รู้สึกน้อยใจอย่างไรไม่รู้ค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 03:14 PM
อืม.... คงต้องย้อนความถึงเรื่องครอบครัวก่อนนะคะ
แต่เดิมครอบครัวเป็น คาทอลิค ค่ะ ส่วนตัวเองก็เป็นคาทอลิคมาตั้งแต่เกิด
พึ่งเข้าวัดมาให้ไม่นาน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ด้วยกัลยาณมิตรที่เป็นเจ้านายค่ะ
ในเรื่องการเข้าวัด ครอบครัวไม่มีใครห้าม เพราะจากที่เราได้เข้าวัด ปฏิบัติธรรมมากๆ ตัวเราเองก็เปลี่ยนไปหลายๆอย่าง
และในวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่ได้ร่วมงานบุญใหญ่ หล่อทองหลวงปู่ เราได้ขอเบิกเงินล่วงหน้าจากเจ้านายเพื่อร่วมบุญจำนวน 2t ถึงแม้ว่าจะเป็นเงินจำนวนน้อยในสายตาหลายๆคน แต่เงินจำนวนนี้ของพนักงานเงินเดือนที่มีภาระอย่างเราก็ถือว่าเยอะอยู่เหมือนกัน
อีกทั้ง ในวันที่ 10 นั่นเอง เราก็ได้ทำบุญสร้างองค์พระ 2 องค์ ให้พ่อ (เสียชีวิตแล้ว) และแม่ เริ่มต้นที่ 1t (ปลื้มมากๆ เมื่อนึกถึงวันนั้น)
แต่ทว่า แม่กลับไม่ปลื้ม เพราะช่วงนี้เงินกลับขาดมือ (เนื่องจากทำบุญไปจำนวน 3t ที่เยอะที่สุดเท่าที่เคยทำมา)
พอเอาใบโมทนาบัตรไปให้แม่ดูว่า สร้างองค์พระให้แม่กับพ่อมานะ แม่กลับบอกว่า "ถึงว่าถึงไม่มีเงิน"
ทำไมคะ ทำไมเราทำบุญแล้วแต่ทำไมแม่ยังไม่เข้าใจ น้อยใจแม่ 1
ทำไมเราทำบุญจนสุดกำลังแล้ว แต่ทำไมผลที่ได้เป็นแบบนี้ น้อยใจหลวงปู่อีก 1
น้อยใจ และเสียใจเล็กน้อยค่ะทำให้เมื่อคืนนั่งสมาธิไม่ได้เรื่องเลย นั่งฟุ้งไปฟุ้งมา นั่งเหมือนนั่งคิดมาก มากกว่ายั่งสมาธิอีกค่ะ
แต่ถึงจะน้อยใจแต่ก็ไม่ทิ้งคำสอนของหลวงปู่ค่ะ เมื่อคืนก็พยายามนั่งสมาธิให้เลิกคิด วันนี้ก็พยายามนั่ง
แต่ก็ยังมีเรื่องข้องใจอยู่ อย่างที่เล่ามาข้างต้นค่ะ
เพื่อนๆผู้มีบุญทุกท่าน การทำบุญมันมีอุปสรรคอย่างนี้เองใช่ไม๊คะ
แต่ไม่ว่าอย่างไร กฐินหลวงปู่ เราก็ยังจะถวาย 2t เช่นกัน แต่เรื่องของเรื่องคือ น้อยใจ เท่านั้นแหล่ะค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 04:49 PM
#3
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 05:24 PM
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#4
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 05:28 PM
#5 *innerspot*
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 05:41 PM
#6
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 06:20 PM
#7
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 07:10 PM
#8
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 07:13 PM
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำบุญทีล่ะเยอะๆ..(ก็เราปลื้มของเรา..งี้นี่นา ทำมาก ก็ปลื้มมาก เป็นธรรมดา เน๊าะ..)
ไม่สนับสนุนให้ไปทำบุญที่วัดรวยๆ..(วัดไหนรวย? เอาอะไรมาวัด? หรือวัดที่รายรับ ถ้างั้นรายจ่ายล่ะ? ก็เราอยากทำกับเนื้อนาบุญนี่นา เน๊าะ)..
ชวนไปวัด ก็ไม่ยอมไป มีข้ออ้างสารพัด (แหม..ถ้าชวนไปรวยนี่ จะมีข้ออ้างอีกหรือเปล่า? ถ้ารู้ว่าไปวัดที ก็ไปรื้อผังจนที ป่านนี้คงบ่นว่า ทำไมไม่ชวนแต่แรก..อ้าว)
ตัวเองไม่ยอมไป(วัด) ยังห้ามหลานๆอีกด้วย(แหน่ะ) (แต่หารู้ไม่..เด็กๆ เค้าอยากไปมาก เพราะเค้าดู dmc ดูหลวงพ่อทุกวัน แถมได้นั่งสมาธิกับหลวงพ่ออีกด้วย..ตอนนี้กลายเป็นหลานๆ เป็นฝ่ายชวนคุณย่า..ไปซะแล้ว)
สำหรับผม ตอนแรกก็กลุ้มใจ น้อยใจ เสียใจ (ว่าทำไม๊ ทำไม แม่เราเป็นอย่างนี้น่ะ ทำไม ไม่ได้อย่างคนอื่นเค้าบ้างน่ะ ฯลฯ) แต่ตอนนี้ความกลุ้มใจ น้อยใจ เสียใจ เริ่มคลาย บรรเทาไปเยอะเลย เหตุเพราะนึกถึงคำพูดของคุณครูไม่ใหญ่ที่ว่า
"..อย่าไปโกรธ อย่าไปเคือง เค้าเลย ถ้าเค้ารู้อย่างที่เรารู้ เค้าคงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เราต่างหาก ที่อธิบายขยายความไม่ชัดเจนเอง.."
อย่างไรก็ตาม..คุณแม่ผมก็ได้มาหล่อหลวงปู่ (เข้าจนได้) ครับ..
อย่าน้อยใจไปเลยครับ เพราะความน้อยใจไม่ได้ช่วยให้อะไร (ต่อมิอะไร) ให้ดีขึ้นได้ครับ..
สู้เอาเวลา (ที่น้อยใจนั้น) มาเปลี่ยนเป็นใจใสๆ ด้วยการนั่งสมาธิ และปล่อยวางทุกอย่าง (เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมของเรา แต่เราสามารถควบคุมใจของเราให้นิ่งๆ เฉยๆ โดยไม่คิดอะไรได้)
ถ้ายังฟุ้งเรื่องเดิมๆอยู่ แนะนำว่าให้หาเสียงคุณครูไม่ใหญ่ขณะนำนั่งสมาธิมาฟัง (download จาก dmc.tv หรือ http://www.kalyanamitra.org ก็ได้ครับ) การได้ฟังเสียงครูบาอาจารย์ เสมือนหนึ่งท่านได้นั่งอยู่ต่อหน้าเรา และเมตตาเรา จะทำให้เรารู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยทุกอย่างครับ)
นั่งสมาธิเสร็จ อย่าเพิ่งรีบนอน ให้ตั้งจิตอธิษฐาน..ขอให้คุณแม่เข้าใจ อย่างที่เราเข้าใจ โดยเฉพาะอธิษฐานขอกับหลวงปู่ เพราะท่านดูเราอยู่ทุกเวลา แต่เราก็ต้องหมั่นดูท่านบ่อยๆเช่นกันน่ะครับ..
สาธุครับ..
#9
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 08:26 PM
อย่าเสียเวลาน้อยใจเลยค่ะ ถ้าคุณเข้าใจในความสำคัญที่ตัวคุณเป็น คุณจะภูมิใจ ให้ทำหน้าที่ของเราไปด้วยใจที่ใส เรากำลังยื่นสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนที่เรารัก และรักเรา จงอดทน อดกลั้น เมตตาทั้งกับตัวเองและคนในครอบครัวน่ะค่ะ
ถึงคำพูด สีหน้า หรือการกระทำของคุณแม่หรือคนอื่นๆ ยังไม่เป็นที่ถูกตาถูกใจ ตามใจที่เราต้องการ หรือคาดหวัง แต่เชื่อแน่ว่าทุกคน กำลังสังเกต ติดตาม ดูความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณอยู่
คุณต้องทำหน้าที่นี้ด้วยใจที่มีความสุข สิ่งที่คุณแสดงออก รู้สึก ปฏิบัติ ให้ทุกคนในครอบครัวได้เห็น จะเป็นสิ่งยืนยันว่า เส้นทางที่เราเดินแยกจากคนอื่นมานี้ เป็นเส้นทางสายที่ถูกต้อง เมื่อทุกคนเกิดความมั่นใจ จะค่อยๆ เดินตามเรามาเอง
ครอบครัวคุณโชคดีน่ะค่ะ ที่มีลูกสาวน่ารักอย่างคุณ อดทนอีกนิด อดทนทำหน้าที่กัลยาณมิตรด้วยความรัก ความหวังดีที่มีให้จากหัวใจ ทุกคนเรารักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ช้า ไม่นาน ความสำเร็จ จะเป็นของคุณค่ะ เอ ลูกสาว หรือลูกชาย ไม่แน่ใจ เดาเอาค่ะ ส่วนใหญผู้ชายไม่ค่อยใจน้อยหรอก เมื่อก่อนพี่ก็ใจน้อยเก่ง แต่ตั้งแต่เป็นลูกหลวงพ่อแล้ว ใจมันหลักแน่น นิ่ง อย่างก็คนละคนเลยค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 09:02 PM
#11
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 09:05 PM
ไม่support แต่ขอบอกความจริงค่ะ
1. อุตส่าห์ ออกมาจากศาสนาเดิมได้จนมาถึงวัดนี่ ก็เป็นความน่าภูมิใจอันดับหนึ่งแล้ว
2. อุตส่าห์ทำบุญเต็มที่ เต็มกำลังแล้ว อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ก็น่าภูมิใจอันดับหนึ่งอีกอย่าง เพราะ ได้ตัดความตระหนี่จากใจได้
3. อุตส่าห์ ตั้งความปรารถนา ความตั้งใจ จะทำอีก 2t ในวันกฐิน นี่ก็น่าภูมิใจอันดับหนึ่งอีกอย่าง
แล้วทำไม๊...............ทำมายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ให้สิ่งที่เราอุตส่าห์ตั้งใจทำอย่างเต็มที่เต็มกำลัง ต้อง ลดคุณค่าลง
ลดคุณค่าทั้งความภูมิใจในตัวเอง และ ลดคุณค่าบุญที่จะเกิดขึ้นหลังทำอีก.............
เลิกน้อยใจได้แล้วค่ะ.........
หน้าที่คุณคือ
1. ต้องปลื้ม ค่ะ
2. ค่อยๆเป็นกัลยาณมิตร ให้คุณแม่ (และคนทั้งโลก) ด้วยใจใสๆ และ เยือกเย็นค่ะ
หากชาตินี้ไม่สำเร็จ ก็คงสำเร็จสักชาติ และแม้ท่านไม่ได้อินอะไรมากกับวัดเรา ท่านก็ได้บุญบ้างล่ะค่ะ....
แต่หากน้อยใจ จบกัน.....บุญหก บุญหล่น กันหมด เหมือนเดินไปตักน้ำที่ยอดภู ไกลและลำบาก
ขากลับ สะดุดหิน น้ำหกหมด......
และอีกอย่าง ไอ้เจ้าความน้อยใจเนี่ย มันฝังติดศูนย์กลางกายข้ามชาตินะคะ
ที่(บังอาจ) มาน้อยใจหลวงปู่นี่ สงกะสัยจริงว่า เหตุนี้หรือเปล่า จึงได้ หลุดไปเป็นแคทอลิก อยู่นานสองนาน
รีบ ปรับใจด่วนนะคะ และ ขอขมาหลวงปู่ด้วยค่ะ ท่านไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยค่ะ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#12
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 09:09 PM
#13
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 09:23 PM
(นับถือพรหมว่า เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง)
เมื่อพระสารีบุตรและพี่น้องร่วมอุทรอีกเจ็ดคน ออกบวชและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาทั้งหมด
แต่ก็มิอาจทำให้โยมแม่ของท่านมีความเข้าใจมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ จนวันสุดท้ายที่ท่านจะต้องละสังขาร
ทิ้งกายมนุษย์ไปสู่อายตนะนิพพาน เหล่าพระราชาทั้งหลาย,เทวดาทั้งหลายมีพระอินทร์เป็นต้น ,พรหมทั้งหลาย,และ
อรูปพรหมทั้งหลาย ต่างเข้ามานมัสการท่านและถามปัญหาข้อธรรมมะจากท่าน รัศมีกายของทวยเทพทั้งหลาย
ทำให้เมืองทั้งเมืองสว่างยิ่งกว่าตะวันเที่ยงเสียอีก โยมมารดาจึงกระซิบถามพระสารีบุตรว่าผู้ที่มากราบลูกนั้นเป็นใคร
ทำไมจึงมีรูปกาย/แต่งกายงดงาม มีรัศมีกายสว่างไสว พระสารีบุตรจึงตอบว่า นั่นคือพระอินท์บ้าง ,มหาพรหมชั้นต่างๆบ้าง
ฯลฯ โยมมารดาจึงเพิ่งคิดได้ว่า "ลูกของเรายังมีอานุภาพเห็นปานนี้ แม้แต่พรหมที่เรานับถือยังมากราบนมัสการลูกเรา
แล้วพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเล่าจะมีอานุภาพปานใด" พระสารีบุตรตรวจดูวาระจิตของมารดาแล้วเห็นว่า
จิตโยมมารดาหย่อนจากทิฐิมานะแล้วจึงแสดงธรรม เมื่อแสดงธรรมจบลงโยมมารดาก็มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง พระเถระเจ้าก็นฤพาน
จะเห็นว่าแม้พระสารีบุตรจะมีปัญญามาก และมีพี่น้องเป็นอรหันต์ถึง7องค์ ก็ยังต้องใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะทำให้มารดามี
ความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้
แล้วเราล่ะ สติปัญญาของเรามีไม่ถึงหนึ่งส่วนในสิบหกส่วนของท่านด้วยซ้ำ และเราก็ไม่มีพี่น้องที่เป็นพระอรหันต์
เลยสักคนดังนั้นการที่แม่ของเรายังไม่เข้าใจในการสร้างบารมีของเราก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน สร้างบารมีต่อไป
และค่อยๆอธิบาย(ในเวลาที่ท่านพร้อมจะฟัง)ให้ท่านฟังไปเรื่อยๆ และให้ชวยท่านทำบุญบ่อยๆ สักวันท่านจะเข้าใจเอง
หากเราทำให้ท่านมีศรัทธา มีความเข้าใจได้ก่อนที่วันสุดท้ายของเราจะมาถึง ก็นับว่าเรา โชคดีกว่าพระสารีบุตรแล้ว
ให้นึกเสมอว่า เราเป็นเด็กในสายตาของพ่อแม่เสมอ และให้นึกถึงพระสารีบุตรไว้เตือนใจ
การที่ใครสักคนจะเข้าใจในคำสอนและบังเกิดศรัทธาได้คนผู้นั้นต้องเป็นผู้มีบุญมาเกิด เพราะคำสอนของพระพุทธศาสนา
เป็นคำสอนที่สวนกระแสกิเลสที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ ดังนั้นถ้าบุญน้อยๆแม้เกิดมาได้ฟังคำสอนจากพระพุทธเจ้า
ก็ไม่อาจบรรลุธรรมใดๆและอาจทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธเจ้าก็ได้เช่น พระเทวทัต เป็นต้น
สร้างบารมีต่อไป และอย่าน้อยใจครับ ให้ทำเฉยๆ คือหยุดนิ่งเฉย นั่งสมาธิอธิฐานจิตตอกย้ำบ่อยๆ แล้วท่านจะมีความเข้า
ใจในสักวันแน่นอนครับ สู้ต่อไปนะ ต้องสู้จึงจะชนะ
#14
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 09:29 PM
ไงๆเขาก็ต้องห่วง ครั้งแรกๆเราก็เป็นยังงี้ แต่อย่าคิดมากเลยเอาใจไว้ที่072ดีกว่า
อะไรที่เรากังวลก็จะหมดไป
#15
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 09:46 PM
สุดยอดดดดดดดดด
post_2351_1222079640.jpg 66.64K 60 ดาวน์โหลด
แต่...........ขอค้านค่ะ
พวกเราน่ะ ไม่น่าจะมีปัญญาเทียบกับพระสารีบุตรแล้ว เพียงแค่ 1/16 ส่วน
มันน่าจะมากกว่านั้น จนไม่อาจประมาณได้มากกว่าค่ะ
ขอโทษค่ะ ล้อเล่นค่ะ
อย่าเอา (หนู)ดิฉัน ไปวิดพื้น 1000 ครั้งนะะ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#17
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 10:20 PM
การทำทำความดีก็มีอุปสรรคป์บ้างเป็นธรรมดาครับ
ไม่ต่างกับการทำชั่วก็ยังมีอุปสรรคึ์เลย ไม่เชื่อลองไปขโทยเงินใครดูดิ (อิอิ ล้อเล่น ขำขำนะ อยากให้ยิ้ม)
#18
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 10:55 PM
ทุกๆ ท่านได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ป.ล. คุณสาธุธรรมครับ ผมว่าอาจจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร ที่นำรูปครูบาอาจารย์มาทำเป็นรูปแทนตัว login ผมว่าเราควรจะยกท่านไว้ ไม่ควรนำมาลงเป็นรูปแทนตัวเราน่ะครับ
ถ้าคำแนะนำของผมทำให้คุณสาธุธรรมรู้สึกไม่สบายใจหรือโกรธเคือง ก็ขอโทษมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
#19
โพสต์เมื่อ 18 October 2008 - 11:56 PM
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#20
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 12:03 AM
ผมก็เจอแบบนี้ทั้งที่บ้านและญาติๆ แต่ผมก็ยังทำ และพยายามทำตัว
เองให้ดี เพื่อที่เขาจะเห็นว่าเราทำจริงเอาจริง ก่อนนี้ก็ทำแค่หลักร้อย
มาหลักพัน มาหลักหมื่น ตอนนี้สามารถทำหลัก S ได้แล้ว
พ่อ แม่ ท่านก็รู้น่ะครับแต่ท่านไม่กล้าบ่นแล้ว เพียงแต่ท่านยังเห็นว่า
ผมเองยังมีหนี้อยู่(ที่มาจากตัวเราเอง จากเพื่อนๆ เพื่อญาติ :'( ) แต่ผมก็
สู้ทำบุญเต็มที่ครับ ไม่อยากตกบุญเลยครับ สู้ สู้ สู้.
#21
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 12:08 AM
เปลี่ยนแล้วค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
ไม่ได้ตั้งใจให้ท่านแทนตัวเรา แต่ต้องการระลึกถึงท่านค่ะ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#22
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 12:29 AM
ผลบุญที่ได้คือความสุขใจ ปิติใจ
ดวงบุญเกิดใสๆ ใครมาว่าอะไรเล็กน้อย
ก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย
คิดดูดิคับ ท่านอภิมหาอัครเศรษฐีทำบุญเป็นโกฏิ ปฏิโกฏฺิ ยังยิ้มหน้าใสอิ่มบุญทุกๆท่านเลย
ทางทีดิ อธิฐานจิต ขอให้ได้ทำบุญสร้างบารมียิ่งๆขึ้นไปดีกว่า
หลวงปู่หลวงพ่อท่านให้คำเตือนสติไว้ว่า
ห่วงคือไล่ ให้คือเรียก คับ
เลือกเอา ใจใสๆ
#24
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 07:29 AM
ทุกครั้งทำบุญจะใส่ชื่อพ่อแม่ ลูก ๆ และสามี แล้วตัวเองสบายใจ ปลื้มในการทำบุญในทุกครั้งเลย
แต่ไม่ได้บอกพวกเค้าด้วย เพราะเกรงว่าถ้าบอกว่าทำบุญให้เท่านี้นะ มีหวังแทนที่จะได้ปลื้มกลับตรงข้าม
ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ อยากไปวัดธรรมกายพวกเค้าก็ขัด ไม่ให้ไป เลยอาศัย DMC ดูข่าวทำบุญผ่านน้อง
คนหนึ่ง ยังปลื้มในบุญก้อนใหญ่เมื่อวันที่ 10 ที่ผ่านมาเลย อยากทำบุญร่วมกับชาว DMC เหมือนกัน แต่เกรงว่าพวกเค้าจะรู้แล้วมาขัดบุญเราอีก ทำไงดีน๊า อย่างไงก็ขออนุโมทนาบุญกับชาว DMC ด้วย
ทุกท่านด้วยค่ะ
#25
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 02:25 PM
ก็ได้คำตอบแล้วละครับ
สุดยอด
บางที เราอาจจะเลือกที่จะทำบุญให้ท่าน โดยยังไม่บอกให้ท่านรู้ก็ได้นะครับ
เพราะหากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ รังแต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้ท่าน
ทำบาปมากขึ้น จากการที่ทำให้เราเศร้าหมองในบุญที่ได้ทำ
ซึ่งทำให้เรามีกำลังใจในการทำบุญน้อยลง(ขัดขวางคนทำบุญ)
พอเราเริ่มมีฐานะดีขึ้นจากการทำบุญ หรือท่านเริ่มเปิดใจมากขึ้น
เราค่อยเอาใบโมทั้งหมดมาให้ท่านดูท่านก็จะปลื้มใจเอง
#26
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 03:04 PM
...
นักสร้างบารมี..ในวัดพระธรรมกาย
กว่าครึ่งนะ ที่ทางบ้าน ยังไม่เข้าใจวัด..
ท่านบ่นเรา เราก็ยิ้ม
อย่าตอบ...วันนึงก็ทราบเอง
สำคัญที่การรักษาใจ เรา
เราทำถูก ทำดี ก็ปลื้มได้เลย อย่ารอคนมาเข้าใจ..
เราเข้าใจ เพื่อนๆDMCเข้าใจ..
ก็เหลือจะพอ..
#27
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 05:21 PM
ให้เข้มแข็งและสร้างกำลังใจให้ตัวเองต่อไป อย่าอยู่ไกลกัลยาณมิตรนะคะ
ขอเป็นกำลังใจค่ะ พี่เองใช้เวลาเกือบสิบปีกับพ่อแม่ พี่น้องของตัวเอง และกว่าสิบปีกับญาติของสามี และผองเพื่อน
ทุกวันนี้สำเร็จทุกอย่าง ที่นึกทีไร ยิ้มปลื้มในใจทุกครั้ง เพราะเราคือกัลยาณมิตร ของเขาเหล่านั้นทั้งหลาย
สู้ สู้นะคะ
#28
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 10:34 PM
(ในครอบครัวเราก็เข้าวัดคนเดียวค่ะ เราก็ชวนคนไม่เก่งด้วย บอกบุญก็ไม่เก่ง แต่ก็คิดว่า บุญที่ลูกทำ พ่อแม่ก็ได้รับบุญด้วยค่ะ สร้างพระให้ตัวเองเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังสร้างให้คุณพ่อคุณแม่อยู่ค่ะ)
#29
โพสต์เมื่อ 19 October 2008 - 11:58 PM
ขอบอกว่าเมื่อก่อนเราก็แบบนี้แหละค่ะ ทำบุญให้ตัวเองแล้วไม่พออยากทำให้พ่อกับแม่ด้วย ทำแล้วได้ใบโมฯแล้วเอาไปให้ท่านดูเผื่อจะได้ปลาบปลื้ม อนุโมทนากับเราแต่กลับโดนดุอีกต่างหาก แต่เราก็ไม่ท้อ ไม่ถอย ยังคงมาวัดเหมือนเดิม แล้วก็ทำบุญตลอดกลับถึงบ้านก็บอกแค่ว่า เอาบุญมาฝากนะ แต่ไม่ให้รู้ว่าทำไปเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่มาวัดจะชวนท่านทุกครั้ง บางทีงานบุญใหญ่ท่านก็มา อย่างคุณแม่นี่จะชมเลยนะว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดนี้บารมีเยอะนะเวลานั่งสมาธิสามารถทำให้ได้ยินแต่เสียงนกกับเสียงลมพัดทั้งๆ ที่เห็นคนนั่งกันล้นสภา แต่ยังไงท่านทั้งสองก็ยังคงไม่ชอบให้มาทำบุญที่วัดนี้เหมือนเดิม จนล่าสุดเห็นจะเป็นประมาณปีหรือสองปีที่แล้วได้ คุณแม่รู้ว่าวันนั้นวัดเรามีงานบุญใหญ่ท่านถามมาคำหนึ่งว่า "ไง ถมไปเท่าไหร่ล่ะ ไอ้พวกทำบุญจนหมดตัวเนี่ยไม่มีใครมาสงสารหรอกนะ" เราก็เลยพูดว่า "ว่าแล้ว ถ้าตราบใดยังพูดแบบนี้ให้ได้ยินอีกล่ะก็แสดงว่าบุญที่ทำทำมายังไม่ดีพอ ต้องทำอีกให้เย็.อ.อะ เย๊อะ ++ รู้ไหมว่าหลังจากวันนั้นพอมาวัดไปทำบุญกลับมาบอกว่าเอาบุญมาฝาก พ่อกับแม่ก็รีบสา..ธุเลยล่ะ ไม่รู้ว่าประชดหรือเปล่าแต่ท่านก็ได้อนุโมทนาบุญแล้ว จนกระทั่งเดี๋ยวนี้บางทีถามว่าจะไปวัดนะไปด้วยกันไหมถ้าไม่ไปจะฝากเงินไปทำบุญด้วยอะเปล่า ก็มีร่วมบ้าง ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีจริงมะ
#30
โพสต์เมื่อ 20 October 2008 - 12:26 AM
เป็นกำลังใจให้ครับ ; )