- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: รวมกาย รวมบุญ
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 19
- ดูโปรไฟล์ 12866
- อายุ 51 ปี
- วันเกิด เมษายน 6, 1973
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
เพื่อน
รวมกาย รวมบุญ ยังไม่มีเพื่อนในตอนนี้
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
กระทู้ที่ฉันเริ่ม
"The Middle Way"
26 July 2010 - 09:23 AM
ดูรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงเช้าวันนี้...ได้พูดถึง The Middle Way อ.ภูเรือ จ.เลย เรื่องที่ว่าเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ชาวต่างชาติจัดให้เป็นอันดับหนึ่งของโลก
ใช้ผิวหนังมองแทนดวงตา พลังลี้ลับของคนป่าแห่งซามัว
13 February 2010 - 02:19 PM
ใช้ผิวหนังมองแทนดวงตา พลังลี้ลับของคนป่าแห่งซามัว
เรียงเรียบใหม่โดย...ชมรมผู้สนใจพลังลี้ลับ...
ซามัว เป็นประเทศที่ประกอบด้วย หมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ชาวซามัวเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมโบราณของ "อาณาจักรมู" ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่ในยุคกำเนิดมนุษย์คนแรก ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ได้เคยมีความเจริญสูงสุดในเรื่องของศาสนาหลักคำสอนและความก้าวหน้าในเรื่องดาราศาสตร์ และพลังแห่งจักรวาล
อาณาจักรมู หรือ นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "อาณาจักรแห่งดวงอาทิตย์" ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิก และได้จมลงสู่ท้องทะเลเมื่อประมาณ 11,500 ปี ที่ผ่านมา การเผยแผ่อิทธิพลคำสอนในเรื่องของศาสนา ดาราศาสตร์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ของอาณาจักรมู ถูกนำเข้ามาทางพม่า อินเดีย ไอยคุป ธิเบต จีน ญี่ปุ่นและอาณาเขตกระจายโดยรอบของอาณาจักรมู (สามารถติดตามอ่านเรื่องอาณาจักรมูได้ในกระทู้อื่น)
ก่อนหน้านี้หลายปีมีรายงานมาว่า ในซามัว มีชาวซามัวที่เป็นคนตาบอดสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ โดยมองผ่านทางผิวหนังของเขา รายงานนี้ถูกหัวเราะเยาะเย้ยหยัน และมองว่าเป็นเรื่องตลกขบขันของนักวิทยาศาสตร์และประชาชนส่วนใหญ่ เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในหลักความเชื่อของบรรดานักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น
รายงานต่อไปนี้เป็นรายงานของ นิวยอร์ก เวิลด์ จากปารีส ซึ่งรายงานถึงความสำเร็จของปรากฏการณ์ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซามัว รายงานนี้เป็นคำตอบให้กับคำหัวเราะเย้ยหยันที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่อรายงานของคนป่าแห่งซามัว
บทความนั้นมีอยู่ว่า... "คุณไม่เพียงมีดวงตาในส่วนศรีษะ แต่คุณยังมีดวงตาในส่วนที่เป็นร่างกายของคุณด้วย ร่างกายของคุณเต็มไปด้วยดวงตา! และดวงตาเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้! หากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธี!.."
มีข้อสรุปจากนักวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ได้เป็นพยานในการทดลองของจูลส์ โรเมน(Jules Romain) นักเขียนหนังสือเกี่ยวกับดวงตาพิเศษนี้ว่า ใต้ผิวหนังของเรามี โอเซลลัส(ocelles) ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีขนาดเล็กมาก ที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นที่มาของ "ดวงตาพิเศษ"
ในรายงานมีบันทึกว่า เอ็ม. โรเมน (M. Romain)ได้ประสบความสำเร็จในการฝึกให้คนหลายคนใช้ดวงตาพิเศษนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาสามารถแยกสีและอ่านออกขณะที่ถูกปิดตาอย่างมิดชิด บางคนสามารถมองเห็นได้ด้วยแก้ม นิ้วมือ หรือจมูก คนหนึ่งสามารถบอกลักษณะของหมวกได้ด้วยระยะไกลกว่า 4 หลา ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกพลังสมาธิโดยการเพ่งไปยังจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย ซึ่งต้องใช้พลังจากศูนย์กลางของจิตใจเป็นหลัก ***การฝึกเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมาถูกสะกดจิตแต่อย่างใด***
การทดลองครั้งแรกได้ผลได้ไม่เด่นชัดนัก แต่การทดลองในครั้งต่อไป ๆ ใด บางคนมีการพัฒนามากขึ้น และจากการทดลองค้นพบได้ว่า ยิ่งคนที่ถูกนำมาฝึกนี้ได้รับการฝึกมากขึ้นเท่าไหร ก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการมองเห็นขยายวงออกไปได้เรื่อยๆ...
ซึ่งบัดนี้เป็นที่พิสูนจ์ได้แน่ชัดแล้วว่า การใช้ผิวหนังในการมองแทนดวงตานั้นสามารถทำได้จริง!!! ดวงตาพิเศษนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่ได้รับการฝึกมาอย่างถูกวิธี ซึ่งการฝึกแบบนี้ชาวซามัวได้รับการฝึกสืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่าหลายพันปีแล้ว...
เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ กลับเหมือนยิ่งถอยหลังลงเรื่อยๆ มากขึ้นเท่านั้น วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จึงใช้วิธีเดียวที่จะหาทางพัฒนาองค์ความรู้ให้ก้าวไกลกว่าเป็นไปได้ นั้นก็คือ การศึกษาเรื่องในอดีตที่เคยเกิดขึ้น อารยธรรมโบราณที่สูญสลาย แล้วทำความเข้าใจมันให้รู้ซึ้ง แล้วนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในยุคของปัจจุบัน
เรียงเรียบใหม่โดย...ชมรมผู้สนใจพลังลี้ลับ...
ซามัว เป็นประเทศที่ประกอบด้วย หมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ชาวซามัวเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอารยธรรมโบราณของ "อาณาจักรมู" ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่ในยุคกำเนิดมนุษย์คนแรก ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ได้เคยมีความเจริญสูงสุดในเรื่องของศาสนาหลักคำสอนและความก้าวหน้าในเรื่องดาราศาสตร์ และพลังแห่งจักรวาล
อาณาจักรมู หรือ นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "อาณาจักรแห่งดวงอาทิตย์" ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิก และได้จมลงสู่ท้องทะเลเมื่อประมาณ 11,500 ปี ที่ผ่านมา การเผยแผ่อิทธิพลคำสอนในเรื่องของศาสนา ดาราศาสตร์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ของอาณาจักรมู ถูกนำเข้ามาทางพม่า อินเดีย ไอยคุป ธิเบต จีน ญี่ปุ่นและอาณาเขตกระจายโดยรอบของอาณาจักรมู (สามารถติดตามอ่านเรื่องอาณาจักรมูได้ในกระทู้อื่น)
ก่อนหน้านี้หลายปีมีรายงานมาว่า ในซามัว มีชาวซามัวที่เป็นคนตาบอดสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ โดยมองผ่านทางผิวหนังของเขา รายงานนี้ถูกหัวเราะเยาะเย้ยหยัน และมองว่าเป็นเรื่องตลกขบขันของนักวิทยาศาสตร์และประชาชนส่วนใหญ่ เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในหลักความเชื่อของบรรดานักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น
รายงานต่อไปนี้เป็นรายงานของ นิวยอร์ก เวิลด์ จากปารีส ซึ่งรายงานถึงความสำเร็จของปรากฏการณ์ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซามัว รายงานนี้เป็นคำตอบให้กับคำหัวเราะเย้ยหยันที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่อรายงานของคนป่าแห่งซามัว
บทความนั้นมีอยู่ว่า... "คุณไม่เพียงมีดวงตาในส่วนศรีษะ แต่คุณยังมีดวงตาในส่วนที่เป็นร่างกายของคุณด้วย ร่างกายของคุณเต็มไปด้วยดวงตา! และดวงตาเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ได้! หากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกวิธี!.."
มีข้อสรุปจากนักวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ได้เป็นพยานในการทดลองของจูลส์ โรเมน(Jules Romain) นักเขียนหนังสือเกี่ยวกับดวงตาพิเศษนี้ว่า ใต้ผิวหนังของเรามี โอเซลลัส(ocelles) ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีขนาดเล็กมาก ที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นที่มาของ "ดวงตาพิเศษ"
ในรายงานมีบันทึกว่า เอ็ม. โรเมน (M. Romain)ได้ประสบความสำเร็จในการฝึกให้คนหลายคนใช้ดวงตาพิเศษนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาสามารถแยกสีและอ่านออกขณะที่ถูกปิดตาอย่างมิดชิด บางคนสามารถมองเห็นได้ด้วยแก้ม นิ้วมือ หรือจมูก คนหนึ่งสามารถบอกลักษณะของหมวกได้ด้วยระยะไกลกว่า 4 หลา ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกพลังสมาธิโดยการเพ่งไปยังจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย ซึ่งต้องใช้พลังจากศูนย์กลางของจิตใจเป็นหลัก ***การฝึกเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมาถูกสะกดจิตแต่อย่างใด***
การทดลองครั้งแรกได้ผลได้ไม่เด่นชัดนัก แต่การทดลองในครั้งต่อไป ๆ ใด บางคนมีการพัฒนามากขึ้น และจากการทดลองค้นพบได้ว่า ยิ่งคนที่ถูกนำมาฝึกนี้ได้รับการฝึกมากขึ้นเท่าไหร ก็ยิ่งพัฒนาความสามารถในการมองเห็นขยายวงออกไปได้เรื่อยๆ...
ซึ่งบัดนี้เป็นที่พิสูนจ์ได้แน่ชัดแล้วว่า การใช้ผิวหนังในการมองแทนดวงตานั้นสามารถทำได้จริง!!! ดวงตาพิเศษนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่ได้รับการฝึกมาอย่างถูกวิธี ซึ่งการฝึกแบบนี้ชาวซามัวได้รับการฝึกสืบทอดกันมาไม่ต่ำกว่าหลายพันปีแล้ว...
เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ กลับเหมือนยิ่งถอยหลังลงเรื่อยๆ มากขึ้นเท่านั้น วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จึงใช้วิธีเดียวที่จะหาทางพัฒนาองค์ความรู้ให้ก้าวไกลกว่าเป็นไปได้ นั้นก็คือ การศึกษาเรื่องในอดีตที่เคยเกิดขึ้น อารยธรรมโบราณที่สูญสลาย แล้วทำความเข้าใจมันให้รู้ซึ้ง แล้วนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในยุคของปัจจุบัน
ศธ.มอบ มจร.รื้อวิชาพระพุทธศาสนาใหม่ ป.1-ม.6
12 February 2010 - 12:38 PM
ศธ.มอบ มจร.รื้อวิชาพระพุทธศาสนาใหม่ ป.1-ม.6
9 February 2010
(9 ก.พ.) พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มอบหมายให้ มจร.ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ เพื่อให้การเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่นนั้นๆ เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละโรงเรียนได้พบปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนพระพุทธศาสนา 2 เรื่อง คือ
1. การเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ให้เวลาน้อย และในระดับม.ปลาย โดยเฉพาะชั้น ม. 5-6 มีการสอนสังคมศึกษาแบบรวมๆโดยไม่ได้มีการสอนวิชาพระพุทธศาสนาเป็นการเฉพาะ
2' หลักสูตรควรจะต้องมีการปรับปรุงให้เกิดความทันสมัย เพราะเด็กเรียนแล้วรู้สึกเบื่อ ซึ่งขณะนี้หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนา ฉบับใหม่ มจร.ได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มใช้งานได้จริงในเดือน พฤษภาคม นี้
พระธรรมโกศาจารย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาฉบับใหม่ มจร.จะใช้หลักของภาวนา 4 คือ กายภาวนา หมายถึง พฤติกรรม ร่างกายที่แข็งแรง ศีลภาวนา หมายถึง หลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น จิตภาวนา หมายถึง สุขภาพจิตที่ดี ปัญญา หมายถึง การรู้ เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้น และทางแก้ปัญหา เป็นแกนหลัก ควบคู่กับการทำกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมากขึ้น รวมทั้งจะมีการฝึกวิธีคิดให้แก่เด็ก ใน
ระดับชั้น ป.1-3 จะเน้นเรื่องการบริหารจิตเจริญปัญญา เช่น การร้องเพลงสร้างสมาธิ เป็นต้น
ระดับชั้น ป.4-6 เน้นการปฏิบัติตนเองการเป็นชาวพุทธที่ดี การเป็นคนดีควรทำอย่างไร
ระดับชั้น ม.1-3 เรียนรู้เรื่องของการเข้าสังคมร่วมกับผู้อื่น และ
ระดับชั้น ม.4-6 จะเน้นนักเรียนให้เรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองศึกษาต่อ
ทั้งนี้ ในหลักสูตรใหม่ยังคงจะต้องมีเรียนพุทธประวัติ หน้าที่ชาวพุทธ หลักธรรมคำสอน เป็นความรู้พื้นฐาน เพื่อให้เด็กเกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วย
“สิ่งที่เราจะเน้นในหลักสูตรใหม่ คือ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่มีมากขึ้น ที่จะฝึกให้เด็กได้ปฏิบัติจริงได้เห็นของจริง ที่จะนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 3 หลักสูตรใหม่จะเน้นให้เด็กได้เรียนรู้ให้ได้ว่าอะไรควรเชื่อและอะไรไม่ควรเชื่อ ซึ่งจะต้องนำหลักเหตุผลทางพระพุทธศาสนามาสอนให้เขาเข้าใจ พร้อมตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้เด็กได้เห็น เช่น การไม่หลงเชื่อคนในเว็บไซต์จนเป็นเหตุให้ไปสู่การหลอกลวง เป็นต้น ส่วนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึง 6 จะเน้นกิจกรรมที่ทำให้เด็กรู้ตัวตนของตนเองมากขึ้น เช่น ให้เด็กได้คิดว่าตนเองชอบอะไรอยากเป็นอะไร อยากที่จะศึกษาต่อด้านไหน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาตมาหวังว่าการปรับหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาครั้งนี้น่าจะช่วยให้เด็กไทย มีคุณธรรม จริยธรรม และรู้จักคิดแก้ปัญหาของตนเองได้มากขึ้น”อธิการบดี มจร.กล่าว
ที่มา: คมชัดลึก
9 February 2010
(9 ก.พ.) พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มอบหมายให้ มจร.ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ เพื่อให้การเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่นนั้นๆ เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละโรงเรียนได้พบปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนพระพุทธศาสนา 2 เรื่อง คือ
1. การเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ให้เวลาน้อย และในระดับม.ปลาย โดยเฉพาะชั้น ม. 5-6 มีการสอนสังคมศึกษาแบบรวมๆโดยไม่ได้มีการสอนวิชาพระพุทธศาสนาเป็นการเฉพาะ
2' หลักสูตรควรจะต้องมีการปรับปรุงให้เกิดความทันสมัย เพราะเด็กเรียนแล้วรู้สึกเบื่อ ซึ่งขณะนี้หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนา ฉบับใหม่ มจร.ได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มใช้งานได้จริงในเดือน พฤษภาคม นี้
พระธรรมโกศาจารย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาฉบับใหม่ มจร.จะใช้หลักของภาวนา 4 คือ กายภาวนา หมายถึง พฤติกรรม ร่างกายที่แข็งแรง ศีลภาวนา หมายถึง หลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น จิตภาวนา หมายถึง สุขภาพจิตที่ดี ปัญญา หมายถึง การรู้ เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้น และทางแก้ปัญหา เป็นแกนหลัก ควบคู่กับการทำกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมากขึ้น รวมทั้งจะมีการฝึกวิธีคิดให้แก่เด็ก ใน
ระดับชั้น ป.1-3 จะเน้นเรื่องการบริหารจิตเจริญปัญญา เช่น การร้องเพลงสร้างสมาธิ เป็นต้น
ระดับชั้น ป.4-6 เน้นการปฏิบัติตนเองการเป็นชาวพุทธที่ดี การเป็นคนดีควรทำอย่างไร
ระดับชั้น ม.1-3 เรียนรู้เรื่องของการเข้าสังคมร่วมกับผู้อื่น และ
ระดับชั้น ม.4-6 จะเน้นนักเรียนให้เรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองศึกษาต่อ
ทั้งนี้ ในหลักสูตรใหม่ยังคงจะต้องมีเรียนพุทธประวัติ หน้าที่ชาวพุทธ หลักธรรมคำสอน เป็นความรู้พื้นฐาน เพื่อให้เด็กเกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วย
“สิ่งที่เราจะเน้นในหลักสูตรใหม่ คือ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่มีมากขึ้น ที่จะฝึกให้เด็กได้ปฏิบัติจริงได้เห็นของจริง ที่จะนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 3 หลักสูตรใหม่จะเน้นให้เด็กได้เรียนรู้ให้ได้ว่าอะไรควรเชื่อและอะไรไม่ควรเชื่อ ซึ่งจะต้องนำหลักเหตุผลทางพระพุทธศาสนามาสอนให้เขาเข้าใจ พร้อมตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้เด็กได้เห็น เช่น การไม่หลงเชื่อคนในเว็บไซต์จนเป็นเหตุให้ไปสู่การหลอกลวง เป็นต้น ส่วนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึง 6 จะเน้นกิจกรรมที่ทำให้เด็กรู้ตัวตนของตนเองมากขึ้น เช่น ให้เด็กได้คิดว่าตนเองชอบอะไรอยากเป็นอะไร อยากที่จะศึกษาต่อด้านไหน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาตมาหวังว่าการปรับหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาครั้งนี้น่าจะช่วยให้เด็กไทย มีคุณธรรม จริยธรรม และรู้จักคิดแก้ปัญหาของตนเองได้มากขึ้น”อธิการบดี มจร.กล่าว
ที่มา: คมชัดลึก
สุดทึ่ง เศรษฐีออสเตรียพบสัจธรรมเบื่อชีวิตร่ำรวย
12 February 2010 - 12:30 PM
สุดทึ่ง เศรษฐีออสเตรียพบสัจธรรมเบื่อชีวิตร่ำรวย "ยิ่งมียิ่งทุกข์" ขายทุกอย่าง หันไปอยู่ในกระท่อมเล็ก
พฤหัสบดี, 11 February 2010
"เดลี่ เมล์" รายงานเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ตีแผ่ชีวิตของนาย"คาร์ล ราเบเดอร์"มหาเศรษฐีออสเตรีย ซึ่งได้ค้นพบสัจธรรมเบื่อชีวิตที่ร่ำรวย เพราะเห็นว่าคนเรายิ่งรวยก็ยิ่งไม่มีความสุข และได้หันมาขายทุกอย่างในชีวิต และเตรียมใช้ชีวิตอย่างสมถะในกระท่อมเล็ก ๆ โดยรายงานระบุว่า นายราเบเดอร์ ขณะนี้ได้เตรียมขายคฤหาสน์หรู 3,455 ตร.ฟุต ติดทะเลสาบ,ห้องซาวน่า และมุมวิวเหนือภูเขาแอลป์ เป็นมูลค่า 1.4 ล้านปอนด์ โดยก่อนหน้านี้ เขาได้เริ่มขายบ้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 17 เฮคเตอร์ ด้วยมูลค่า 613,000 ปอนด์ และที่ได้ขายไปแล้วก็คือ เครื่องร่อนจำนวน 6 ลำ มูลค่า 350,000 ปอนด์ รถยนต์หรูออดี้ มูลค่า 44,000 ปอนด์
นอกจากนี้ เขายังได้ขายธุรกิจขายเครื่องอุปกรณ์และเครื่องตกแต่งภายใน ที่สรางความร่ำรวยให้แก่เขาด้วย ขณะที่รายได้ทั้งหมดของเขาจะยกให้มูลนิธีที่เขาตั้งขึ้นในลาตินอเมริกาและ อเมริกากลาง โดยเขาจะหันไปอาศัยยังกระท่อมไม้เล็ก ๆ แถบภูเขา หรือเตียงนอนธรรมดา ในเมืองอินน์บรัค
เศรษฐีออสเตรียรายนี้เปิดเผยว่า ความคิดของเขาตอนนี้ก็คือไม่ต้องทิ้งอะไรเหลือไว้เลยในชีวิต และเงินจะเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ความสุขเข้ามาในชีวิต และที่ผ่านมา เขารู้สึกว่า ตัวเองกำลังเป็นทาสแห่งการแสวงหาทางวัตถุที่เขาไม่ได้ต้องการหรือจำเป็นต้อง มี
นายราเบเดอร์บอกว่า จุดพลิกผันที่ทำให้เขาค้นพบสัจธรรมดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่เขาพักผ่อนลองวีค 3 สัปดาห์กับภรรยาที่เกาะฮาวาย เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถพบกับความสุขกับชีวิตระดับห้าดาว และแม้ว่าเขาและภรรยาจะใช้เงินไปเท่าไหร่ แต่กลับพบว่าทุกคนนั้นไร้ตัวตน ทั้งเจ้าหน้าที่โรงแรม หรือแขก ต่างเล่นบทบาทของตัวเองบนโลกแห่งวัตถุทั้งสิ้น และเมื่อเดินทางไปเที่ยวแอฟริกา เขาก็รู้ว่าว่า ความร่ำรวยของคนเรานั้นยืนอยู่บนความยากจนของคนอื่น และนั่นทำให้เขาตระหนักขึ้นมาทันว่า "ถ้าเขาคิดจะไม่ทำอะไรเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาก็จะสบายไม่ต้องทำอะไรอีกในชีวิตที่เหลือ"
ที่มา: มติชน
(จาก พี่บุญโต เจ้าเก่า)
พฤหัสบดี, 11 February 2010
"เดลี่ เมล์" รายงานเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ตีแผ่ชีวิตของนาย"คาร์ล ราเบเดอร์"มหาเศรษฐีออสเตรีย ซึ่งได้ค้นพบสัจธรรมเบื่อชีวิตที่ร่ำรวย เพราะเห็นว่าคนเรายิ่งรวยก็ยิ่งไม่มีความสุข และได้หันมาขายทุกอย่างในชีวิต และเตรียมใช้ชีวิตอย่างสมถะในกระท่อมเล็ก ๆ โดยรายงานระบุว่า นายราเบเดอร์ ขณะนี้ได้เตรียมขายคฤหาสน์หรู 3,455 ตร.ฟุต ติดทะเลสาบ,ห้องซาวน่า และมุมวิวเหนือภูเขาแอลป์ เป็นมูลค่า 1.4 ล้านปอนด์ โดยก่อนหน้านี้ เขาได้เริ่มขายบ้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 17 เฮคเตอร์ ด้วยมูลค่า 613,000 ปอนด์ และที่ได้ขายไปแล้วก็คือ เครื่องร่อนจำนวน 6 ลำ มูลค่า 350,000 ปอนด์ รถยนต์หรูออดี้ มูลค่า 44,000 ปอนด์
นอกจากนี้ เขายังได้ขายธุรกิจขายเครื่องอุปกรณ์และเครื่องตกแต่งภายใน ที่สรางความร่ำรวยให้แก่เขาด้วย ขณะที่รายได้ทั้งหมดของเขาจะยกให้มูลนิธีที่เขาตั้งขึ้นในลาตินอเมริกาและ อเมริกากลาง โดยเขาจะหันไปอาศัยยังกระท่อมไม้เล็ก ๆ แถบภูเขา หรือเตียงนอนธรรมดา ในเมืองอินน์บรัค
เศรษฐีออสเตรียรายนี้เปิดเผยว่า ความคิดของเขาตอนนี้ก็คือไม่ต้องทิ้งอะไรเหลือไว้เลยในชีวิต และเงินจะเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ความสุขเข้ามาในชีวิต และที่ผ่านมา เขารู้สึกว่า ตัวเองกำลังเป็นทาสแห่งการแสวงหาทางวัตถุที่เขาไม่ได้ต้องการหรือจำเป็นต้อง มี
นายราเบเดอร์บอกว่า จุดพลิกผันที่ทำให้เขาค้นพบสัจธรรมดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่เขาพักผ่อนลองวีค 3 สัปดาห์กับภรรยาที่เกาะฮาวาย เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถพบกับความสุขกับชีวิตระดับห้าดาว และแม้ว่าเขาและภรรยาจะใช้เงินไปเท่าไหร่ แต่กลับพบว่าทุกคนนั้นไร้ตัวตน ทั้งเจ้าหน้าที่โรงแรม หรือแขก ต่างเล่นบทบาทของตัวเองบนโลกแห่งวัตถุทั้งสิ้น และเมื่อเดินทางไปเที่ยวแอฟริกา เขาก็รู้ว่าว่า ความร่ำรวยของคนเรานั้นยืนอยู่บนความยากจนของคนอื่น และนั่นทำให้เขาตระหนักขึ้นมาทันว่า "ถ้าเขาคิดจะไม่ทำอะไรเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาก็จะสบายไม่ต้องทำอะไรอีกในชีวิตที่เหลือ"
ที่มา: มติชน
(จาก พี่บุญโต เจ้าเก่า)
สุขคติหรือทุกขคติ
11 February 2010 - 01:17 PM
ในกรณีที่ผู้คนได้เดินทางไปตระเวนทำบุญ แล้วปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต
ในขณะที่ทุกท่านนั้นกำลังอิ่มบุญ ปลื้มอยู่กับบุญที่ได้เดินทางไปทำ
นั่นหมายความว่า...ทุกท่านที่กำลังปลื้มนั้นจะได้ไปสู่สุขติภูมิ...ใช่หรือปล่าวค่ะ
หรือว่าเป็นไปตามกฏแห่งกรรม
รบกวนอธิบายนิดนึง...
ขอบคุณค่ะ
ในขณะที่ทุกท่านนั้นกำลังอิ่มบุญ ปลื้มอยู่กับบุญที่ได้เดินทางไปทำ
นั่นหมายความว่า...ทุกท่านที่กำลังปลื้มนั้นจะได้ไปสู่สุขติภูมิ...ใช่หรือปล่าวค่ะ
หรือว่าเป็นไปตามกฏแห่งกรรม
รบกวนอธิบายนิดนึง...
ขอบคุณค่ะ
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: รวมกาย รวมบุญ
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·