไปพบพี่จิม(นามสมมุติ)ที่บ้าน เพราะว่าพี่จิมได้บูชาเพชรนาคามาจากบุคลท่านหนึ่งก่อนหน้านี้หลายปีผมได้อ่านข่าวที่ลงทางหน้าสื่อพิมพ์เกี่ยวกับเพชรพญานาคว่าเป็นการหลอกลวงเรียกเงินกันเป็นแสนๆว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นของอาถรรพ์ จึงทำให้ผมไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าใดนักนี้นับเป็นครั้งที่จะได้เห็นของจริงเมื่อได้สัมผัสเห็นของจริงแวบแรกที่สัมผัสเห็น ภายในจิตบอกว่า”เป็นของศักดิ์สิทธิ์”แต่ในความที่ผมได้อ่านข่าวคราวมามันเลยทำให้จิตผมขุ่นมัวต่อต้านอยู่บ้าง ผมจึงขออนุญาตินั่งเข้าสมาธิสัมผัสดู ช่วงจังหวะนั้นเองปรากฏเห็น ภาพหนึ่งขึ้นมา”เห็นเป็นลักษณะมองเห็นทิวยอดไม้เห็นภูเขาสูง เหมือนดึงซูมภาพเข้าไปจนถึงปากถ้ำเมื่อมองลงไปด้านข้างภูเขามองเห็นสายน้ำไหลคดเคี้ยวยาวมากอยู่พื้นดินด้านล่าง “ก่อนที่จะเข้าไปในถ้ำผมถอยออกมาจากสมาธิเสียก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ( มีเนื้อเรื่องต่อ )
.รูปร่างสัณฐานสีสันของเพชรนาคา.
เพชรนาคาหรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนั้น มีรูปร่างหลายสัณฐานหลายขนาดหลายสีสัน เพชรนาคาสามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 3 สัณฐานใหญ่คือ
1.สัณฐานลูกรักบี้ จะมีรูปร่างกลมยาวเรียวหัว-ท้ายเรียวมนคล้ายหัวจรวด จะมีความยาวประมาณตั้งแต่ 2-3 ซ.ม.จนถึง 9-10 ซ.ม. สามารถแบ่งเป็นประเภท1.1เป็นเพชรนาคา , 1.2.เป็นเหล็กไหลชนิดดูดติดเหมือนแม่เล็ก หรือแบบดูดไม่ติด
2.สัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย จะมีรูปร่างสัณฐานแบ่งออกได้อีก 2 แบบคือ 2.1. รูปกลม(แฮม
เบอเกอร์) จะมีรูปลักษณะทรงกลมตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน ด้านข้างจะสามารถมองเห็นคล้ายขอบรอยเชื่อมของเพชรนาคา จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์ตั้งแต่ 7 มิลลิเมตรถึง 1 ซ.ม.กว่าๆ , 2.2.รูปวงรี จะมีรูปทรงเป็นวงรีตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน จะมีขนาดตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรจนกระทั่งมีความถึงยาว 1-2 นิ้ว
3.สัณฐานกลมแบบลูกแก้ว จะมีลักษณะกลมเป็นลูกแก้ว แต่สังเกตุดูดีๆแล้วบางเม็ดจะมีรอยขอบ รอบๆ มีตั้งแต่ขนาดเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย( ประมาณ 1 ซ.ม.)จนถึงขนาดเท่าไข่ไก่
4.สัณฐานพิเศษที่หายาก จะมีคือ…..
4.1.ลักษณะลูกสมอจันท์ จะมีลักษณะออกจะกลมคล้ายดังลูกแก้วเหมือนกับสัณฐานกลมหลังเบี้ยแบบที่.2.1 จะมีขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเกือบ 2 ซ.ม. หรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง
4.2.ลักษณะเป็นเขี้ยวแก้ว จะมีลักษณะรูปทรงสัณฐานเป็นเขี้ยว จะมีความยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้วก้อยนิดๆจนกระทั่งมีความยาว 6 - 7 นิ้ว
4.3.ลักษณะรูปหยดน้ำ จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายหยดน้ำขนาดใหญ่ประมาณปลายนิ้วก้อย
4.4.ลักษณะเป็นฟันกราม จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายฟันหน้าหรือฟันกรามของคน จะมีส่วนที่ยื่นออกมาดังรากฟัน จะมีหลายขนาดทั้งฟันกรามเล็กฟันกรามใหญ่
4.5.ลักษณะรูปหัวใจ
4.6.ลักษณะรูปดอกบัว
4.7.ลักษณะรูปหงอนพญานาค
4.8.ลักษณะเป็นไข่
ซึ่งเพชรนาคานั้นจะมีสีสันที่สวยงามส่องแสงเป็นประกายมาก ยิ่งเอาไปส่องด้วยแสงไฟจะส่องเป็นประกายสีถึง 7 สีและจะมีความมันเงาแวววาว บางสัณฐานภายในคล้ายกับมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่หรือคล้ายกับมีดวงตาซ้อนอยู่ภายใน แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจนนั้นจะเป็นสัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย จึงนับว่าแปลกอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
มีผู้ที่มีความชำนาญในการดูพลอยบอกว่า ถ้าพลอยดีชั้นดีเวลาส่องดูจะเห็นเป็นแถบสายรุ้งถ้าเป็นพลอยรองลงมาเวลาส่องดูจะเห็นเป็นประกายของสี ทั้ง 7 สี เมื่อนำเพชรนาคานำมาส่องดู(แบบสัณฐานที่2)บางเม็ดด้านหนึ่งส่องดูเห็นเป็นแถบสีพอพลิกดูอีกด้านหนึ่งส่องดูเห็นเป็นประกายสีเหมือนมีชีวิตเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก
ซึ่ง หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา จ.อุดรธานีได้เล่าให้ฟังว่า”ลูกศิษย์ท่านได้นำไปตรวจสอบตรวจดูที่ต่างประเทศ ซึ่งผลปรากฏว่ามีคุณค่าเกือบจะเท่าอัญมณี แต่ก็ถือว่าเป็นแร่รัตนชาติชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า”
การแบ่งสีสันของเพชรนาคานั้นสามารถที่จะแบ่งออกได้ 3 ประเภทก็คือ 1.สีอ่อนแต่ใส 2.สีเข้ม 3.สีเข้มออกโทนเทาดำ จะมีอานุภาพพลังที่แตกต่างกันไปตามสีสันและตามขนาดสัณฐานด้วย ยิ่งออกเป็นสีในประเภทที่ 3.ยิ่งมีพลังลึกลับอาถรรพ์เพิ่มมากขึ้น
การแบ่งตามวรรณะตามโทนสีของเพชรนาคา สามารถแบ่งออกได้คือ
1.สีน้ำเงิน วรรณะกษัตริย์
2.สีฟ้าน้ำทะเล วรรณะเชื้อพระวงศ์
3.สีเขียว วรรณะนักบวช,ผู้ทรงศีล
4.สีแดง วรรณะนักรบ,ขุนพล
5.สีม่วง วรรณะขุนนาง
6.สีขาว วรรณะ กลาง
7.สีเหลือง,สีส้ม,สีชมพู วรรณะทั่วไป
ความหมายตามสีสันของเพชรนาคา ก็คือ
1.สีขาว หมายถึง พลังบารมีพุทธคุณหรือบารมีขององค์มหาพระโพธิสัตว์ ที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถือศีลภาวนาปฏิบัติธรรมลดละกิเลสตัณหาอุปทาน ให้วางจิตให้อยู่ในสายกลางไม่มีบุญไม่มีบาป มีสติเป็นผู้รู้(เกิดปัญญา)เท่าทันในสภาวะปัจจุบัน เกิดความใสสะอาดบริสุทธิ์ มีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ เหมาะกับผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวรวนเรไม่มีความมั่นใจ
2.สีแดง หมายถึง สีแห่งกำลังฤทธิ์อำนาจ กล้าหาญเด็ดเดียวความคิดฉับไหวเฉียบคมดุดัน ตัดสินใจรวดเร็วตรงเป้าหมายทันอกทันใจ เป็นที่เคารพน่าเกรงขาม ผู้ที่ได้ครอบครอบเพชรนาคาสีแดงนี้จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมฝึกฝนให้จิตมี”สติ”รู้เท่าทันอารมณ์มิเช่นนั้นจะเกิดผลกระทบที่ไม่ดีเกิดขึ้นทั้งตนเองและผู้อื่น สีแดงเป็นสีที่บ่งบอกถึง”โทสะ
จริต”ที่มีความต้องการให้ทันอกทันใจรวดเร็ว บางครั้งไม่เป็นตามที่เราต้องการก็จะเกิดอารมณ์โมโหโกรธขึ้นมานี้ละตัวร้าย ยิ่งเพชรนาคาที่มีสีเข้มขึ้นมากเท่าใดยิ่งจะมีพลังทางลบมากเท่านั้น มันจะเผาผลาญทั้งกายและจิตใจให้เกิดความหม่นหมองมืดมัวเศร้าสร้อยไปทางทุคติที่ไม่ดี
2.1.สีแดงพิเศษ…จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาวประมาณ 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่พลังอานุภาพฤทธิ์อำนาจสูงกว่าสีปกติมาก เพราะจะเป็น”เพชรนาคาสีแดงขอบดำ”ครูบาอาจารย์บอกว่า”เป็นพลัง
อนันตจักรวาล” ผู้ที่สามารถที่จะครอบครองได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสมมาจากอดีตชาติไว้มาก
หรือและต้องเป็นผู้ที่มี”จิต”เป็นฤทธิ์เดชตบะมหาอำนาจที่ฝึกฝนมาทางนี้ มิเช่นนั้นไม่สามารถที่จะรองรับพลังอานุภาพของเพชรนาคาที่มีพลังอนันตจักรวาลได้
3.สีเขียว หมายถึง อำนาจจิตที่มีความเมตตาเย็นกายเย็นจิต มีเดช ตบะบารมีของผู้ทรงธรรมที่มีจิตสัมผัสทาง
โลกลี้ลับเหล่าเทพพรหมเทวดา มีพลังอำนาจลี้ลับไหลเวียนเป็นกระแสล้อมรอบตัว ทำให้จิตมีความสงบเยือกเย็นมั่นคงแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ ยิ่งสีเข้มยิ่งมีอานุภาพของพลังที่สื่อผ่านมาจากเพชรนาคาจนเย็นยะเยือก เป็นที่เคารพนอบน้อมเป็นที่น่าเชื่อถือไม่ว่าจะทำสิ่งใดพูดจาอะไร เป็นเหตุที่เกิดมาจากการบำเพ็ญเพียรตบะบารมี”สัจจะอธิษฐาน”ที่ไม่พูดปดมดเท็จหลอกลวงตลบแตลง และเป็นสีของกายทิพย์ผู้เป็นจอมเทพใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้าทรงช้างเอราวัณ 3 เศียรที่มีอำนาจฤิทธานุภาพจ้าวแห่งสรวงสวรรค์แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
4.สีเหลือง หมายถึง ความนุ่มนวลมีสง่าราศีสีที่แสดงถึงความมั่งคั่งมีโชคมีลาภไหลมาเทมา มีความเจริญสดใสรุ่งเรืองดัง”ทองคำ”ที่มีคุณค่าในตัวเอง กระแสแห่งสียิ่งสีสดใสเท่าใดยิ่งมีกระแสแห่งโชคลาภทรัพย์สินเงินทองเปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น เป็นกระแสที่ทำให้น่าเกรงขามเคารพศรัทธาในความมีสง่าราศีดังเจ้าขุนคุณนายเจ้าพระยาผู้มีศักดิ์มีศรี จะได้รับการช่วยเหลืออนุเคราะห์สงเคราะห์ทำให้หน้าที่กิจการเจริญก้าวหน้าราบรื่น
หมายเหตุ…ผู้ใดได้เพชรนาคาสีเหลืองไว้ครอบครองจะต้องมีจิตใจที่ชอบทำบุญทำทานเป็นนิจวัตร มีน้อยทำน้อยมีมากเท่ามากตามกำลังของตนเองและต้องเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ยิ่งจะส่งผลให้เกิดกระแสแห่งทานบารมีที่บริสุทธิ์ส่งเสริมพลังเพชรนาคาสีเหลืองและองค์เทพที่รักษาดูแลมีบุญบารมีเพิ่มขึ้น
5.สีส้ม หมายถึงพลังแห่งการป้องกันภัยจากอาวุธภัยอันตรายต่างๆ เป็นพลังที่มีความคิดเด็ดเดียวกล้าหาญกล้าคิดกล้าทำกล้าที่จะเผชิญและเป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้ายุติธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เป็นกระแสพลังที่ป้องกันและลดสลายอุปสรรคพลังที่ไม่ดีที่เข้ามากระทบ กระทำให้บุคคลใดผู้ใดที่คิดจะมาเบียดเบียนต้องพ่ายแพ้ตนเองไปในที่สุด มีเทพที่มีคุณธรรมดูแลปกปักรักษา และเป็นสีแห่ง”พระบารมีขององค์พระสยามเทวาธิราช”องค์มหาเทพที่ดูแลปกปักรักษาคุ้มครองประเทศชาติ,ศาสนา,พระมหากษัตริย์ จากภัยอันตรายจากศัตรูผู้ไม่เป็นมิตรที่คิดมากระทำย่ำยี
6.สีม่วง หมายถึง พลังที่มีอำนาจลึกลับยากที่จะหยั่งถึงได้ ดังคำว่า”รู้หน้าไม่รู้ใจ” เกี่ยวข้องจิตวิญญาณโอปาติกะภูติผีปีศาจทำให้เกิดความเกรงกลัวไม่กล้าที่จะคิดไม่ดีกระทำไม่ดี เหมือนมีพลังลึกลับจ้องมองอยู่ ยิ่งสีที่เข้มจนเกือบดำไม่ต้องพูดถึงมีพลังลึกลับอานุภาพมากขึ้นเป็นทวีคูณ ป้องกันภูติผีปีศาจคุณผีคุณคนคุณไสยการกระทำย่ำยีต่างๆให้เสื่อมสลายหายไป และเป็นสีที่สามารถดูดซับพลังอำนาจลึกลับทั้งดีและไม่ดีได้ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของ
หมายเหตุ…บุคคลที่มีวาสนาครอบครองเพชรนาคาสีม่วงนี้จะเป็นคนที่มีพลังลึกลับหรือมีสัมผัสพิเศษเรื่องลึกลับบางคนอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้และเป็นคนที่ช่างคิดช่างตรึกตรองเจ้าวางแผน ถ้ามีมากจนกระทั่งออกไปทางหน้ากลัว อาจจะเกิดผลเสียหรือเกิดพลังที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ควรที่จะฝึกปฏิบัติจิตให้มีความเมตตาหนักแน่นปล่อยวางจากอารมณ์ที่มากระทบ ให้จิตมีแต่ความโปร่งใสบริสุทธิ์จะทำให้อานุภาพของเพชรนาคาสีม่วงนี้จะเปล่งประกายออกมาครอบคลุมทั่วร่างตลอดเวลา เสมือนเกราะแก้วคุ้มครอง
6.1.สีม่วงพิเศษ… จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาว 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่มีพลังฤทธิ์อำนาจแห่งความลึกลับแห่งจิตวิญญาณโอปาติกะ ป้องกันอาถรรพ์การกระทำคุณไสยคุณผีคุณคนการกระทำย้ำยีต่างๆผูก
พยนต์ฝังรูปฝังรอย ทำให้เกิดการสลายเสื่อมอานุภาพ ศัตรูหมู่มารต่างสยบไม่กล้าที่จะคิดร้ายกระทำไม่ดี มีอานุภาพแผ่พลังครอบคลุมเป็นปริมณฑลได้ทั้งบ้าน แต่ก็ขึ้นอยู่ผู้ที่เป็นเจ้าของครอบครองมีจิตสะอาดอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่เป็นหลัก ยิ่งที่เป็นผู้ที่ปฏิบัติทางจิตจะยิ่งเปล่งประกายของอานุภาพรัศมีกว้างขึ้น
7.สีฟ้า หมายถึง ถึงผู้ที่มีบุญวาสนาที่ได้สร้างสมมาในอดีต มีน้ำใจกว้างขวางใสสะอาด น่าเคารพนอบน้อมดังเพื่อนสนิทมิตรสหายสนิทชิดเชื้อกันมานาน พูดจาเจรจาพาทีเข้าทีเข้าท่าติดต่อค้าขายคล่องตัวลื่นไหลสะดวก เป็นผู้ที่
มีบุญฤทธิ์ที่เหล่าเทพยดาดูแลค้ำชู เดินทางไปไหนมาจะมีความสะดวกสบาย
8.สีน้ำเงิน หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมีสูงมีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์บารมี เป็นผู้นำผู้ปกครองมีทั้งเดชตบะบารมีเป็นที่เคารพน่าเกรงขามมีขุมทรัพย์มหาศาลที่ซ้อนเร้นอยู่ ดังร่มโพธิ์ร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านร่มเย็นที่พักพิงแก่สรรพ
สัตว์ มีพลังที่ป้องกันศัตรูภัยอันตรายต่างๆทั้งแปดทิศ จะต้องมีเทพพรหมเทวดาดูแลปกปักรักษาตลอดเวลาเสริมสร้างบารมียิ่งขึ้น
หมายเหตุ…ผู้ที่บุญวาสนาได้ครอบครองจะต้องเป็นผู้ที่บุญวาสนาบารมีมาในอดีตชาติที่สร้างสมมานาน และต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประจำใจ มิฉะนั้นจะเกิดอาถรรพ์ที่ไม่ดีแก่ผู้ที่ครอบครองเกิดความวิบัติ อย่าหลงอดีตอย่าบ้าอำนาจอย่าอวดเก่งหลงตัวเอง จงทำจิตให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดคือการปล่อยวางจากกิเลสตัณหาอุปทาน
9.สีชมพู หมายถึง สีแห่งพลังอานุภาพเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์มหานิยมนิ่มนวลอ่อนโยน มีความโดดเด่นสะดุดตาดึงดูดสำหรับเพศตรงข้ามและผู้คนรอบข้างผู้ที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ผู้คนรอบข้างเกิดความเมตตาช่วยเหลืออย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยิ่งสีชมพูเข้มออกสดใสยิ่งมีพลังมหาเสน่ห์ดึงดูดเป็นที่รักใคร่เป็นที่พึงปรารถนาดังนางพญาที่สูงศักดิ์สง่างดงามอย่างน่าประหลาด
หมายเหตุ…ผู้ที่ได้ครอบครองจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีงาม ไม่นำพลังไปใช้ในทางไม่ดีดัง”ปากหวานก้นเปรี้ยวเลี้ยวตลบแตลง”ยิ่งกระทำกับเพศตรงข้ามจนกระทั่งผิดศีลในข้อที่ 3 จนเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ บั้นปลายท้ายสุดแล้วจะอเน็จอนาถน่าสังเวชเป็นอย่างมาก เมื่อผลกรรมนั้นมาตอบสนอง
10.สีชา(สีพิเศษ) หมายถึง สีที่มีพลังอานุภาพสามารถที่จะยับยั่งอารมณ์ความคิดที่ใช้แต่อารมณ์ ทำให้สติปัญญาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ถูกที่ควรที่ตามไม่ทัน จนกระทำพลาดพลั้งผิดพลาดไปจนเกิดความเสียหาย เหมาะกับผู้ที่ขาดแหล่งพึงพิงทางจิตใจหรือผู้ที่มีจิตใจเลื่อนลอยเสร้าเสียใจผิดหวังท้อแท้ และมีความพิเศษก็คือจะมีอานุภาพทางมีโชคมีลาภอย่างที่คาดไม่ถึง ( เป็นสีที่หาพบได้ยาก )
แต่ตามความเป็นจริงแล้วในการบูชาเพชรนาคาหรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนั้น มิใช่บูชาตามความหมายของสีว่าสีนี้ดีอย่างนี้แบบนั้นหรือสีที่เหมาะกับวันเกิดเดือนเกิดแล้วจะได้ตามนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสมกันตั้งแต่ในอดีตชาติและเคยได้เป็นเจ้าของกันมาก่อน ผนวกในปัจจุบันเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในศีลในธรรมเป็นที่ตั้ง มิฉะนั้นแล้วจะเกิดอาถรรพ์เพทภัยไม่ดีกับตนเอง จึงจำจะต้องมีการอธิษฐานจิต”เสี่ยงบารมี”ตามกำลังบุญวาสนาบารมีของตนเองว่า”สีใดแบบใด”จะคู่ควรกับบุญวาสนาบารมีของตัวเรา หรือได้คำแนะนำจากครูบาอาจารย์ผู้รู้เท่านั้น.
.การอธิษฐานจิตบูชา.
การอธิษฐานจิตบูชา”เพชรนาคา”นั้นมีเครื่องสักการะบูชา 1.ธูป 5 ดอก ,2.เทียน 2 เล่ม ,3.พวงมะลิหรือพวงมาลัย จุดธูปเทียนตั้ง”นะโม 3 จบ ,ท่องไตรสรณคม , อาราธนาศีล 5 , บทพุทธคุณ , ธรรมคุณ , สังฆคุณ และคาถาบูชา อม อุ อะ มะ นะ โม พุท ธา ยะ ยะ สะ สุ มัง ” ต่อด้วยการตั้งจิตอธิษฐานตามที่ต้องการ(ไม่เกินกำลังของกฏแห่งกรรม)
ต้องการทำนำมนต์ โดยการหาขันใส่น้ำสะอาด อัญเชิญ”เพชรนาคา”ลงแช่ในน้ำ พร้อมกับการจุดธูปเทียนบูชาท่องคาถา พร้อมกับสำรวมกายวาจาใจให้สงบนิ่งสักอึดใจหนึ่ง แล้วตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ตั้งมั่นจบด้วยบทแผ่เมตตา เมื่อสำเร็จสมหวังดังที่ได้อธิษฐานทุกครั้ง จะต้องทำบุญใส่บาตร,ถวายสังฆทาน,ถวายพระพุทธรูป เป็นต้น อุทิศถวายให้”พระแม่ธรณี,หลวงปู่เทพโลกอุดร,ปู่ทวดนาคราชสุนันโท,นาคานาคีเงือกบริวารทั้งหลาย ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรเป็นที่ตั้ง” ซึ่งจะเป็นการสร้างกุศลผลบุญบารมีไปในตัว
การอธิษฐานเพชรนาคา 9 สี…นำมาบรรจุรวมกันในภาชนะเดียวกัน แล้วอธิษฐานและหมุนตามเข็ม
นาฬิกา คือหมุน 1 ครั้งป้องกันภัย ,หมุน 2 ครั้งป้องกันภูติผีปีศาจ ,หมุน 3ครั้งขอโชคลาภ ,หมุน 4 ครั้งสะท้อนป้องกันสิ่งไม่ดี( ป้องกันการทำร้ายจากศัตรู ) ,หมุน 5 ครั้งป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน ,หมุน 6 ครั้งรักษาโรค ,หมุน 7ครั้ง
ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ( สามี,ภรรยารัก ) ,หมุน 8 ครั้งถ้าไม่สบายรักษาตนเอง ,หมุน 9 ครั้งชนะศัตรูหมู่มาร
หลังจากเสร็จสิ้นจากการที่นำเพชรนาคาติดตามตัวเช่น เป็นเครื่องประดับเป็นหัวแหวน,เป็นจี้ห้อยคอ,เป็นสร้อยข้อ
มือก็ตาม หรือนำมาบูชาเอาไว้ที่บ้าน ควรที่จะจัดหาพานรองรับตามความเหมาะสมวางผ้าแดงผ้าขาวรองพื้นก่อนที่นำเพชรนาคาหรือเครื่องประดับที่มีเพชรนาคาวางลงบนพาน และจัดหาขันหรือถ้วยใส่น้ำสะอาดโรยมะลิร่วงวางบูชาไว้ตรงด้านหน้าพานที่วางบรรจุเพชรนาคาอยู่ ควรจะเปลี่ยนน้ำสะอาดทุกวันหรือวันเว้นวันตามความเหมาะสม น้ำที่วางบูชาเพชรนาคานี้เป็นน้ำมนต์ที่มีพลังอานุภาพ ใช้ดื่มกินอาบราดทั่วตัวไล่สิ่งไม่ดีสิ่งไม่ดีเสนียดจัญไรที่มาเกาะติดตามตัวเรา เพื่อเป็นสิริมงคลเป็นเกราะคุ้มกันปกป้อง พร้อมระลึกขอบารมีปู่ทวดนาคราชสุนันโทกำหนดเห็นเป็นรูปองค์พญานาคมาขดล้อมรอบตัวของเราส่องแสงสว่างเป็นรัศมีกระจายรอบตัวประมาณ 1 วา
หรืออาจจะหาขันหรือภาชนะที่ใส่น้ำสะอาด พร้อมขันหรือภาชนะเล็กที่ลอยน้ำได้เพื่อนำเพชรนาคาหรือเครื่องประดับมีเพชรนาคาวางอยู่ในขันหรือภาชนะที่ลอยน้ำได้อีกทีหนึ่ง
.บ่งบอกลักษณะผู้เป็นเจ้าของ.
“เพชรนาคา”นั้นสามารถบ่งบอกลักษณะนิสัยหรือข้อติดขัด(วาระกรรม)ของผู้ที่ครอบเป็นเจ้าของ เพราะธาตุกายสิทธิ์นี้ เมื่อได้เลือกผู้ใดบุคคลใดจะ”เชื่อม”กำลังบารมีซึ่งกันและกันคล้ายดังเป็นดวงจิตเดียวกัน มีพลังอำนาจที่จะบ่งบอกจุดบกพร่องจุดที่จะต้องพัฒนาเพื่อยกระดับภูมิจิตภูมิธรรมและเพื่อแก้ไขสภาวะกรรมที่เป็นอกุศลที่ได้ตามติดมาจากอดีตที่จะส่งผลในชาติปัจจุบันนี้(ไม่เกินกฎแห่งกรรมที่หนัก)
ที่สำคัญเพชรนาคานี้สามารถ”ขยายโตใหญ่และเล็กลงได้ เกิดความขุ่นใสเปลี่ยนสีได้”ตามระดับภูมิจิตภูมิธรรมของผู้ที่ครอบครองประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมแค่ไหน
เพชรนาคามีพลังงานของธรรมชาติที่สะสมประมวลธาตุมานานหลายล้านล้านปีประมาณมิได้ ย่อมสามารถที่จะ ”เปิดสภาวะกรรม”ให้รู้ให้เห็นได้และมีพลังที่สามารถลดกระกรรมหนักให้สลายเป็นเบาได้ แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวะกฏแห่งกรรมได้ นอกจาก”จิต”ผู้เป็นเจ้าของต้องเป็นผู้พฤติปฏิบัติในแนวทาง” ศีลอริยะมรรค”ก่อกำเนิดพลัง”โลกุตระ”ยกภูมิจิตยกภูมิธรรมให้จากอบายภูมิมีสัตว์และสัตว์เดรัจฉานเป็นการ”อโหสิกรรม”กันไป
.พิสูจน์.
วันที่ 26 มกราคม 2544 เวลาประมาณเกือบบ่ายสองโมง มีคนผู้หนึ่งโทรมาคุยเรื่องเพชรนาคาและเรื่องพญานาค (ต้องขออภัยจำชื่อมิได้ แต่มีเบอร์หมายเลขโทรศัพท์ 01 315-5571) คุยกันถึงรูปภาพพญานาคของนายทหารอเมริกันที่จับปลาประหลาดได้ที่แม่น้ำโขงฝั่งประเทศลาว ซึ่งจะมีลักษณะลำตัวแบนและยาวมากก็ยังมีข้อถกเถียงเป็นอย่างมากฝ่ายหนึ่งบอกว่าเป็นปลาโบราณ อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์พญานาคที่จะแสดงให้ชาวโลกรู้ว่ายังมีเผ่าพันธุ์พญานาคมิใช่เรื่องงมงาย เรื่องจะจริงเท็จเพียงใดก็ไม่ทราบ แต่ทุกวันเข้าพรรษาและวันออกพรรษาชาวริมแม่น้ำโขงจะเห็นปลาประหลาดพวกนี้ว่ายกันมาเป็นฝูง แล้วก็ว่ายหายตัวไประหว่างที่เห็นตัวนั้นก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรคงจะกลัวอาถรรพ์ ดังเรื่องบั้งไฟพญานาคที่ทุกปีของวันออกพรรษาของลาวจะเกิดมีลูกไฟหรือดวงไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขงสู่อากาศแล้วหายไปเลย ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้จนกระทั่งบันนี้เพราะหาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้
มาถึงเรื่องเพชรนาคา บุคคลผู้นี้บอกว่าเพชรนาคามิใช่เป็นแก้ว แต่จะเป็นหินที่ใสเป็นแก้วเพราะเขาได้ทดลองใช้ไฟเผาดู ถ้าเป็นแก้วจะหลอมละลายมีการหดตัวของเนื้อแก้ว ส่วนเพชรนาคานี้เมื่อโดนไฟเผารนจะไม่มีการหดตัวหรือละลายเหมือนแก้ว แต่จะกลายเป็นสีแดงจากการทนความร้อนสูงที่เผาไหม้จนกระทั่งในสุดท้ายแตกออกมาเป็นเสี่ยงเสี่ยง
ผมจึงถามว่าคุณทดลองเผาเพชรนาคาเองใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ผมจึงต้องบอกเขาให้จุดธูปเทียนบูชาเพื่อขอขมาในสิ่งที่กระทำไปแล้ว โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มิเช่นนั้นจะมีโทษในภายหลัง หลังจากที่กำลังบุญดวงชะตาบารมี
ของตนเองตกต่ำลงมา อาจจะเกิดในลักษณะผีซ้ำด้ามพลอยหรืออาจจะมีเหตุการณ์ที่จะทำให้ดวงชะตาชีวิตหน้าการงานกำลังรุ่งเรืองกับติดขัดไม่สมบูรณ์เกิดสะดุดอยู่ตลอดเวลา เพราะไปลบลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามก็ยังมีผลที่ติดตามมา ( มีเนื้อเรื่องต่อ )
.ผลมณีนาคราช.
และอีกอย่างที่แปลกประหลาด เมื่อดูก้อนดินที่แข็งคล้ายหินดูจากภายนอกดูแล้วจะมีความรู้สึกว่าเก่าคงมีอายุนานมาก พอนำมากระเทาะดูเนื้อภายในแล้วไม่น่าที่จะมีอายุตามที่คิด แต่ก็คงมีอายุนานมากพอสมควรซึ่งกลายสภาพแข็งคล้ายหินได้ และที่สำคัญถ้าคิดว่าเป็นการทำขึ้นมาจะทำได้อย่างไรที่จะทำให้ภายในกลวงและมีผงติดรวมกับเพชรนาคาได้…! คล้ายดังผลมณีโคตรที่มีขนาดตั้งแต่ลูกมะพร้าวกระทั่งเท่าไข่ไก่ ภายในจะมีผงสีเหลืองบางสีขาวบางและสามารถที่จะละลายน้ำได้ อธิษฐานกินเป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ บางก้อนเมื่อกระเทาะออกมานำผงไปละลายน้ำจะมีบางส่วนที่ไม่ละลาย จะมีลักษณะคล้ายเม็ดกรวดเป็นแก้วขาวใสสัมผัสได้ว่าเป็น”พระธาตุ”มิใช่จะมีอยู่ในทุกก้อน ( มีเนื้อเรื่องต่อ )
.ลูกแก้วเสด็จหรือเพชรนาคา !.
เป็นวัตถุธรรมชาติที่มีพลังอานุภาพอยู่ในตนเองต้องอาศัยระยะเวลานานหลายพันหลายหมื่นปีในการรวมธาตุ
ทั้งสี่จนแปรสภาพให้มีความแข็งแกร่งสดใสงดงามเช่นนี้ ได้ดูดซับแร่ธาตุต่างๆและพลังสุริยันจันทราสะสมจนเกิดมี
พลังอานุภาพในตนเอง และมีเทพเทวดารักษามาสถิตย์ดูแลรักษาเพราะเป็นทรัพย์สมบัติของพระศาสนาที่รอเวลาปรากฏขึ้นมาทำประโยชน์ให้กับพระศาสนา ซึ่งเทพเทวดาในแต่ละองค์ย่อมมีอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์และคุณธรรมที่แตกต่างกันไป ก็ยังมีนิสัยในกมลสันดานของจิตอยู่บ้างคล้ายกับมนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างคนเรา
ผู้ที่ได้มีวาสนาครอบครองควรพึงสังวรระมัดระวังให้ดีอยู่ในศีลในธรรมอย่าให้ออกนอกลู่นอกทางจะไม่เป็นมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เพราะอานุภาพของเพชรนาคาที่จะเปล่งอานุภาพได้เต็มที่นั้นจะต้องประกอบไปด้วยคุณธรรมและบารมีของผู้ที่ครอบครอง
เพชรนาคานั้นเมื่อนำมาโดนแสงสว่างยิ่งส่องแสงเป็นประกายสวยงามแวววาวจับตามากขึ้น นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก และมีความแข็งแรงทนทานต่อการตกหล่นกระทบกัน เมื่อนำเพชรนาคามาลองกรีดบนแก้วน้ำจะทำให้แก้วน้ำเป็นรอยกรีด ส่วนเพชรนาคาจะไม่เป็นรอยขูดขีดและที่สำคัญตรงรอยขอบของเพชรนาคาแบบ
สัณฐานที่.2 จะมีความมันลื่นไม่สากมือเหมือนรอยเจียระไนหรือขอบรอยอัดของพลอยอัด(มีการทำเลียนแบบแล้วนำเข้าพิธีปลุกเสก)
เพชรนาคานั้นจะมีความพิเศษซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมีและการประพฤติปฏิบัติของผู้ที่ครอบครองเพชรนาคา เพราะสามารถที่จะเปลี่ยน”สี”จากสีอ่อนเป็นสีเข้มหรือเปลี่ยนเป็นสีต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจและเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือใสตามสภาวะจิตของผู้ครอบครอง ที่สำคัญไปกว่านั้นสามารถที่จะ”เสด็จ”ไปมาเพิ่มขึ้นได้คล้ายดัง
”พระธาตุเสด็จ” คงเคยจะได้ยินคำกล่าวจากผู้เฒ่าผู้แก่หรือครูบาอาจารย์ที่ได้พบเห็น”ลูกแก้วเสด็จ”ผุดมาจากพื้นดินแล้วพุ่งลอยขึ้นไปเป็นดวงแสงสว่างไสวลอยวนเวียนไปมาแล้วก็หายไป แต่ก็มีครูบาอาจารย์บางองค์ที่มีลูกแก้วเสด็จไว้ครอบครองเช่น พระอาจารย์บรรลังก์ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทยโสธร จ.ยโสธร เป็นศิษย์เจ้าคุณโฮมอดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯสายพระกรรมฐานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้มีลูกแก้วเสด็จมาปรากฏไว้ให้ท่านพระอาจารย์ครอบครองไว้จำนวนหนึ่งนับว่าเป็นบุญวาสนาบารมีธรรมของพระอาจารย์บรรลังก์
“ลูกแก้วเสด็จ”อาจจะเป็นหนึ่งใน”เพชรนาคา”แบบสัณฐานที่.3 (กลมเป็นลูกแก้ว) ก็เป็นไปได้ เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพมีเหล่าเทพเทวดาดูแลรักษา ที่จะนำมามอบให้กับผู้ที่มีบุญวาสนาบารมีธรรมหรือเคยเป็นเจ้าของดังเดิมมาจากในอดีตชาติปางเก่า ( มีเนื้อเรื่องต่อ )