พระกับสตรี
#1
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 10:55 AM
บางทีเห็นพระอยู่กับผู้หญิง ในทีที่สองต่อสอง
หรือว่าพระกับผู้หญิงแตะกันอาบัติเสมอไปหรือไม่ ?
หรือต้องดูเจตนาว่ามีจิตกำหนัดหรือไม่
พระช่วยผู้หญิงตกน้ำ ถือเป็นอาบัติหรือไม่ ( ถึงอาบัติก็คงไม่มาก )
ในกรณีนี้ เช่น พระกับสตรีเป็น พี่น้อง หรือแม่ลูกกัน
หรือ พระไม่เจตนาผู้หญิงไปโดนเข้าเอง
บางที่บางวัดบางทีไม่ถือเคร่งครัด จึงเกิดปัญหาเป็นข่าวประจำ
วินัยข้อนี้มีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง
#2
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 03:50 PM
เห็นผู้หญิงเบียดพระเฉยเลย พอดีท่านหลบไม่ได้
แบบนี้ไม่รู้พระอาบัติหรือเปล่า
#3
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 04:41 PM
#4
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 08:45 PM
"อานนท์ ! การที่ภิกษุจะไม่ดูไม่แลสตรีเพศเสียเลยนั้นเป็นการดี"
"ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็นเล่าพระเจ้าข้า" พระอานนท์ทูลซัก
"ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็น ก็อย่าพูดด้วย อย่าสนทนาด้วยนั้นเป็นการดี" พระศาสดาตรัสตอบ
"ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วยเล่าพระเจ้าข้า จะปฏิบัติอย่างไร"
"ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วยก็จงมีสติไว้ ควบคุมสติให้ดี สำรวมอินทรีย์วาจาให้เรียบร้อย อย่าให้ความกำหนัดยินดี หรือความหลงไหลครอบงำจิตใจได้ อานนท์ ! เราล่าวว่าสตรีที่บุรุษเอาใจเข้าไปเกาะเกี่ยวนั้น เป็นมลทินของพรหมจรรย์"
"แล้วสตรีที่บุรุษมิได้เอาใจเข้าไปเกี่ยวเกาะเล่าพระเจ้าข้า จะเป็นมลทินของพรหมจรรย์หรือไม่ ?"
"ไม่เป็นซิอานนท์ ! เธอระลึกได้อยู่หรือ เราเคยพูดไว้ว่าอารมณ์อันวิจิตร สิ่งสวยงามในโลกนี้มิใช่กาม แต่ความกำหนัดที่เกิดขึ้น เพราะการดำริต่างหากเล่าเป็นกามของคนเมื่อกระชากความพอใจออกเสียได้แล้ว สิ่งวิจิตรสวยงามก็อยู่อย่างเก้อๆ ทำพิษอะไรมิได้อีกต่อไป"
อันนี้เป็นการถามของพระอานนท์ว่า ภิกษุควรปฏิบัตืตัวอย่างไรกับสตรีเพศ ในช่วงก่อนพุทธปรินิพพานครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้ครับ
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=5449
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#5
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 09:37 PM
กลยุทธ์มารพระพุทธศาสนา: ยุทธวิธีนารีพิฆาต
นารีพิฆาต เป็นแผนหนึ่งหลายแผนที่ศัตรูใช้เป็นอุบายบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา โดยใช้นารีรูปงามมายั่วยวนให้พระสงฆ์ต้องเสพกาม หรือต้องอาบัติปาราชิก อันเป็นโทษหนักเท่ากับการประหารชีวิตพระสงฆ์ และเป็นแผนที่สำคัญของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนา หน่วยสืบราชการลับจะเก่งกาจสักเพียงใดก็จับผิดได้ยาก มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยสกัดกั้นได้ คือการกระจายกลวิธีให้พระสงฆ์และพุทธบริษัทได้ทราบ จะได้ระมัดระวังและปฏิบัติตามคำพังเพยที่ว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
แผนนารีพิฆาตมี 2 วิธี คือ ยั่วยวนด้วยกิเลส และ ฆ่าให้ตาย
1. ยั่วยวนด้วยกิเลสตัณหา โดยการใช้หญิงสาวหน้าตาดีสวยๆ เข้าไปตีสนิทคลุกคลีกับพระที่มีชื่อเสียง ด้วยการทำบุญรักษาศีลเจริญภาวนาฟังธรรมที่วัดเป็นประจำ ทำตัวเป็นนักบุญ มีศรัทธาในพระอาจารย์ผู้นั้น คอยปฏิบัติเอาใจใส่ดูแลทุกย่างก้าว บางครั้งพระอาจารย์เจ็บไข้ไม่สบาย เป็นโอกาสดีที่หญิงสาวผู้นั้นได้ใกล้ชิดมากขึ้น เอาอกเอาใจพระอาจารย์มากยิ่งขึ้น พระอาจารย์ก็นึกไม่ถึงเลยว่า "อุบาสิกาผู้นั้น ที่แท้ก็คือเทพธิดาในร่างของยักษินี" นั้นเอง พระอาจารย์ไว้ใจทุกอย่าง ให้ดูแลทรัพย์สินเงินทองของวัด เข้านอกออกในได้อย่างเสรีเหมือนคนอยู่ในบ้านเดียวกัน ดูภายนอกก็คือมหาอุบาสิกาผู้ประพฤติธรรม แต่ในส่วนลึกของเขานั้นคือการทำลายล้างแบบถอนรากถอนโคนทีเดียว ตลอดระยะเวลาที่อยู่ใกล้ชิดพระอาจารย์ นางเทพธิดาจะมีจริตกิริยายั่วยวนพระอาจารย์ด้วยมายาหญิง แสดงอาการโป๊เปลือย วับๆ แวมๆ ให้เห็น ในที่สุดตบะพระอาจารย์ก็แตก พ่ายแพ้แก่กิเลสมาร ตกเป็นทาสของตัณหา ถึงขั้นเสพเมถุน นั้นคือชัยชนะของเขา แต่เป็นความปราชัยหายนะของคณะสงฆ์ เมื่อแผนนารีพิฆาตสำเร็จ นั้นหมายถึงเงินก้อนใหญ่ที่ศัตรูหยิบยื่นให้ และนอกเหนือจากนั้นพระอาจารย์ยังจะต้องเสียสินบนให้กับนางยักษินีอีกต่อหนึ่งด้วย
แผนนารีพิฆาต พึงทราบว่า ไม่ใช่กระทำกันวันสองวัน เขาจะทำโดยการใช้เวลาเป็นแรมเดือนแรมปี จะขอยกตัวอย่างแผนนารีพิฆาตที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์ในต่างจังหวัดให้ได้ทราบ
รายที่ 1 ในจังหวัดหนองคาย พระอาจารย์ชื่อดังได้หลงเสน่ห์แม่ชีสาวชาวสิงคโปร์ ซึ่งมาบวชชีด้วยความศรัทธาเลื่อมใสในพระอาจารย์ ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาตามทำนองที่กล่าวแล้วในที่สุดความใกล้ชิด ตบะพระอาจารย์แตกต้องศีลวิบัติสึกออกมา เมื่อสึกแล้วแม่ชีกลับเมินเฉยไม่สนใจ พระอาจารย์ต้องอกหักเพราะหลงรักแม่ชีสิงคโปร์ และแล้วแม่ชีสิงคโปร์รายนี้ก็ล่าเหยื่ออื่นๆ ต่อไป
รายที่ 2 เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดสกลนคร มีอุบาสิกาสาวสวยหน้าตาแฉล้มคนหนึ่ง มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระอาจารย์ยิ่งนัก ในที่สุดได้โกนหัวนุ่งขาวห่มขาวบวชเป็นชี หมั่นปฏิบัติพัดวีพระอาจารย์ ไม่นานเท่าไร แม่ชีสาวได้สนิทสนมกับพระอาจารย์ เข้านอกออกในได้สนิท เพราะความเคร่งของแม่ชี ในที่สุดความสวยของแม่นางยักษินีก็พร่าพรหมจรรย์ของพระอาจารย์สำเร็จ รายนี้สืบทราบมาว่าเป็นสาวญวน ปลอมแปลงมาทำลายโดยตรง
รายที่ 3 ในจังหวัดอุบลราชธานี ข่าวนี้ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว คือกรณีที่พระกับแม่ชีถือวัตรปฏิบัติ ชนิดช่วยกันขัดสีฉวีวรรณ (ถูเนื้อถูตัว) ให้กันและกันได้ ข่าวนี้ลงเอยอย่างไรไม่ทราบชัด
2. ฆ่าให้ตาย ศัตรูใช้แผนนารีพิฆาตไม่สำเร็จ พระอาจารย์กามตายด้านหรืออายุมาก ใช้มายาหญิงไม่สำเร็จ ศัตรูจะใช้แผนที่ 2 คือฆ่าให้ตาย ด้วยการวางยาพิษให้กิน ในที่สุดพระอาจารย์ก็ตาย ได้ทำสำเร็จมาหลายรายแล้ว ใช้ยาปลุกเซ็กส์ผสมในเครื่องดื่ม แฉแผนนารีพิฆาตที่ฝ่ายมุ่งทำลายพระพุทธศาสนานำมาใช้สำหรับทำลายพระดัง เช่นพระนักเทศน์ พระนักปฏิบัติและพระนักพัฒนา ที่ประชาชนชาวพุทธศรัทธา โดยสาวกของฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีการหลายอย่าง ทั้งนี้เพื่อให้พระพุทธศาสนาติดลบ ขาดสมณศากยบุตร
ภัยที่มีต่อพระพุทธศาสนาจากลัทธิศาสนาอื่นทวีความรุนแรงมากขึ้น ในหลายแผนหลายวิธีของการบ่อนทำลาย วิธีที่เรียกว่า "แผนนารีพิฆาต" เป็นวิธีหนึ่งที่มุ่งใช้ทำลายพระสงฆ์มีชื่อเสียง ทั้งสายเผยแพร่และสายปฏิบัติ โดยอ้างชมรมพุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสานบังหน้า เขาปฏิบัติธรรมทำงานเป็นทีมทั้งหญิง-ชาย โดยใช้สาวสวยเป็นตัวประกบติด หาโอกาสวางยาทำลายประสาทและปลุกเซ็กส์อย่างรุนแรง เช่นทิงเจอร์ที่ใช้ผสมพันธุ์ม้า ใส่ในเครื่องดื่มให้ฉัน พระไม่รู้ฉันเข้าไปจะเกิดอาการความจำเสื่อม บ้าคลั่ง กระสันทนไม่ไหวต้องเสพกามกับแม่ชีที่ถูกวางยาด้วยกัน บาปกรรมความลับแตกเพราะปากตัวเอง พระป่าเตือนให้ระวังทั้งอาหารและบุคคล
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2535 พระคำสอน ทีปธมฺโม วัดถ้ำพระธาตุโพธิ์ทอง ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม พรรษา 10 เป็นศิษย์ของพระอาจารย์บุญมี ปิยธมฺโม เจ้าอาวาสซึ่งพระคำสอนทำการแทนเจ้าอาวาสที่กำลังอาพาธอยู่ ได้ให้สัมภาษณ์ชี้แจงแก่ชาวพุทธกลุ่มหนึ่งโดยมีการบันทึกเสียงไว้ถึงแผนการทำลายพระพุทธศาสนาของบางลัทธิศาสนา โดยมุ่งทำลายพระสงฆ์ที่ดังและมีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั้งหลาย ทั้งสายเผยแผ่และพระสายปฏิบัติ โดยการทำให้พระเสียชื่อเสียง แม้กระทั่งให้เสื่อมเสียจิตประสาทและถึงตายในที่สุด
ในเรื่องดังกล่าวนี้หนังสือพิมพ์สารชาวพุทธได้รับเทป 2 ม้วนเกี่ยวกับการชี้แจงเรื่องดังกล่าว จึงเห็นว่าควรที่จะนำออกเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ จะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามาก โดยเฉพาะเพื่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา และเพื่อพุทธบริษัทได้รับทราบ และได้ตื่นตัวช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจังเสียที เพราะการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนานี้ทำมานายแล้วมากมายหลายวิธี สำหรับวิธีที่พระคำสอน ทีปธมฺโม ชี้แจงนี้เขาเรียกว่า "แผนนารีพิฆาต"
พระคำสอน ทีปธมฺโม ชี้แจงว่าท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์บุญมี ปิยธมฺโม พระปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน อยู่ที่วัดถ้ำพระธาตุโพธิ์ทอง ที่วัดมีทั้งพระ เณร แม่ชี ประชาชนมาฟังธรรมและปฏิบัติธรรม ในช่วงปี 2532 กับ 2533 ได้มีคณะชมรมพุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาพอีสาน 4 คน มีชาย 3 หญิง 1 มาที่วัดเพื่อศึกษาธรรมและปฏิบัติ ไปมาไปมาอยู่หลายเที่ยว แต่ละเที่ยวก็อยู่หลายๆ วัน จนถึงขั้นชายคนหนึ่งชื่อ "ผดุง" (ชื่อสมมติ) เข้าบวชพระภาคฤดูร้อน 1 เดือนแล้วสึก จากนั้นผู้ที่มาบ่อยคือหญิงสาวชื่อ "สจรี " (นามสมมติ) ซึ่งบอกว่าเป็นอาจารย์สอนแผนวิทยาศาสตร์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้น ก่อนจะเกิดเหตุมาอยู่หลายวัน พักอยู่กับแม่ชี แม่ชีเห็นอยู่นานผิดปกติก็ถามว่า เมื่อไรจะกลับ ก็ได้รับคำตอบว่า "รอไปก่อน ยังไม่มีกำหนด"
วันหนึ่งพระอาจารย์บุญมีไปงานวัดใกล้ๆ กัน ใครๆ ก็ไป เหลือแต่อาตมากับเณร ปรากฏว่าโยมหญิงสาวคนนั้นไม่ไปด้วย เขารู้ว่าอาตมาจะเดินทางมากรุงเทพ ฯ เพื่ออบรมพระสังฆาธิการ จึงชงโอวัลตินมาถวาย 2 แก้ว ท่านอาจารย์บุญมีเคยสั่งว่าเครื่องดื่มประเภทอาหารเสริมถ้าไม่มั่นใจก็อย่าได้ฉัน แต่โยมหญิงสาวคอยดูอยู่ อาจจะเพื่อรอรับพรหรืออย่างไร อาตมาจึงฉันโอวัลตินแก้วนั้น เมื่อมาอบรมพระสังฆาธิการเสร็จ สังเกตตัวเองว่าความจำไม่ดีเหมือนแต่ก่อน ปาฏิโมกข์เคยว่าได้คล่องก็ตะกุกตะกัก บางสิกขาบทจำไม่ได้ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนี้
พอกลับถึงวัดไม่พบท่านอาจารย์เจ้าอาวาส พบแต่จดหมายที่พระมอบให้ท่านดู ท่านอาจารย์มอบให้ดูแลวัดแทนด้วย แต่นั้นท่านหายไปไหนเมื่อไรไม่ได้บอก แม่ชีก็หายไปด้วย ทำไมครูบาอาจารย์ไม่อยู่ มีอะไรเกิดขึ้นจะปรึกษาใคร
ต่อมาทราบข่าวอาจารย์ไปอยู่วิเวกอู่ล้อมข้าว อำเภอเขมราช จังหวัดอุบลราชธานี แม่ชีไปด้วย ชาวบ้านที่ไปฟังธรรมบอกว่าท่านอาจารย์เลอะๆ เลือนๆ เหมือนเสียสติไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เป็นอะไรไป ผิวพรรณเศร้าหมอง อาตมาไปเยี่ยมก็เห็นเช่นที่ชาวบ้านพูด ท่านอาจารย์เป็นไปเช่นนี้เพราะอะไร ใครๆ ก็สงสารอาจารย์ที่ตนนับถือ แต่ไม่รู้จะช่วยท่านอาจารย์ได้อย่างไร
ส่วนโยมผู้หญิงก็คอยอยู่ใกล้ จนชาวบ้านผิดสังเกต ช่วงนั้นมีข่าวลือว่าจะมีแม่ม่ายมาเอาผู้ชาย ก็ลือไป เมื่ออาตมากลับวัดที่บ้านแก้ง ก็ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์จะสึกวันรุ่งขึ้น แม่ชีก็กลับมาวัดขอสึกเหมือนกัน แต่คืนก่อนที่แม่ชีจะกลับมาสึกนั้น ที่อู่ล้อมข่าวมีแสงประหลาดปรากฏให้เห็นโยมหญิงสาวที่นั่งสมาธิอยู่ด้านหน้าอาจารย์ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้ววิ่งไปทางด้านหน้าผาปากก็พูดว่า "คิดว่าจะสำเร็จก็ไม่สำเร็จอีก" ชาวบ้านที่คอยดูแลท่านอาจารย์ได้ฟังกันทั่ว และเข้าใจกันว่าที่ท่านอาจารย์ต้องมีอันเป็นไปนั้นมันต้องมาจากจุดนี้ แต่ก็จำใจไปเหนี่ยวรั้งเอาตัวมาเพื่อไม่ให้ตกหน้าผา
รุ่งขึ้นอาจารย์ก็เดินทางไปสึกกับอาตมาที่วัดก็เลอะเลือน ให้กล่าวคำลาสิกขาก็กล่าวไม่ได้แม้ว่าตกลงให้สึกได้แล้ว ให้สมาทานศีลห้าก็เลอะเทอะ "สีเลน สุคติง ยันติ" พออาตมาว่า ก็ว่าตามอาตมา อย่างนี้ได้อย่างไร ? อาตมาเลยต้องพูดไห้ดังว่า "ตรงนี้เขาให้หยุดไง ไม่ใช่ให้ว่าตาม จงรู้ไว้ว่าแม้ศีลห้าปฏิบัติก็พ้นทุกข์ได้" ดูเหมือนแม่ชีจะได้สติ อาตมาเลยให้ไปจุดธูปเทียนบูชาพระบรมสารีริกธาตุ แม่ชีปฏิบัติตามกลับมานั่งพักเงียบ
รุ่งเช้าให้แม่ชีมาพบดูอาการดีขึ้น จึงถามว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกัน ที่วุ่นวายเสียหายอย่างนี้ แม่ชีจึงค่อยเล่าให้ฟังช้าๆ ท่านอาจารย์เดินทางไปสึกแล้วที่บ้านเดิมวานนี้ และให้ดิฉันมาสึกที่วัดนี้ ท่านจงสังเกตหญิงสาวคนนั้น ท่านอาจารย์ก็ดี ฉันก็ดีต้องมีสภาพดังที่เห็นๆ กัน ก็เพราะเครื่องดื่มผสมยาอย่างหนึ่งเป็นแน่ และอีกส่วนหนึ่งต้องเป็นยาที่กระตุ้นให้เกิดความกำหนัดอย่างรุนแรง จนเหลือจะทนจนควบคุมไม่อยู่ท่านอาจารย์กับดิฉันจึงล่วงละเมิดศีลแก่กัน
เมื่อรำลึกว่าผิดไปแล้วก็ต้องสึก ทำให้อาตมานึกขึ้นได้ว่าความจำเสื่อมไปก็คงเพราะเจ้าโอวัลตินแก้วนั้นนั่นเอง ส่วนท่านอาจารย์และแม่ชีคงจะโดนเข้าอย่างหนักครบเครื่องที่เขาต้องการเป็นแน่
ข่าวนี้รู้กันทั่วไปโดยเฉพาะนาแก และเขมราช เกี่ยวกับท่านอาจารย์บุญมีนี้ คณะสงฆ์ประชุมกันถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 ประชุมกันที่อำเภอสว่างดินแดน หลวงปู่คำหล้าที่ท่านชี้แจงกับทางคณะสงฆ์ให้พิจารณาตามหลักอธิกรณสมถะพร้อมหลักฐานจากพระไตรปิฏกที่อาตมาฝากหลวงพ่อสมัยไปถวาย คณะสงฆ์ลงมติว่าการกระทำในขณะวิกลจริตปรับอาบัติไม่ได้ ท่านอาจารย์ยังไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ขณะนี้ท่านอาจารย์บุญมีกำลังอยู่ในระหว่างรักษาตัวด้วยสมุนไพรอย่างหนึ่ง (เป็นหัวสมุนไพร) อาการดีขึ้น ทั้งด้านสุขภาพกายและสมอง ต่อมามีฝรั่งมาขอซื้อสมุนไพรหัวนั้นราคา 6 หมื่นบาท เจ้าของถามท่านอาจารย์บุญมีแล้วไม่ยอมขายให้ อาตมาคิดว่าเขาคงจะซื้อไปวิจัยเพื่อการทำงานบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาของเราอีก
ส่วนชายสามหญิงหนึ่ง ที่มาสร้างปัญหาขึ้นครั้งนี้ยังมีอยู่คนเดียวมาดูลาดเลาที่วัดครั้งหนึ่งแล้วหายกันไปหมด พวกเขาคงกลัวอันตรายก็ได้ และที่อาตมาได้รับการบอกเล่านั้น ผู้หญิงสาวคนนั้นไม่หยุดอยู่ แต่จะตกหน้าผาตายเท่านั้น ไปบอกอาจารย์ทูลว่า พระอาจารย์บุญมีได้เสียกับตน อาจารย์ทูลท่านก็ฟังเฉยไปบอกหลวงปู่คำหล้าท่านก็ได้แต่ฟังไว้ ต่อมาถึงขั้นไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากทานเจ้าคุณวัน ว่าท่านอาจารย์บุญมีทำตนมีท้องได้สามเดือนแล้ว ขอให้จัดการให้ด้วย ท่านเจ้าคุณวันก็รับฟังไว้ ดูๆ คล้ายกับนางจิญจมาณวิกาใส่ร้ายพระพุทธเจ้า
คอยฟังข่าวก็ไม่เห็นออกลูกสักที ที่น่าห่วงก็คือตอนนี้พยายามไปๆ มาๆ ที่อาจารย์ทูล อาตมาตั้งใจว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ ทนเงียบมาหนึ่งปี แต่เมื่อกลุ่มพุทธบริษัทต้องการทราบ ก็ต้องพูดว่าลัทธิศาสนาอื่นเขามุ่งร้ายบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาอีกวิธีหนึ่ง
ขอพระดังสายปฏิบัติและสายเผยแผ่ โปรดระวังด้วยเถิด เรื่องนี้อาตมาได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน บางอย่างเก็บไว้ที่วัด (เรื่องที่เสนอท่านผู้อ่านนี้เป็นเพียงบางประเด็น จากเทปยาว 1 ชั่วโมง 15 นาที หากท่านได้ฟังจากเทปเองจะสลดใจยิ่งกว่านี้ และอาจจะคิดว่าในฐานะชาวพุทธควรจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว เพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา กองทุนการศึกษาเมตตาธรรมจึงได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น หนังสือยุทธวิธีนารีพิฆาตจึงได้เกิดขึ้นมาตามความต้องการของพุทธบริษัทผู้ห่วงใยพระพุทธศาสนา)
ไม่อาจกักขังกามกิเลสแห่งเพศบรรพชิต
เมื่อนางแพศยาในคาบพุทธมามะกะ
....กัดกินผลไม้ต้องห้าม
สมสู่ร่วมประเวณีกับพระภิกษุ
อย่างไร้ซึ่งความละอายต่อบาป
บุรุษใต้ผ้าเหลืองต้องอธิกรณ์
....อาบัติปราชิก
เป็นสมีนอกรีตจอมลวงโลก
....จำเลยสังคม
แต่มารร้ายผู้ผุดขึ้นมาจากนรก
เพื่อให้ร้ายพระศาสนา
กลับลอยนวลเชิดหน้าอยู่ในสังคมแห่งนี้
สังคมที่เอนเอียงไปตามแกนโลก
สังคมที่มองข้ามต้นแหล่งแห่งปลายเหตุ.
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#6
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 10:23 PM
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#7
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 11:01 PM
ขอบคุณพี่เถลิงเกียรติ ที่นำข้อมูลเหล่านี้มาแสดงย้ำเตือนความจำถึงการ
ทำลายพระพุทธศาสนา ( โดยวิธีนารีพิฆาต )
ตอนนี้ถ้าดูข่าว ทีวีช่องหนึ่ง ที่เคยมีปัญหากับทางวัดก็กำลังเสนอข่าว
เกี่ยวกับวงการพระสงฆ์และสตรีมากขึ้น (ถี่ขึ้น)
และก็ขยับมาทางวัดเรานิดหน่อย (มีภาพข่าวผสมมาด้วย)
ปัญหาส่วนหนึ่งก็น่าเกิดจากความไม่เข้าใจพระธรรมวินัยของพระภิกษุด้วย
ทางวัดธรรมกาย ไม่มีปัญหานี้
วัดอื่น ๆ บางวัดนั้น พระภิกษุสงฆ์เริ่มตีความวินัยเข้าข้างตัวเอง
ทำให้อยู่ใกล้ชิดกับสตรีเพศได้ ตามกระทู้ที่ยังสงสัยอยู่
ผมก็สงสัยเหมือนคุณ หยุดอะตอมใจเหมือนกัน แบบประสบมากับตัว
ไม่รุ้จะถามใคร
#8
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 12:08 AM
กรณีนี้ปรับอาบัติ "อนิยต" นะครับ อนิยต แปลว่า อาบัติอันวางไว้ไม่แน่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะภิกษุนั้นอยู่ในที่ลับหูลับตากับมาตุคาม จึงตัดสินมิได้ว่าในที่มุงบังเช่นนั้น ท่านมีอะไรเกินเลยกันกับมาตุคามหรือเปล่า? ท่านจึงให้ปรับเป็นอาบัติ "อนิยต" เอาไว้ก่อน และถ้าหากมีพยานหลักฐานยืนยันชัดเจนเป็นต้นว่า หากท่านมีอะไรเกินเลยกัน (เสพเมถุน) กับมาตุคามนั้น ให้ปรับอาบัติปาราชิก หากมีการลูบคลำ เคล้าคลึงทางกาย และ/หรือกล่าวคำโอมสวาทเกี้ยวด้วยคำพูดชั่วหยาบต่อมาตุคาม ให้ปรับอาบัติสังฆาทิเสส หากเพียงแค่สำเร็จการนอนร่วมกันในที่มุงบัง แต่มิได้มีการล่วงเกินทางเพศดังกรณีที่ปรับเป็นอาบัติปาราชิกและสังฆาทิเสส คือ เพียงแต่นอนด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้มีการสัมผัสจับต้องใดๆ ให้ปรับอาบัติปาจิตตีย์ ดังนี้เป็นต้น
หรือต้องดูเจตนาว่ามีจิตกำหนัดหรือไม่?
ถูกต้องครับ ต้องดูที่เจตนาเป็นสำคัญ
เห็นผู้หญิงเบียดพระเฉยเลย พอดีท่านหลบไม่ได้
แบบนี้ไม่รู้พระอาบัติหรือเปล่า
กรณีนี้ท่านไม่มีเจตนาถูกต้องสัมผัสกับมาตุคาม เพราะฉะนั้น ไม่เป็นอาบัติครับ
ถึงแม้เป็นพระท่านก็สามารถปรนนิบัติมารดาของท่านได้นะครับ ดูอย่างกรณีของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ที่ท่านปรนนิบัติคุณแม่สุดใจ มีแก้วน้อย สิครับ เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลก็มีภิกษุที่ท่านนำเอาอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตมาเลี้ยงดูบิดามารดาของท่านเลย พระพุทธองค์ก็ทรงสรรเสริญและไม่ถือเป็นการผิดพระวินัยด้วยครับ สรุปว่า ท่านสามารถเลี้ยงดูมารดาของท่านได้ แต่ท่านต้องเลี่ยงการสัมผัสทางกายกับมารดานะครับ มิเช่นนั้น ต้องอาบัติทุกกฏครับ
ต้องอาบัติทุกกฏ ซึ่งอาบัตินี้เป็น "ลหุกาบัติ" คือ อาบัติเบาครับ
ขอแนะนำว่า ทางโรงพยาบาลควรจัดบุรุษพยาบาลเป็นผู้ให้บริการเป็นทางเลือกดีที่สุดครับ และถึงแม้ว่าจะเป็นนางพยาบาลก็ต้องตัดสินกันว่า จิตของท่านในขณะนั้นมีความรู้สึกกำหนัดยินดีด้วยหรือเปล่า? ถ้ามีก็เป็นอาบัติครับ
สรุปว่า พระวินัยในแต่ละสิกขาบท จะผิดหรือถูก จะต้องอาบัติหรือไม่ ให้ดูที่ "เจตนา" เป็นสำคัญ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เจตนานี้เป็นตัวกรรม" ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#9
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 02:27 AM
น้าจี้
#10
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 09:52 AM
ถูกต้องนะครับ ยืนยันด้วย พุทธดำรัสที่ว่า
"ไม่เป็นซิอานนท์ ! เธอระลึกได้อยู่หรือ เราเคยพูดไว้ว่าอารมณ์อันวิจิตร สิ่งสวยงามในโลกนี้มิใช่กาม แต่ความกำหนัดที่เกิดขึ้น เพราะการดำริต่างหากเล่าเป็นกามของคนเมื่อกระชากความพอใจออกเสียได้แล้ว สิ่งวิจิตรสวยงามก็อยู่อย่างเก้อๆ ทำพิษอะไรมิได้อีกต่อไป"
อนุโมทนาบุญกับคุณขุนศึกฯ ด้วยนะครับ ถ้าคุณขุนศึกฯ ได้บวชเมื่อไหร่ ต้องเป็นพระอาจารย์ที่ดีแน่ๆ เลยครับ...สาธุ สาธุ สาธุ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#11
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 10:28 AM
ตรงนี้เป็นคุณค่าของพระวินัยที่ดูที่เจตนา
แต่ปัญหาคือการที่ผู้หญิงเข้าใกล้พระมากนั้น
เกิดจากเจตนา(ของพระ)หรือไม่ ? เราไม่อาจรู้
แต่ก่อนอาจจะไม่กำหนัดยินดี แต่การทำให้บ่อย
เข้าทำให้เกิดความยินดีโดยไม่รู้ตัว
นั่นคือจุดอ่อนของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
พระบางองค์นั่งติดผู้หญิงอาจจะเถียงได้ว่าโยมรู้ได้ไง ว่าอาตมามีความกำหนัดยินดีน่าคิดไหม
#12
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 01:18 PM
เราในฐานะพุทธศาสนิกชน อาจช่วยเหลือพระภิกษูสงฆ์ ได้ เพื่อเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา
เช่น อยู่เป็นเพื่อน พระอาจารย์ ขณะที่ท่าน สนทนากับ โยม
หรือ ถ้ากัลยาณมิตร เป็น หญิง ให้ชวนผู้ชาย ไปด้วยกัน หลาย ๆ ท่าน เพื่อสนทนาธรรมกับท่าน ในที่ที่ผู้อื่นไม่สามารถติฉินได้ครับ
#13
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 04:55 PM
#14
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 08:20 PM
#16
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 12:01 AM
โอ ขนาดยังไม่บวช ก็สามารถให้ธรรมะได้กระจ่างขนาดนี้ แสดงว่าสั่งสมบุญมาดีจริงๆค่ะ สาธุ
แต่คุณ MiraclE_DrEaM ก็ใช่ย่อยนะค่ะ เชื่อว่า บวชเมื่อไรก็ต้องเป็นพระอาจารย์ที่ดีมากเช่นเดียวกันค่ะ
น้าจี้
#17
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 12:12 AM
คิดว่าศาสนาอื่นคงรู้สึกจนมุมมั้งค่ะ ถึงต้องใช้กลเม็ดทั้งหลอกล่อ ทั้งทำลายอย่างนี้
จะเล่าให้ฟังเรื่องตลก ๆ ที่เกิดตอนที่เกิดสึนามิก็แล้วกันค่ะว่า ได้มีนักบวชศาสนา zzz กลุ่มหนึ่งเขียน email ถึงกัน ในทำนองที่ว่า ดีจังวันนี้ไปเจอหมู่บ้านหนึ่งที่ถือศาสนา xxx และ yyy ทั้งหมู่บ้านเลยที่ประสบภัยสินามิ เด๊่ยวเราไปที่หมู่บ้านนี้กันเถอะ ไปบอกเขาว่าถ้าใครเปลี่ยนมานับถือศาสนาเรา เราก็จะสร้างบ้านให้เขาและช่วยเหลือเขา ....
(บังเอิญ email นั้นหลุดมาให้คนรู้จักคนหนึ่งที่ทำมูลนิธิช่วยเหลือ สึนามิ เขาจึงมาเล่าให้เราฟังว่ามีงี้ด้วย ขนาดเพื่อนคนนั้นยังส่ายหัวกับศาสนาของตัวเองเลย ว่า .... เอ่อ ใช้เงินล่อเลยนะเนี่ย )
#18
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:08 AM
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
#19
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:23 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#20
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:33 AM
อย่างเช่นการปฏิบัติอย่างไรครับ แล้วพระสงฆ์ที่ช่วยเหลือตัวเองให้สำเร็จความปราถนาในกามถือว่าผิดศิลไหมครับ?
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
#21
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:44 AM
สำหรับกามราคะในระดับของพระอริยบุคคลนั้น เป็นกามราคะขั้นละเอียดสุขุมที่ เรียกว่าขั้น "สุขุมะ" แล้วนะครับ ส่วนกามราคะที่มีอยู่ในขันธสันดานแห่งปุถุชนนั้น เป็นกามราคะอย่างหยาบ เรียกว่าขั้น "โอฬาริกะ" ครับ จริงอยู่แม้พระโสดาบันและพระสกทาคามี/สกิทาคามียังเป็นผู้บริโภคกาม แต่การบริโภคกามของท่านจะเป็นไปอย่างสำรวมในกาม ไม่มีการล่วงละเมิดในองค์แห่งศีล (สำหรับกรณีของฆราวาสที่เป็นพระอริยบุคคลทั้งสองระดับดังกล่าว ดูตัวอย่างจากท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี (สุทัตตเศรษฐี) และมหาอุบาสิกาวิสาขาก็ได้ครับ) แต่สำหรับกรณีที่ท่านเป็นพระสงฆ์ และเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นในสองระดับดังกล่าว ท่านย่อมไม่ล่องละเมิดในสิกขาบทที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้โดยเด็ดขาดครับ
หากท่านมีเจตนาปล่อยสุกกะ (น้ำอสุจิ) ด้วยความจงใจแล้วล่ะก็ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสข้อ ๑ ครับ ยกเว้นในกรณีที่นอนหลับฝันไป ไม่เป็นอาบัติครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#22
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 12:47 PM
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
#23
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 02:14 PM
อันความดีที่จริงแท้ไม่ต้องปาวประกาศก็มีคนยอมรับ
#24
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 02:22 PM
ยิ่งกว่านี้ก็มีนะค่ะ แผนพิฆาตอื่นๆก็มีค่ะ ฟังแล้วน่ากลัวมากจริงๆ
น้าจี้
#25
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 02:58 PM
เห็นผู้หญิงเบียดพระเฉยเลย พอดีท่านหลบไม่ได้
แบบนี้ไม่รู้พระอาบัติหรือเปล่า
พระอาจารย์เคยบอกว่า
ถ้าพระเจตนาจับต้องผู้หญิงนั้น ต้องอาบัติแน่นอน
แต่ถ้าผู้หญิงมาจับต้องพระ โดยที่พระท่านไม่ยินดีในการนั้น ก็ไม่ต้องอาบัติค่ะ
ส่วนผู้หญิง ถ้าไม่เจตนา ก็ไม่บาป แต่ผลของการกระทำก็มีอยู่
คือจะบังเอิญถูกกระทำในสิ่งที่ตนไม่พอใจในภายหน้า
แต่ถ้าเจตนา (ใจหมอง คิดชั่ว)ก็บาปแน่นอน
ผู้หญิงจึงสมควรระมัดระวังตัว ระวังกิริยามารยาท รวมถึงการแต่งตัวและคำพูดค่ะ
#26
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 03:32 PM
น้าจี้
#27
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 07:59 PM
1) ปาราชิก - เป็นอาบัติแรงสุด เรียกว่า ปลงอาบัติกันไม่ได้และต้องลาสิกขาสถานเดียวครับ แล้วก็หมดสิทธิบวชตลอดชีวิตครับ เรียกว่า อาบัติหัวขาด ก็น่าจะได้
2) สังฆาทิเสส - เป็นอาบัติแรงรองลงมาจากปาราชิกครับ ต้องไป อยู่ปริวาสเพื่อประจานตัวเองแก่หมู่สงฆ์ อาบัติถึงจะหลุดได้ครับ
3) นิสสัคคิยปาจิตตีย์ - เป็นอาบัติที่เกี่ยวกับสิ่งของ ต้องทำการสละสิ่งของชิ้นนั้นก่อน ถึงจะปลงอาบัติหลุดครับ ถ้าไม่สละของก็ปลงไม่หลุด เช่น การขาดผ้าครองเป็นต้น
4) กลุ่มอาบัติที่เหลือทั้งหมดนอกเหนือจาก 3 หัวข้อ เช่น ปาจิตตีย์ ฯลฯ - อาบัติกลุ่มที่เหลือนี้ ทำการปลงอาบัติก็หลุดแล้วครับ เพราะถือว่าเป็นอาบัติที่ไม่ร้ายแรง
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#28
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 09:02 PM
หากต้องการบวชอีกเขาสามารถบวชได้เพียงแค่สามเณร แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ครับ แล้วอาบัติปาราชิกนี่ ถ้าต้องแล้วเป็นมรรคาวรณ์ คือ ห้ามมรรคผล (ห้ามการบรรลุธรรม) เลยนะครับ ตายแล้วลงอเวจีมหานรกสถานเดียวอีกด้วยครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#29
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 09:09 PM
1.สตรี
2.สตางค์
#30
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 09:17 PM
1.สตรี
2.สตางค์
มี ๓ ส. ครับ "สตรี สตางค์ สรรเสริญ" ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"