พระบรมศาสดานั้นเห็นตลอด ท่านก็คิดหนามยอกเอาหนามบ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นกำลังรำพึงถึงสิริมาเพราะติดในรูปที่สวยงามของสิริมา เดี๋ยวเราจะเอารูปที่สวยงามของสิริมาซึ่งตอนนี้แปรปรวนไปแล้ว (เปลี่ยนแปลงไปแล้วเมื่อธาตุเป็นไม่อยู่ เมื่อกายละเอียดของเธอไม่อยู่แล้ว มันเปลี่ยนไป) เอาอันนี้เป็นบทเรียน (เป็นอุปกรณ์ในการสอนพระ เหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง อุปกรณ์ของนางสิริมาเหมือนดอกไม้พระ มันเห็นแล้วชื่นใจ ศพ หรือ ซากอสุภ คือดอกไม้ของพระ พระเห็นแล้วชอบใจสบาย ไม่ฟุ้งเลย)
จึงตรัสว่า
อย่าเพิ่งด่วนเผาศพนางสิริมา ขอให้มหาบพิตรจงทอดร่างของนางสิริมานั้นไว้ในป่าช้าผีดิบ (แปลว่าไม่ต้องเผากันเลย สมัยก่อนเขาวางทิ้งไว้อย่างนี้แหละ และสัตว์ก็จะมากินกัน) ให้รักษาไว้ให้ดี อย่าให้สุนัขและกามากินได้"
พระราชาก็ทรงทำตามที่พระองค์รับสั่ง และก็รับสั่งต่อพวกราชบุรุษให้ทำตามคำของพระบรมศาสดา นางสิริมาถูกหามไปยังป่าช้าผีดิบ
ผ่านไปสี่วัน สรีระของนางก็พองอืด อ้วนขึ้นมาส่งกลิ่นฟุ้ง หนอนตัวโตๆ ได้ไต่ออกจากปากแผลทั้งเก้า หูตาจมูกปากทวารต่างๆ ร่างของนางแตกไปทั่ว หนอนไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
พระราชาก็สั่งให้ตีกลองประกาศไปทั่วพระนครว่า เว้นแต่เด็กๆ ให้เฝ้าเรือน ให้ทุกคนมาดูนางสิริมา ถ้าไม่มาจะถูกปรับแปดกหาปณะ ต้องมากันทั้งเมือง และได้ส่งข่าวไปยังสำนักพระบรมศาสดาว่า
ขอกราบอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอกราบอาราธนาเสด็จมาดูนางสิริมา
(พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่พระวรกายสง่างามนะ งามทีเดียว)
พระบรมศาสดาทรงรับสั่งให้ประกาศในหมู่พระภิกษุว่า
เราทั้งหลายหมดทุกรูปจะไปดูนางสิริมา ให้ทุกรูปไปดูพร้อมๆ กัน
ภิกษุนั้นสี่วันนอนอดอาหารอยู่ ไม่ฟังคำใครทั้งนั้น จำได้แต่ภาพของนางสิริมาที่สวยสดงดงาม แม้กำลังป่วย ยังไม่รู้เลยว่าตาย สิริมา สิริมา แล้วก็ไปขยาย ขยายความคิดออกไป ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ (นี่นะ ถ้านางคุยกับเรานะ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น ก็ไป ฟุ้งซ่านไปเรื่อย)จนข้าวในบาตรบูด บูดแล้ว
เพื่อนภิกษุรูปหนึ่งก็ไปบอกว่า
อาวุโส พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมาน่ะ ท่านจะไปไหม
ภิกษุนั้นพอได้ยินคำว่าสิริมา
สิริมาหรือ
ทั้งๆ ที่หิว ถามว่า (คือหูมันอื้อ)
อะไรนะ
สิริมาไงล่ะ จะพาไปดูสิริมา พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมา ท่านน่ะจะไปไหมล่ะ
ไปสิ ไปสิ ทำไมจะไม่ไป
รีบครองผ้า เอาข้าวบูดไปเททิ้ง ล้างบาตร ใส่ถลกบาตร ไปกับเพื่อนภิกษุ มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่านางตายไปแล้ว (ภาพเก่าๆ ยังอยู่)
พระบรมศาสดามีหมู่ภิกษุแวดล้อมได้ประทับยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง หมู่ภิกษุณี ราชบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ได้ยืนอยู่เป็นส่วน เป็นส่วนๆ กันไป มองเห็นพร้อมกันหมดเลยในบริษัททั้งสี่นั้น พระบรมศาสดาตรัสถามว่า
นี่ใครมหาบพิตร
ท่านเจาะจงไปที่ภิกษุรูปนั้น เพื่อให้เสียงของพระองค์ได้ยินไปถึงภิกษุรูปนั้น
ใครมหาบพิตร
พระราชาก็กราบทูลว่า
น้องสาวหมอชีวก ชื่อสิริมาพระเจ้าข้า
สิริมา นี่ใช่สิริมาหรือ มหาบพิตร นี่ใช่นางสิริมาแน่หรือ
เสียงต้องการให้ภิกษุรูปนั้นได้ยิน ภิกษุรูปนั้นก็ได้ยิน และก็มามั่นใจตอนที่พระราชากราบทูลตอบว่า
ใช่นางสิริมาแน่พระเจ้าข้า
(ตรงนี้สิ ใช่นางสิริมาแน่ โอ้ ความตื่นเต้นหดหาย อับเฉาเหงาหงอยหงอกเข้ามาแทนที่ หมดความตื่นเต้น)
เมื่อพระราชากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
"นี่ใช่นางสิริมาพระเจ้าข้า"
ถ้าใช่ ขอพระองค์จงให้พวกราชบุรุษตีกลองประกาศไปให้ทั่วพระนครเลย และก็ให้ทั่วถึงทุกๆ คน ไม่เว้นแม้แต่เพียงคนเดียว ให้ประกาศว่าใครให้ทรัพย์พันหนึ่ง จงมารับนางสิริมาไป
พระราชาก็ทรงทำอย่างนั้น แต่ผู้ที่ต้องการนางสิริมาและจ่ายทรัพย์หนึ่งพันไม่มีเลย
(หน้าตาของแต่ละคนคิ้วเหมือนติดโบว์ โอ้ อ้า ร้องอื้ออึง)
ชนทั้งหลายไม่มีใครเอาเลยพระเจ้าข้า กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่มีใครเอาเลยพันนึง มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น ลดราคาลงมา
(วันนี้พิเศษ ลดราคา ลดลงมาเลย ใครต้องการใช้บริการลดลงมา)
พระราชาก็ทรงประกาศลดราคา
หากใครให้ทรัพย์ห้าร้อย จงรับตัวนางสิริมาไปเลย
แต่ไม่มีใครรับไปเลย ลดลงมาเหลือห้าร้อยแล้ว และก็ตีกลองให้เวลาเหมือนประมูล
(นี่ตีกลองประกาศลดราคาลงไปอีก
.
.
สองร้อยห้าสิบ
.
.
.
ผ่าน...
.
.
เงียบ..
.
.
สองร้อย
.
.
.
ร้อย..)
จนเหลือหนึ่งกากณิก เป็นเศษสตางค์ (พูดง่ายๆ ก็เป็นเศษสตางค์)
ไม่มีใครรับซื้อเลย ไม่มีใครรับนางไปเลย ก็เลยประกาศเป็นครั้งสุดท้าย
(เอาอย่างนี้ ให้ฟังให้ดีทุกๆ คน ตีกลองรัวเลย โอ้โห ตีรัวได้ยินทั่วถึงหมด)
ถามว่า
ได้ยินทุกคนไหม หากใครประสงค์ต้องการนาง จงมารับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ แต่ก็ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรับนางไปเลย
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขณะนี้ผู้ที่จะรับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ ไม่มีเลยพระเจ้าข้า
พระบรมศาสดาก่อนจะตรัส พระองค์ทรงตรวจดูจิตใจพุทธบริษัททั้งสี่ เน้นไปที่ภิกษุรูปนั้น แต่กล่าวรวมๆ ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูหญิงผู้เป็นที่รักของมหาชน ในกาลก่อนชนทั้งหลายในพระนครนี้ให้ทรัพย์หนึ่งพัน จึงจะได้นางไปวันหนึ่งครอบครอง บัดนี้แม้ผู้ที่จะรับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ ก็ไม่มี ร่างที่งามถึงเพียงนี้ ได้ถึงความเสื่อมและสิ้นไปแล้ว ความงามมันประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา แต่ยังไม่มีหนอน แต่สรีระยนต์เหี่ยวเฉามันจะมีหมู่หนอนอย่างนี้แหละ ภิกษุทั้งหลายเธอจงดูอัตภาพอันเปื่อยเน่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะตรัสบ่อยๆ นะว่าร่างกายนี้เป็นของเปื่อยเน่า คือทั้งเปื่อยทั้งเน่า และได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับความไม่เที่ยงของสังขาร ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็เสื่อมสลายไป แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เราสังเกตไม่ออก แต่กาลเวลาผ่านไป พอฟันหัก ผมหงอก ผิวหนังเหี่ยวย่น มีกระ อะไรต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป เราถึงสังเกตเห็น สังขารมันก็เปลี่ยนไปอย่างนี้แหละ และท่านก็พูดไปเรื่อยๆ
ภิกษุรูปนั้นกับมหาชนก็ฟัง แต่ท่านก็จะเน้นไปที่ภิกษุรูปนั้น พอฟังแล้วใจก็สลด พอสลดก็เบื่อหน่าย เกิดนิพพิทา เบื่อหน่าย ไม่มีความรักในร่างกายของตนและของผู้อื่น พอนิพพิทาและก็วิราคะ คือใจที่ยินดีตรงนี้ก็หลุดไป แล้วก็วิมุตติ หลุด คือคลาย พอเบื่อหน่ายก็คลายความกำหนัดยินดี ถ้าไม่เบื่อก็ไม่คลาย พอเบื่อก็คลาย พอคลายก็หลุด พอวิมุตติหลุดแล้วก็วิสุทธิ บริสุทธิ์ ใจก็เกลี้ยง แล้วก็สันติ คือหยุดนิ่ง พอหยุดนิ่ง ก็ดิ่งเข้าไปในนิพพาน ไปนิพพานได้
(มันจะเรียงกันมานะ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน เบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในร่างกายของตนและผู้อื่น แล้วก็หลุดจากความผูกพัน จิตก็บริสุทธิ์ เกลี้ยงๆ ว่างๆ พอบริสุทธิ์ก็หยุดนิ่ง พอหยุด ดิ่งเข้าไปสู่ภายในถึงองค์พระธรรมกายในตัว)
จึงได้บรรลุธรรมกันเป็นแถว รวมทั้งพระภิกษุรูปนั้นซึ่งคลายความผูกพันสิริมาไปแล้ว คลายไปหมดแล้ว เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหน้าตักห้าวา สูงห้าวา เป็นพระโสดาบันแล้ว
(สาธุ)
oooooooooooooooooooooooooooo
นี่ก็เป็นเรื่องราวของภิกษุรูปนั้น แต่เรื่องราวของนางสิริมายังไม่จบ ยังมีภาคสวรรค์ต่ออีก แต่ว่าตอนนี้ภิกษุรูปนั้นได้ถึงจุดแล้วแห่งความเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น มาเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ก็จะท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเทวโลกกับมนุษยโลก ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้
นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน เบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายความกำหนัดยินดี ใจก็หลุด เกลี้ยงไม่ผูกพันเลย วิสุทธิบริสุทธิ์ สบายใจเป็นกลางๆ ใจที่แกว่งๆ ก็เป็นกลางๆ หยุดนิ่งดิ่งเข้าสู่ภายในถึงพระรัตนตรัยในตัวด้วยประการฉะนี้
เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
Reference Link :
http://www.dmc.tv,
http://www.kalyanamitra.org พระบรมศาสดานั้นเห็นตลอด ท่านก็คิดหนามยอกเอาหนามบ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นกำลังรำพึงถึงสิริมาเพราะติดในรูปที่สวยงามของสิริมา เดี๋ยวเราจะเอารูปที่สวยงามของสิริมาซึ่งตอนนี้แปรปรวนไปแล้ว (เปลี่ยนแปลงไปแล้วเมื่อธาตุเป็นไม่อยู่ เมื่อกายละเอียดของเธอไม่อยู่แล้ว มันเปลี่ยนไป) เอาอันนี้เป็นบทเรียน (เป็นอุปกรณ์ในการสอนพระ เหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง อุปกรณ์ของนางสิริมาเหมือนดอกไม้พระ มันเห็นแล้วชื่นใจ ศพ หรือ ซากอสุภ คือดอกไม้ของพระ พระเห็นแล้วชอบใจสบาย ไม่ฟุ้งเลย)
จึงตรัสว่า
อย่าเพิ่งด่วนเผาศพนางสิริมา ขอให้มหาบพิตรจงทอดร่างของนางสิริมานั้นไว้ในป่าช้าผีดิบ (แปลว่าไม่ต้องเผากันเลย สมัยก่อนเขาวางทิ้งไว้อย่างนี้แหละ และสัตว์ก็จะมากินกัน) ให้รักษาไว้ให้ดี อย่าให้สุนัขและกามากินได้"
พระราชาก็ทรงทำตามที่พระองค์รับสั่ง และก็รับสั่งต่อพวกราชบุรุษให้ทำตามคำของพระบรมศาสดา นางสิริมาถูกหามไปยังป่าช้าผีดิบ
ผ่านไปสี่วัน สรีระของนางก็พองอืด อ้วนขึ้นมาส่งกลิ่นฟุ้ง หนอนตัวโตๆ ได้ไต่ออกจากปากแผลทั้งเก้า หูตาจมูกปากทวารต่างๆ ร่างของนางแตกไปทั่ว หนอนไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
พระราชาก็สั่งให้ตีกลองประกาศไปทั่วพระนครว่า เว้นแต่เด็กๆ ให้เฝ้าเรือน ให้ทุกคนมาดูนางสิริมา ถ้าไม่มาจะถูกปรับแปดกหาปณะ ต้องมากันทั้งเมือง และได้ส่งข่าวไปยังสำนักพระบรมศาสดาว่า
ขอกราบอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอกราบอาราธนาเสด็จมาดูนางสิริมา
(พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่พระวรกายสง่างามนะ งามทีเดียว)
พระบรมศาสดาทรงรับสั่งให้ประกาศในหมู่พระภิกษุว่า
เราทั้งหลายหมดทุกรูปจะไปดูนางสิริมา ให้ทุกรูปไปดูพร้อมๆ กัน
ภิกษุนั้นสี่วันนอนอดอาหารอยู่ ไม่ฟังคำใครทั้งนั้น จำได้แต่ภาพของนางสิริมาที่สวยสดงดงาม แม้กำลังป่วย ยังไม่รู้เลยว่าตาย สิริมา สิริมา แล้วก็ไปขยาย ขยายความคิดออกไป ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ (นี่นะ ถ้านางคุยกับเรานะ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น ก็ไป ฟุ้งซ่านไปเรื่อย)จนข้าวในบาตรบูด บูดแล้ว
เพื่อนภิกษุรูปหนึ่งก็ไปบอกว่า
อาวุโส พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมาน่ะ ท่านจะไปไหม
ภิกษุนั้นพอได้ยินคำว่าสิริมา
สิริมาหรือ
ทั้งๆ ที่หิว ถามว่า (คือหูมันอื้อ)
อะไรนะ
สิริมาไงล่ะ จะพาไปดูสิริมา พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมา ท่านน่ะจะไปไหมล่ะ
ไปสิ ไปสิ ทำไมจะไม่ไป
รีบครองผ้า เอาข้าวบูดไปเททิ้ง ล้างบาตร ใส่ถลกบาตร ไปกับเพื่อนภิกษุ มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่านางตายไปแล้ว (ภาพเก่าๆ ยังอยู่)
พระบรมศาสดามีหมู่ภิกษุแวดล้อมได้ประทับยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง หมู่ภิกษุณี ราชบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ได้ยืนอยู่เป็นส่วน เป็นส่วนๆ กันไป มองเห็นพร้อมกันหมดเลยในบริษัททั้งสี่นั้น พระบรมศาสดาตรัสถามว่า
นี่ใครมหาบพิตร
ท่านเจาะจงไปที่ภิกษุรูปนั้น เพื่อให้เสียงของพระองค์ได้ยินไปถึงภิกษุรูปนั้น
ใครมหาบพิตร
พระราชาก็กราบทูลว่า
น้องสาวหมอชีวก ชื่อสิริมาพระเจ้าข้า
สิริมา นี่ใช่สิริมาหรือ มหาบพิตร นี่ใช่นางสิริมาแน่หรือ
เสียงต้องการให้ภิกษุรูปนั้นได้ยิน ภิกษุรูปนั้นก็ได้ยิน และก็มามั่นใจตอนที่พระราชากราบทูลตอบว่า
ใช่นางสิริมาแน่พระเจ้าข้า
(ตรงนี้สิ ใช่นางสิริมาแน่ โอ้ ความตื่นเต้นหดหาย อับเฉาเหงาหงอยหงอกเข้ามาแทนที่ หมดความตื่นเต้น)
เมื่อพระราชากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
"นี่ใช่นางสิริมาพระเจ้าข้า"
ถ้าใช่ ขอพระองค์จงให้พวกราชบุรุษตีกลองประกาศไปให้ทั่วพระนครเลย และก็ให้ทั่วถึงทุกๆ คน ไม่เว้นแม้แต่เพียงคนเดียว ให้ประกาศว่าใครให้ทรัพย์พันหนึ่ง จงมารับนางสิริมาไป
พระราชาก็ทรงทำอย่างนั้น แต่ผู้ที่ต้องการนางสิริมาและจ่ายทรัพย์หนึ่งพันไม่มีเลย
(หน้าตาของแต่ละคนคิ้วเหมือนติดโบว์ โอ้ อ้า ร้องอื้ออึง)
ชนทั้งหลายไม่มีใครเอาเลยพระเจ้าข้า กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่มีใครเอาเลยพันนึง มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น ลดราคาลงมา
(วันนี้พิเศษ ลดราคา ลดลงมาเลย ใครต้องการใช้บริการลดลงมา)
พระราชาก็ทรงประกาศลดราคา
หากใครให้ทรัพย์ห้าร้อย จงรับตัวนางสิริมาไปเลย
แต่ไม่มีใครรับไปเลย ลดลงมาเหลือห้าร้อยแล้ว และก็ตีกลองให้เวลาเหมือนประมูล
(นี่ตีกลองประกาศลดราคาลงไปอีก
.
.
สองร้อยห้าสิบ
.
.
.
ผ่าน...
.
.
เงียบ..
.
.
สองร้อย
.
.
.
ร้อย..)
จนเหลือหนึ่งกากณิก เป็นเศษสตางค์ (พูดง่ายๆ ก็เป็นเศษสตางค์)
ไม่มีใครรับซื้อเลย ไม่มีใครรับนางไปเลย ก็เลยประกาศเป็นครั้งสุดท้าย
(เอาอย่างนี้ ให้ฟังให้ดีทุกๆ คน ตีกลองรัวเลย โอ้โห ตีรัวได้ยินทั่วถึงหมด)
ถามว่า
ได้ยินทุกคนไหม หากใครประสงค์ต้องการนาง จงมารับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ แต่ก็ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรับนางไปเลย
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขณะนี้ผู้ที่จะรับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ ไม่มีเลยพระเจ้าข้า
พระบรมศาสดาก่อนจะตรัส พระองค์ทรงตรวจดูจิตใจพุทธบริษัททั้งสี่ เน้นไปที่ภิกษุรูปนั้น แต่กล่าวรวมๆ ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูหญิงผู้เป็นที่รักของมหาชน ในกาลก่อนชนทั้งหลายในพระนครนี้ให้ทรัพย์หนึ่งพัน จึงจะได้นางไปวันหนึ่งครอบครอง บัดนี้แม้ผู้ที่จะรับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ ก็ไม่มี ร่างที่งามถึงเพียงนี้ ได้ถึงความเสื่อมและสิ้นไปแล้ว ความงามมันประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา แต่ยังไม่มีหนอน แต่สรีระยนต์เหี่ยวเฉามันจะมีหมู่หนอนอย่างนี้แหละ ภิกษุทั้งหลายเธอจงดูอัตภาพอันเปื่อยเน่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะตรัสบ่อยๆ นะว่าร่างกายนี้เป็นของเปื่อยเน่า คือทั้งเปื่อยทั้งเน่า และได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับความไม่เที่ยงของสังขาร ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็เสื่อมสลายไป แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เราสังเกตไม่ออก แต่กาลเวลาผ่านไป พอฟันหัก ผมหงอก ผิวหนังเหี่ยวย่น มีกระ อะไรต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป เราถึงสังเกตเห็น สังขารมันก็เปลี่ยนไปอย่างนี้แหละ และท่านก็พูดไปเรื่อยๆ
ภิกษุรูปนั้นกับมหาชนก็ฟัง แต่ท่านก็จะเน้นไปที่ภิกษุรูปนั้น พอฟังแล้วใจก็สลด พอสลดก็เบื่อหน่าย เกิดนิพพิทา เบื่อหน่าย ไม่มีความรักในร่างกายของตนและของผู้อื่น พอนิพพิทาและก็วิราคะ คือใจที่ยินดีตรงนี้ก็หลุดไป แล้วก็วิมุตติ หลุด คือคลาย พอเบื่อหน่ายก็คลายความกำหนัดยินดี ถ้าไม่เบื่อก็ไม่คลาย พอเบื่อก็คลาย พอคลายก็หลุด พอวิมุตติหลุดแล้วก็วิสุทธิ บริสุทธิ์ ใจก็เกลี้ยง แล้วก็สันติ คือหยุดนิ่ง พอหยุดนิ่ง ก็ดิ่งเข้าไปในนิพพาน ไปนิพพานได้
(มันจะเรียงกันมานะ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน เบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในร่างกายของตนและผู้อื่น แล้วก็หลุดจากความผูกพัน จิตก็บริสุทธิ์ เกลี้ยงๆ ว่างๆ พอบริสุทธิ์ก็หยุดนิ่ง พอหยุด ดิ่งเข้าไปสู่ภายในถึงองค์พระธรรมกายในตัว)
จึงได้บรรลุธรรมกันเป็นแถว รวมทั้งพระภิกษุรูปนั้นซึ่งคลายความผูกพันสิริมาไปแล้ว คลายไปหมดแล้ว เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหน้าตักห้าวา สูงห้าวา เป็นพระโสดาบันแล้ว
(สาธุ)
oooooooooooooooooooooooooooo
นี่ก็เป็นเรื่องราวของภิกษุรูปนั้น แต่เรื่องราวของนางสิริมายังไม่จบ ยังมีภาคสวรรค์ต่ออีก แต่ว่าตอนนี้ภิกษุรูปนั้นได้ถึงจุดแล้วแห่งความเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น มาเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ก็จะท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเทวโลกกับมนุษยโลก ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้
นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน เบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายความกำหนัดยินดี ใจก็หลุด เกลี้ยงไม่ผูกพันเลย วิสุทธิบริสุทธิ์ สบายใจเป็นกลางๆ ใจที่แกว่งๆ ก็เป็นกลางๆ หยุดนิ่งดิ่งเข้าสู่ภายในถึงพระรัตนตรัยในตัวด้วยประการฉะนี้
เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
Reference Link :
http://www.dmc.tv,
http://www.kalyanamitra.org อ่า.. ในที่สุดก็มาถึงตอนที่ 4 กันแล้ว ตอนสิริมาไปบังเกิดเป็นเทพธิดาบนสรวงสวรรค์
ได้อ่าน comment ของคุณฉิม ที่กล่าวว่า คาดว่านางสิริมาคงมีบุญผูกพันกับนางอุตรามาแต่ชาติปางก่อน ไม่งั้นคงจะไม่เป็นกัลยาณมิตรพาไปให้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อืมม อันนี้ก็คงต้องไปติดตามเฉลยกันในตอนถัดๆ ไปนะ
ส่วนสามีของนางอุตรา โดยส่วนตัวคาดว่า นางก็คงจะทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้แก่ตัวสามีและครอบครัวฝ่ายสามีจนสำเร็จนั่นแล แต่อาจจะไม่ได้นำมากล่าวในที่นี้
ooooooooooooooooooooooooooo
ตอนที่ 4 สิริมาเทพธิดา
นางสิริมา ตอนนี้เป็นพระโสดาบันแล้ว เป็นพระอริยบุคคลแล้ว เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปบังเกิดในเทวโลก ได้ตรวจตราดูทิพยสมบัติของตนว่าได้มาด้วยบุญอันใด
เทพธิดาใหม่ก็ได้ตรวจที่มาของทิพยสมบัติ ก็พบว่าสมบัติเหล่านี้บังเกิดขึ้นได้เพราะเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราได้สั่งสมบุญในบุญเขตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(นี่เป็นเครื่องประดับของเธอนะที่คล้ายๆ ดอกบัวบาน เป็นรัดเกล้า นี่เป็นรัตนชาติทั้งนั้นนะ หลากลีลาทีเดียว เพราะฉะนั้นนี่นะไม่ต้องไปคิดจนกะโหลกบานสติเฟื่อง
...นี่ไปลอกเขามาทั้งหมด และพวกนั้นเขาเอาไว้โชว์นะ แหวนที่นิ้วนี่ มีกี่นิ้วใส่ทั้งหมด แต่ถ้ามาใส่ในเมืองมนุษย์เขาว่าบ้า แต่บนนั้นถ้าใครไม่ใส่เนี่ยเขาว่าเชย เพราะเขาเอาไว้โชว์กัน บนสวรรค์เอาไว้โชว์ เมืองมนุษย์เอาไว้ใช้ และก็มีกรอบบังหน้า เหมือนแปะติด เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดว่าตนเองนั้นสวย ก็ไปเทียบกันดู จะรู้ว่าเรานั้นขนาดไหน
...พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเคยให้พระนันทะเทียบเหมือนกัน ตอนก่อนจะพาพระนันทะขึ้นไปบนสวรรค์
นันทะ เธอเห็นอะไรที่ตอไม้ไหม
เห็นพระเจ้าข้า ภิกษุนันทะ พระอนุชาตอบ
อะไรหรือ
ลิงจุ่นพระเจ้าข้า
จำไว้นะ
และก็พาไปดูเทพธิดาบนสวรรค์ พอเห็นเทพธิดาบนสวรรค์ ท่านถามคำถามเดิม
นันทะ เธอเห็นอะไรไหม
เห็นพระเจ้าข้า
อะไรหรือ
เทพธิดาพระเจ้าข้า
เทียบกับนางชนบทกัลยาณีที่เธอคิดถึงอยู่ตลอดเวลา (เหมือนภิกษุรูปนั้นคิดถึงสิริมาน่ะ) กับเทพธิดานี่ เป็นอย่างไร
โอ้ นางชนบทกัลยาณีที่ข้าพระองค์หลงใหล เหมือนลิงจุ่น
ใครที่คิดว่างาม จงดูซะ ถ้าเราจะแปลงเพศทั้งที แปลงให้ได้อย่างนี้ ถ้าแปลงไม่ได้อย่างนี้ สั่งสมบุญเอาไว้นะ แล้วเราก็ไปเอาดีเป็นผู้หญิงในภพเบื้องหน้า ชาตินี้เราอดทนอดกลั้นเอาไว้ ไม่แปลง แต่ว่าเราเปลี่ยนใจเสียใหม่ สั่งสมบุญกุศลเอาไว้เยอะๆ และเราอยากเป็นผู้หญิงหรือ ไปเกิดเป็นเทพธิดา จะสวยแบบนี้)
แล้วก็ได้เห็นในทิพยจักษุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับยืนอยู่
(นี่กำลังระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเรามีทิพยสมบัติอย่างนี้เพราะพระองค์)
เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับแวดล้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์ และมหาชนจำนวนมากต่างมาประชุมพร้อมกันใกล้ร่างของตน
(ใช้คำว่าอัตภาพก่อน ก่อนเธอจะมาเป็นอย่างนี้ เธอเป็นอย่างนั้นก่อน ทีนี้ร่างที่ทอดอยู่เหมือนท่อนไม้ที่ทิ้งไว้ในป่า ให้ใครฟรีๆ ก็ไม่เอาตอนนี้เห็นไหม พอกายละเอียดเดินออกจากกายมนุษย์ เหลือกายหยาบ นี่เทียบกันไม่ได้เลย)
เธอมองเห็นในทิพยจักขุ เธอจึงพร้อมกับนางเทพอัปสรบริวารห้าร้อย และเทวรถอันเทียมด้วยม้าอีกห้าร้อยคัน ลงมาปรากฏกายต่อหน้าพระพักตร์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะนั้นเลย ยืนประคองอัญชลี เมื่อลงจากเทวรถแล้ว ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง
(เธองามสง่าทีเดียว สวยสดงดงาม)
ขณะนั้นพระวังคีสะเถระ ยืนอยู่ไม่ไกลจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระอรหันต์ ได้เห็นเหล่านางเทพอัปสรนั้นในทิพยจักขุ ด้วยธรรมจักขุ ได้กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคย์เจ้า ข้าพระองค์ประสงค์จะถามคำถามต่อเทพธิดา
ดูก่อนวังคีสะ ตถาคตอนุญาติให้เธอถามปัญหากับเทพธิดานั้นได้
พระวังคีสะก็ถามเลย ถามเทพธิดาผู้เป็นประธาน ว่า
ดูก่อนนางเทพธิดา เทวรถอันเทียมด้วยม้าทั้งหลายของเธอ ประดับประดาอย่างวิเศษอลังการแล้ว เหาะไปในอากาศ มีกำลังมาก วิ่งได้เร็ว ดูเวลาท่านจะพูดให้เทพธิดาปลื้ม เธอมีเครื่องประดับอลังการ มีรัศมีสว่างรุ่งเรือง ราวกับดวงไฟโชติช่วง เป็นที่น่าดู น่าเลื่อมใส เป็นผู้มีรูปสวยงามทุกส่วน ดูแล้วไม่จืดจางเลย (คือมีรสชาติ ไม่จืด)
...ดูก่อนนางเทพธิดาผู้งามสง่า อาตมาขอถามเธอว่า เธอน่ะ มาจากสวรรค์ชั้นไหน จึงได้มาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า
เมื่อชื่นชมบุญบารมีกันแล้ว จึงถามนางเทพธิดานั้นเมื่อถูกพระเถระถามถึงที่มาของตน ก็ตอบว่า
ดิฉันเป็นเทพธิดาชั้นนิมานรดี สวรรค์ชั้นที่ห้า เป็นเทวดาชั้นที่ห้า เป็นสวรรค์ชั้นที่สามารถเนรมิตทิพยสมบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญตามความปรารถนาของตน
(คือสวรรค์ชั้นนี้เนี่ย เราอยากจะให้วิมานเราเปลี่ยนแปลงหรืออะไรต่างๆ อย่างไร เราเนรมิตเอาเลยตามกำลังบุญของเรา)
...ดิฉันและเหล่าบริวารมาที่นี่ เพื่อนมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า
พระเถระได้ฟังถึงที่มาของนางแล้ว ประสงค์ให้นางเทพธิดานั้นบอกถึงบุญที่เคยทำในภพก่อน จึงกล่าวว่า
เธอได้สร้างบุญอะไรไว้ในภพก่อน เพราะบุญอะไร จึงทำให้เธอได้มีทิพยสมบัติอันยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ อีกทั้งยังมีรัศมีกายที่รุ่งเรืองสว่างไสวไปทั่วทั้งสิบทิศ (เธอสง่างามจริงๆ)
...ดูก่อนเทพธิดา เธอเป็นผู้มีเหล่าบริวารแวดล้อมสักการะมากมาย เธอมาจากที่ใดจึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ก่อนจะไปบังเกิดในเทวโลกนั้น อยู่ตรงไหน มาจากไหน ท่านมีศรัทธาในคำสอนของศาสดาองค์ใด จึงได้นำคำสอนนั้นมาปฏิบัติตาม หากเธอเป็นสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเธอโปรดบอกอาตมาด้วยเถิด
(ไพเราะจังเลย พระวังคีสะ)
เทพธิดานั้นก็ตอบว่า
ตอนเป็นมนุษย์ดิฉันเกิดกรุงราชคฤห์ ที่ปกครองโดยพระเจ้าพิมพิสาร ดิฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญชำนาญด้วยศิลปะฟ้อนรำขับร้อง ท่านทั้งหลายในกรุงราชคฤห์รู้จักดิฉันในนามว่าสิริมาเจ้าค่ะ ดิฉันคือสิริมา
...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้เป็นพระบรมศาสดาของดิฉัน พระองค์ได้ทรงแสดงอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางถึงความดับทุกข์ ที่ไม่คด เป็นทางตรง ทางเกษม ดิฉันได้ฟังอมตธรรมที่เป็นคำสอนของพระตถาคตเจ้า ผู้ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่า
...ดิฉันสำรวมอย่างดีในศีลทั้งหลาย ตั้งอยู่ในธรรม คือคำสอนอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว (หรือทรงแนะนำแล้ว) ดิฉันรู้ธรรมที่ปราศจากกิเลสที่ไม่มีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว
...ดิฉันได้สัมผัสสมาธิจากความสงบในอัตภาพนั้น เกิดความสงบ จนกระทั่งดิฉันได้บรรลุอมตธรรมอันประเสริฐ พ้นจากความเป็นปุถุชน มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างเดียว บรรลุคุณวิเศษขั้นแรก เป็นพระโสดาบัน ไม่เกิดในทุคติอีกต่อไป
...ที่ดิฉันมานี่ก็เพื่อถวายบังคมพระพุทธองค์ผู้ไม่มีผู้อื่นประเสริฐยิ่งกว่า เพื่อมานมัสการเหล่าภิกษุผู้ยินดีในกุศลธรรม เป็นผู้ที่น่าเลื่อมใส
...ดิฉันได้พบพระมหามุนีแล้ว มีใจบันเทิง อิ่มด้วยรสแห่งปีติ ขอถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึก เป็นผู้นำและทำประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก
สิริมาเทพธิดาครั้นประกาศความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว ก็ได้กระทำประทักษิณ คือเวียนรอบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทางขวาตามเข็มนาฬิกา และเหล่าภิกษุสงฆ์ และก็กลับไปสู่เทวโลกแห่งเดิม เทพธิดาสิริมาอรรถกาถาจารย์ก็จบด้วยประการฉะนี้
ooooooooooooooooooooooooooooo
ก่อนจะอ่านเรื่องต่อจากนี้ จะขอทำความเข้าใจกับเพื่อนๆ ที่กันก่อนนะคะ
เนื้อหาที่จะอ่านกันข้างล่างนี้ เป็นการถอดเทปพระธรรมเทศนาของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หลวงพ่อธัมมชโย จากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง DMC
เรื่องราวในอดีตชาติของสิริมานี้ ไม่มีกล่าวเอาไว้ในพระอรรถกถาจารย์ แต่ด้วยความเมตตาของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ท่านได้นำเรื่องราวในอดีตชาติของสิริมามาเปิดเผยจากการฝันในฝัน (เป็นคำนิยามในรายการอนุบาลฝันในฝันวิทยา ที่ใช้เรียกแทนการนั่งสมาธิเข้าไปดูเรื่องราวความเป็นจริงต่างๆ) และได้นำมาเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง DMC ซึ่งได้เผยแพร่ไปยังพุทธศาสนิกชน และศาสนิกชนศาสนาอื่นๆ ทั่วโลก เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจเรื่องราวของกฎแห่งกรรมมากขึ้น ว่าเหตุจากการกระทำหนึ่งจะส่งเป็นผลวิบากแน่นอน แต่จะช้าจะเร็วเท่าไหร่ เรามิอาจรู้เท่าทันการส่งผลนั้นได้ บ้างก็ชาตินี้เลย บ้างก็ชาติหน้า บ้างก็ชาติถัดๆ ไปอีก เพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ยึดหลักเหตุและผล ทุกอย่างเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล และทุกผลที่เกิดขึ้นมีเหตุทั้งนั้น
สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่มีความเชื่อเรื่องบุญ-บาป การทำสมาธิได้ฌาณ มีฤทธิ์ เรื่องราวปาฏิหารย์ กฏแห่งกรรม ชีวิตหลังความตาย อดีตชาติ อนาคตชาติ และเรื่องราวเหนือจินตนาการอีกหลากหลายในพุทธศาสนา โปรดอ่านอย่างผ่านสายตา แต่อย่าได้ใช้ความคิด จินตนาการว่าสิ่งที่ได้อ่านนั้นไม่เป็นจริง เป็นไปไม่ได้ ไม่มีจริง และทำการลบหลู่ดูหมิ่นในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อศาสนาพุทธ
ถึงแม้ท่านจะไม่เชื่อ แต่โปรดอย่าได้ลบหลู่เลย ให้ท่านทำใจกลางๆ ให้เผื่อได้ เผื่อเสีย(เพื่อเป็นการดีสำหรับตัวท่านเอง) เอาไว้ ว่า หากเรื่องราวในความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธมีจริง ก็จะได้ไม่ติดลบ คือทำบาปทางจิต แต่หากไม่มีจริง หรือไม่เป็นจริง ก็เท่ากับเจ๊ากันไป ไม่มีใครเสีย นะคะ
เนื้อหาด้านล่างนั้น หลวงพ่อธัมมชโย ได้แจกแจงรายละเอียด ซึ่งเป็นการแทรกหลักธรรมะ คำสอนที่เหมาะแก่การเข้าใจ และนำไปปฏิบัติตามได้ดีมาก อยากจะให้เพื่อนได้อ่านโดยละเอียดทุกคำเลยค่ะ
ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดค่ะ ก็มาอ่านเรื่องราวอดีตชาติของสิริมากันได้เลยจ้ะ
oooooooooooooooooooooooooo
ตอนที่ 5 อดีตชาติของนางสิริมา ตอนที่ ๑ อรรถกโถจารย์
นี่ก็เป็นเรื่องราวอรรถโถจารย์ที่ฝันเป็นตุเป็นตะ และนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา ฟังพอเพลินๆ สบายๆ เพื่อที่เราจะได้มองเห็นภาพของเธอได้ชัดเจนขึ้น
ตอนนี้ท่านเป็นพระอริยบุคคลแล้ว อยู่บนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี สวรรค์ชั้นนี้จะต้องการอะไร ก็เนรมิตตามกำลังบุญที่ตนสั่งสมเอาไว้ตอนเป็นมนุษย์
แต่ว่าตอนก่อนที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านก็เป็นหญิงงามเมือง หรือที่เราคุ้นกับคำว่าโสเภณี และก็มีเหตุการณ์อะไรต่างๆ ทำให้ได้มีโอกาสมารับฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในที่สุดก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
วันนี้เราย้อนไปอีก เพราะในอรรถกถาจารย์ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าทำไมเธอถึงเป็นหญิงโสเภณี และก็มีหน้าตาสวยสดงดงาม อีกทั้งรวยด้วย และได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ได้กล่าวถึงบุพกรรมตอนนี้ มีแต่เล่าไปอย่างที่ได้เล่าให้ฟัง ฉะนั้นตอนนี้เราก็ต้องมาฝันเป็นตุเป็นตะกันต่อ
-------------
ย้อนอดีตการไปในชาติหนึ่ง ชาตินั้น นางได้เกิดเป็นบุตรชายของพ่อค้าท่านหนึ่ง ซึ่งมีกิจการค้าขายซึ่งต้องเดินทางไปต่างเมืองด้วยกองเกวียนกันอยู่บ่อยๆ พ่อค้าท่านนั้น มีเพื่อนที่เป็นพ่อค้าอยู่ตามเมืองต่างๆ อยู่หลายเมือง เมื่อไปถึงเมืองนั้นก็จะไปพักกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในเมืองๆ นั้น
ต่อมาภายหลังเมื่อบุตรชายเจริญวัยขึ้นมา ก็ได้สืบทอดกิจการจากผู้เป็นพ่อ ให้ทำหน้าที่ดูแลการค้า จึงมักจะต้องเดินทางไปซื้อของเมืองโน้นมาขายเมืองนี้ และบางทีก็ซื้อของเมืองนี้ไปขายเมืองนั้นหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันไปเรื่อยๆ ในการเดินทางไปต่างเมือง ก็ต้องไปพักที่บ้านของพ่อค้าผู้เป็นสหายของบิดาในแต่ละเมืองมีสหายของบิดาเยอะ
กล่าวถึงเมืองๆ หนึ่งซึ่งมีพ่อค้าที่เป็นสหายรักของบิดาท่านหนึ่ง พ่อค้าท่านนี้เดิมก็มีภรรยาอยู่ท่านหนึ่ง (สหายบิดานี่นะ)
แต่ต่อมาภายหลังภรรยาของท่านก็ได้เสียชีวิตลง จึงได้ครองตนเป็นพ่อหม้ายมาตลอด
อยู่มาภายหลัง ได้มีลูกหนี้ที่ได้ยืมทรัพย์ไปแล้วแต่ก็ไม่อาจจะใช้ทรัพย์คืนได้ จึงได้ยกลูกสาวแสนสวยให้กับพ่อค้าท่านนั้นเป็นการใช้หนี้ (เอาลูกมาใช้หนี้แทนเงิน) ซึ่งพ่อค้าก็ดีใจ (ถูกใจมาก เพราะตกพุ่มหม้าย) จึงได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากับหญิงสาวคนนี้
เมื่อพ่อค้าหนุ่มได้เดินทางมาถึงเมืองๆ นี้ ก็ได้มาพักอาศัยอยู่กับพ่อค้าที่เป็นเพื่อนของพ่อ และก็ได้รู้จักกับภรรยาใหม่ของเพื่อนพ่อด้วย
เมื่ออาศัยอยู่ในบ้านนั้นนานๆ เข้า ก็เริ่มรู้จักคุ้นเคยกับภรรยาสาวของเพื่อนพ่อมากขึ้น จึงเริ่มถูกตาต้องใจ เนื่องจากภรรยาสาวนั้นมีหน้าตาสวยงามและก็อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน
(ตรงนี้แหละอกุศลเข้าสิงจิตแล้ว จุดมันเริ่มต้นจากตรงนี้ ตรงไปพึงพอใจภรรยาสาวของสหายพ่อซึ่งอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน)
หลังจากนั้นก็ได้วนเวียนมาพักอยู่เสมอ จนกระทั่งครั้งหนึ่งเพื่อนของพ่อนั้นไม่อยู่ ไปธุระต่างเมือง
(มันเริ่มมาจากความพอใจก่อนนะ ถ้าหากว่าไม่ดับมันตอนนั้นด้วยขันติธรรม อดทน อดกลั้นแล้วล่ะก็ มันจะมาต่อ ถ้าไม่ดับไฟที่ปลายหัวไม้ขีด เมื่อมันขีดข้างกลัก มันมีสิทธิ์ไหม้ ลามไปไหม้ที่อื่นได้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้)
ภรรยาสาวเพื่อนพ่อจึงได้ดูแลต้อนรับแทนด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย
(เพราะความคุ้นเคยกันอย่างนี้แหละ)
ในที่สุดก็ได้ลักลอบมีสัมพันธ์ชู้สาวกัน
(นี่มันมาเริ่มตรงนี้ กรรมสำเร็จแล้ว คิดจะทำ ลงมือทำเลยเนี่ย set program เลย ตรงนี้ พอสำเร็จเป็นกรรมแล้ว เมื่อจะคิด พูด ทำ ก็จะ set program เป็นผังสำเร็จ เป็นวิบากไปแล้ว กิเลส กรรม วิบาก กิเลสก็บังคับให้มีความคิด มีสัมพันธ์กัน แล้วก็พูดเป็นสื่อ แล้วก็ลงมือทำ จบปั๊บก็ set เป็นผังไปเลย ทำครั้งหนึ่งก็ไปใช้อีกหลายครั้งนับไม่ถ้วนเลย มีวิบากรองรับ ตรงนี้แหละที่มนุษย์ไม่ให้โอกาสตนเองมาศึกษาความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม นึกว่า เอ๊ะ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรเลย มีความพึงพอใจกันก็น่าจะ OK ทำไมต้องมีนรก ทำไมต้องมีสวรรค์ มันไม่ยุติธรรม คนจะคิดกันอย่างนั้น เพราะว่าตกลงปลงใจกัน แต่ทีนี่เนื่องจากเราตกอยู่ภายใต้ Law of Karma กฏแห่งกรรม ตรงนี้สิที่มันมีผล มีภพมีภูมิมารองรับ เพราะผู้ที่เอากิเลสมาบังคับ เขาเป็นผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก พญามารเขามีฤทธิ์มาก เขาจึงเอากระแสของโลภะ โทสะ โมหะ เข้ามาบังคับ)
หลังจากนั้นก็ได้มีการนัดแนะลักลอบมีความสัมพันธ์กันบ่อยขึ้น โดยเพื่อนของพ่อไม่ทราบเลย
นอกจากหญิงสาวรายนี้แล้ว พ่อค้าหนุ่มท่านนี้ก็มักจะไปมีสัมพันธ์กับหญิงสาวตามเมืองต่างๆ ด้วย
(ผ่านเมืองไหนก็มีที่นั่น มีไปเรื่อยๆ เลย นั่นคือจุดเริ่มต้น)
ก่อนละโลกก็มีกรรมนิมิต (คือภาพแห่งการกระทำ ก็มาฉายให้เห็นเป็นเรื่องเป็นราวเลย ว่าเจอคนนั้นคนนี้คนโน้น อะไรต่างๆ) และก็มีคตินิมิตที่ดำมืด
คตินิมิตที่ดำมืดก็ดูดเข้าไปสู่ภพของอบายภูมิ มาตกนรกอยู่ที่มหานรกขุม 3 ด้วยกรรมเจ้าชู้นั่นเอง
(ก็มาถูกฉับ เฉือน เชือด ชัวะ ชะ อะไรต่างๆ อีกมาก มุ่งไปที่อุปกรณ์ตรงนั้นแหละ
...นายนิรยบาลที่เกิดขึ้นด้วยวิบากกรรมของสัตว์นรกนั้นก็บังเกิดขึ้น มีทั้งนางนิรยบาลเกิดขึ้น แล้วก็เป็นเครื่องฑันทรมานอยู่ในมหานรกยาวนานทีเดียว
...ตรงนี้ก็มนุษย์เหมือนกัน ไม่ค่อยจะมาศึกษาความรู้ตรงนี้ ว่าหากประกอบเหตุอย่างนี้ จะต้องไปเป็นผลอย่างนี้ เรื่องเหตุเรื่องผลไม่ค่อยได้ศึกษากัน)
พอพ้นจากมหานรกแล้วก็มาอุสสทนรก แล้วก็มายมโลก
(ไปปีนต้นงิ้วที่ยมโลกเมื่อกรรมเบาบางลงไปแล้ว)
และก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตั้งแต่สัตว์ชั้นต่ำ หนอนในห้องน้ำ มด แมลง เป็นต้น ไล่เรื่อย จนกระทั่งสัตว์ใหญ่ขึ้นมา และก็เป็นสัตว์แต่ละอย่างกันนับครั้งไม่ถ้วน
กระทั่งโตเรื่อยๆ ขึ้นมา จนกระทั่งสามสัตว์สุดท้าย ก็เป็นพวกลิงบ้าง เป็นลาบ้าง เป็นวัว เป็นควายบ้าง พวกที่เป็นวัวเป็นควายก็เพราะไปสวมเขา อะไรอย่างนั้น
และก็มาเป็นสุนัขที่สำส่อน สมสู่อย่างสำส่อนอย่างนั้นแหละ
(เห็นอย่างนี้ อุ๊ย น่ารัก แต่ว่ามีวิบากมาทั้งสิ้นนั่นแหละ)
พอพ้นจากกรรมตรงนั้นแล้วเป็นเวลายาวนาน จึงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็มาเป็นหญิง และก็มามีอาชีพเป็นโสเภณี ขายบริการทางเพศ
(กรรมมันจะบันดาลให้เข้าไปสู่เส้นทางนั้นเอง จะสมัครใจ จะถูกบังคับ หรืออะไรก็แล้วแต่ล่อลวง สารพัด ทำให้ต้องไปอยู่ตรงนั้น)
แล้วก็วนเวียนเป็นโสเภณีอยู่หลายๆ ชาติทีเดียว
(เป็นร้อยๆ ชาติ เห็นไหมว่า ทำแค่ไม่นานเท่าไหร่ ไม่กี่ครั้ง เพราะว่าช่วงอายุไม่นานเท่าไหร่ของมนุษย์ แต่ไปใช้ทียาวนานมาก มันไม่คุ้มกันเลย)
เป็นโสเภณีอยู่หลายร้อยชาติ จนในชาติหนึ่ง ได้เกิดเป็นหญิง และก็ได้ไปเป็นโสเภณีในสำนักของหญิงงามเมือง ซึ่งมีหญิงโสเภณีที่เลื่องชื่อประจำเมือง ได้ไปเป็นหญิงโสเภณีสมาชิกของสำนักนี้
หญิงงามเมืองเลื่องชื่อคนนั้นมีความงามมาก และก็มีความสามารถในการฟ้อนรำขับร้อง เป็นดาวเด่นประจำเมือง
(คือ ร้องรำทำเพลงอะไรต่างๆ และก็บริการทุกอย่างเพื่อให้เกิดความพึงพอใจ และก็ได้เงินมา)
จึงมีลูกค้าในระดับมหาเศรษฐี มหาอำมาตย์ และเชื้อพระวงศ์มาใช้บริการอยู่เป็นประจำ ซึ่งเมื่อเปรียบค่าบริการแล้วก็ประมาณหนึ่งพันกหาปณะต่อคืน (คือแพงมากละกันในยุคนั้น) ถ้าใครให้หนึ่งพันกหาปณะก็จะได้ครอบครองเธอหนึ่งคืน
ส่วนโสเภณีอดีตพ่อค้าหนุ่มนั้น เป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงไม่ค่อยมีลูกค้ามาใช้บริการ (ไม่ค่อยสวย อดีตพ่อค้าหนุ่ม มาเป็นโสเภณีแล้วนะ หน้าตาไม่ค่อยสวย)
จะมีลูกค้าประเภทบริวารติดตามเจ้านายมาใช้บริการ ซึ่งได้ค่าบริการไม่มากนัก ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในความอาภัพของตนที่เกิดมาไม่สวยเท่ากับหญิงงามเมืองเจ้านายคนนั้น อาภัพ
คืนหนึ่ง เป็นคืนที่ไม่มีลูกค้ามาใช้บริการเลย เธอก็กลุ้ม
(แทนที่จะสบายเนื้อสบายตัว แต่ว่าเธอกลุ้ม เพราะว่ากรรมมันไปบีบคั้น นอกจากคิดว่ามันเป็นทางมาแห่งทรัพย์แล้ว มันยังมีความกลุ้ม มีความกำหนัดยินดีในกามอยู่ในตัว เพราะวิบากกรรมมันไปบังคับให้เธอคิดหรือรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา)
จึงนอนไม่ค่อยจะหลับ และก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด ลุกจากเตียงแล้วก็ออกไปเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงประตูเมือง
(ยุคนั้นมีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า)
เช้าวันนั้น พระปัจเจกพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
(พระปัจเจกพระพุทธเจ้าคือ ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครสอน แต่ก็ไม่สอนใคร คือ ขวนขวายน้อย)
ได้ออกภิกขาจารมาถึงบริเวรประตูเมือง
(คือท่านคงตรวจในญาณเป็นปกติของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า และเข้าไปในข่ายพระญาณของท่านว่า จะต้องมาโปรดหญิงโสเภณีคนนี้)
ก็ผ่านมาทางนั้นพอดี เป็นบุญลาภของเธอ เธอได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วเกิดจิตเลื่อมใส
(ปกติโสเภณีนี่เขินกับพระนะ จะไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ฝากทำบุญอย่างนี้ก็มี แต่จะให้จะจะอย่างนี้ ไม่ค่อยกล้า มีความรู้สึกว่าตัวเราไม่ค่อยสะอาด อะไรแบบนี้ ไม่อยากเจอ)
เห็นแล้วเกิดจิตเลื่อมใส ความเลื่อมใสของเธอทำให้เธอเดินเข้าไปกราบอาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าให้ไปรับภัตตาหารที่เรือนของตน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รับอาราธนาด้วยอาการสงบนิ่งๆ (แต่ก็รู้กันได้ว่าท่านรับแล้ว)
เธอดีใจมาก รีบกลับไปที่บ้าน และปลุกเพื่อนหญิงโสเภณีอีกคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ด้วยความง่วงนอนของเพื่อน เพราะโดยปกตินางจะต้องัรบแขกในช่วงกลางคืน ในตอนแรกนางจึงปฏิเสธ แต่ก็ทนการรบเร้าชักชวนของหญิงสหายมิได้ (เอ้า ไปก็ไป) จึงจำต้องลุกขึ้น และมาช่วยกันจัดเตรียมภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ครั้นเตรียมภัตตาหารเสร็จแล้ว แล้วก็นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้รับภัตตาหารหน้าเรือนของตน
หลังจากนั้นนางทั้งสองก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน โดยหญิงโสเภณีอดีตพ่อค้าหนุ่มจอมเจ้าชู้ก็ได้อธิษฐานว่า
ด้วยผลบุญนี้ ดูดวงปัญญาของเธอนะ ขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นหญิงโสเภณีที่งดงามที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด และก็มีรายได้ดีที่สุด
(ดวงปัญญาเธอมีอยู่แค่นั้นแหละ กรรมมันไปบีบคั้น ที่เธออธิษฐานเช่นนี้ก็เพราะความคับแค้นใจที่เกิดมาไม่สวย ไม่มีชื่อเสียงเท่าหญิงงามเมืองดาวเด่นคนนั้น พอกรรมมันบีบคั้น บางทีก็ไม่รู้จะอธิษฐานยังไงเหมือนกันนะ ประกอบกับวิบากกรรมกาเมยังส่งผลอยู่ จึงทำให้นางอธิษฐานติดในกามเช่นนั้น ให้ติดในกามเพราะวิบากกรรมเจ้าชู้นั่นแหละมันติด)
แต่ท้ายที่สุด ก็ยังได้อธิษฐานว่า
ขอให้ได้บรรลุธรรมที่พระคุณเจ้าบรรลุ และได้เห็นธรรมที่พระคุณเจ้าได้เห็น
(ก็ยังดี มีช่องแสงสว่างแห่งดวงปัญญาหน่อยนึง ก็มีบุญเก่าที่เคยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาส่งผลให้ นิพพาน ปัจจโย โหตุ)
ส่วนหญิงสหายของนางนั้นใกล้จะหมดกรรมแล้ว จึงทำให้นางอธิษฐานว่า
ด้วยบุญนี้ ขอให้ชาติต่อไปไม่ต้องมาทำงานเช่นนี้อีก
(เห็นไหมว่ามันขึ้นอยู่กับกรรมหนัก กรรมเบา เพราะฉะนั้นคำอธิษฐานจะไม่เหมือนกัน)
...และได้เป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติร่ำรวย ให้ได้เกิดในตระกูลเศรษฐี มีดวงปัญญาคิดได้ และขอให้ได้มีดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกับพระคุณเจ้าด้วย
(เห็นไหม ใกล้จะหมดกรรมเจ้าชู้ กรรมกาเมแล้ว ก็จะอธิษฐานอย่างนี้)
พระปัจเจกพุทธเจ้า
(ท่านเป็นแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ เพราะก่อนจะมาบิณฑบาต ท่านก็เข้านิโรธสมาบัติตรวจตรา เป็นบุญของบุคคลนี้ เป็นแหล่งแห่งพลังงานบุญธาตุ บุญธาตุที่จะปรุงให้เกิดความสุขและความสำเร็จในชีวิต ให้ความปรารถนาของผู้ที่มาใส่บาตรนั้นสมหวัง สมหวังดังใจทุกสิ่ง เพราะใจท่านมันสว่างหมด มีพระธรรมกายพระปัจเจกพุทธเจ้าสว่างไสวทีเดียว หมดกิเลสแล้ว หลุดร่อนไปหมดแล้ว กะเทาะหลุดหมดทุกกายไปแล้ว)
ท่านก็นิ่งๆ
พอทั้งสองอธิษฐานจบ ท่านก็กล่าวว่า
ขอความปรารถนาของเธอทั้งสองที่ได้ตั้งใจไว้ด้วยดีนั้นจงสำเร็จทุกประการเทอญ เอวํ โหตุ ให้เป็นเช่นนั้น
ooooooooooooooooooooooooooooo
นี่ก็เป็นเรื่องราวของสิริมาอรรถกโถจารย์ ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา โปรดติดตามเรื่องราวอดีตชาติของสิริมาต่อ ในตอนต่อไป
เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
Reference Link :
http://www.dmc.tv,
http://www.kalyanamitra.orgตอนที่ 6 อดีตชาติของนางสิริมาตอนที่ ๒ อรรถกโถจารย์
...หลังจากนั้นเธอก็ได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารตามกำลังบุญ-บาป
(ก็ได้ไปเกิดเป็นโน่น เป็นนี่ เป็นอะไร สารพัดไปเรื่อยๆ
อย่าลืมว่าบุญหรือบาปก็ดี เวลาให้ผลก็ต้องมีเวลาทำงานเหมือนกัน
...บุญจะให้ผลก็ต้องมีเวลาทำงานของบุญ
...บาปเวลาจะให้ผล ก็มีเวลาทำงานของบาป
...เหมือนโรคจะเกิดในกาย มันก็ต้องมีเวลาทำงานของเชื้อโรค
...ยาที่จะเข้าไปรักษาโรค ก็จะต้องมีเวลาทำงานของยา
บุญบาปก็ในทำนองเดียวกัน
ฉะนั้น บางทีเราทำบุญ ก็นึกว่า เอ๊ะ ทำไมมันไม่ส่งผลปุ๊บปั๊บ หรือเราดันตายก่อนอย่างนี้ บางทีมันก็ต้องมีระยะเวลาให้บุญทำงาน หรือการทำบาป เขาทำชั่วอย่างนี้ มันน่าจะส่งผลปุ๊บปั๊บ บาปก็ต้องขอเวลาทำงานเหมือนกัน จนกระทั่งมันเต็มที่ถึงจะส่งผลได้ มันเป็นอย่างนี้นะ)
จนกระทั่งหญิงงามเมือง อดีตพ่อค้าหนุ่มเจ้าชู้ ได้มาเกิดเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงาม
(ความปรารถนาของเธอมาสำเร็จตรงนี้แล้ว)
และก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหญิงงามเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด และมีค่าตัวแพงที่สุด
(นี่ยังไม่ใช่ภพสิริมานะ เป็นชาติก่อนนี้ บุญนี่มาส่งผลในระดับตรงนี้แล้ว เป็นหญิงงามเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด มีค่าตัวแพงที่สุด คืองาม เป็นนางงามเมือง)
เพราะความงาม และความดังของเธอ ทำให้ลูกค้าที่ร่ำรวยมีตระกูลสูงในระดับคฤหบดี ขุนนาง รวมถึงเชื้อพระวงศ์มาใช้บริการ
ชื่อเสียงของนางนั้นโด่งดังไปจนกระทั่งไปเข้าหูเจ้าชายที่เป็นรัชทายาท เจ้าชายจึงได้แอบปลอมตัวมาเที่ยว และก็ใช้บริการกับหญิงงามเมืองคนนี้
(เจ้าชายมาเลย ก็เธอเล่นอธิษฐานอย่างนั้นนี่)
จนในที่สุดก็ได้ตกหลุมรักนางจนถอนตัวไม่ขึ้น (พอตกหลุมรัก ถอนตัวไม่ขึ้น ทำอย่างไร) ก็ได้รับตัวนางเข้าไปพักอยู่ในวังด้วยกัน (วังกว้าง มีหลายห้อง อะไรต่างๆ)
แต่ว่า ความลับไม่มีในโลก
ข่าวของเจ้าชายก็ได้รู้ไปถึงพระราชาผู้เป็นพระราชบิดา ท่านก็รู้สึกเป็นห่วง ว่าเจ้าชายจะติดใจหญิงงามเมืองคนนี้มากเกินไปเสียแล้ว อาจจะทำให้เสียโอกาสในการขึ้นครองราชย์ในเบื้องหน้า
จึงได้ไปสู่ขอเจ้าหญิงอีกเมืองหนึ่งซึ่งมีชาติตระกูลเสมอกันมาเป็นพระชายา
(ดู.. เจ้าหญิงอีกเมืองหนึ่ง เธอสวยสง่างามทีเดียวแหละ)
กาลเวลาผ่านไปไม่นาน พระราชาก็ได้สวรรคตลง
(ล้วนตายหมด ไม่ว่าจะเป็นหญิง เป็นชาย หรือไม่ใช่หญิง ใช่ชาย ตายหมด ล้วนแก่ ล้วนเจ็บ ล้วนตาย พระราชา มหากษัตริย์ จนถึงยาจก วณิพก ตายหมด
..ความตายนี่ ไม่เป็นความประสงค์ของเราเลย และก็ไม่ควรจะเป็นความประสงค์ของใครด้วย ก็ยังไม่อยากตายนี่)
เจ้าชายหนุ่มก็ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระราชบิดา พระชายาก็ได้รับการอภิเษกขึ้นเป็นอัครมเหสี
ส่วนหญิงงามเมืองคนนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมเอก เธอมีความทะเยอทะยานและความริษยามาก อยากจะเป็นอัครมเหสีเสียเอง
(คิดอยู่ในใจ ความคิดจึงขยายมาสู่ระบบประสาทกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเธอ จนเป็นอย่างนี้)
เธอจึงวางแผน คือส่งคนรับใช้ที่ไว้ใจได้ของตน เข้าไปเป็นนางกำนัลในตำหนักของอัครมเหสี ต่อมาไม่นาน
นางกำนัลคนนั้นก็ได้เข้าไปทำการประจบประแจงจนเป็นที่รักใคร่และไว้ใจของอัครมเหสี จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดประจำพระองค์
เมื่อเป็นเช่นนั้น นางสนมเอกจึงใช้ให้นางกำนัลคนนั้นใส่ยาพิษที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสลงไปในอาหารวันละนิด ในที่สุดพระอัครมเหสีก็ล้มป่วยด้วยโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ
(ซึ่งเธอก็ต้องมีวิบากกรรมน่ะ)
และก็สิ้นพระชนม์ในที่สุด
(ล้วนตายหมด ตายธรรมดาก็มี ตายไม่ธรรมดาก็มี ตายหมด)
เมื่อสิ้นอัครมเหสีไปแล้ว พระราชาก็โศกเศร้าเสียใจได้ไม่นาน ก็มีอาการอยากแต่งตั้งนางสนมเอกมาเป็นอัครมเหสีแทน
(พระราชามีอาการ ก็ทำให้เหล่าเสนาอำมาตย์มีอาการเช่นกัน)
เหล่าเสนาอำมาตย์ได้ทูลทัดทานโดยให้เหตุผลว่า ชาติตระกูลของนางไม่เหมาะสม เพราะมาจากอาชีพหญิงงามเมือง
(เห็นไหมว่าต่างก็มีอาการเหมือนกัน)
ซึ่งเกรงว่าจะเสียขัตติยราชประเพณี และประชาชนอาจจะไม่ยอมรับ เหล่าเสนาอำมาตย์จึงพร้อมใจกันไปสู่ขอราชธิดาจากอีกเมืองหนึ่ง เพื่ออภิเษกกับพระราชาสืบไป
นางสนมเอก เมื่อไม่ได้เป็นอัครมเหสีก็เกิดความคับแค้นใจ และก็ตรอมใจตาย
(เธอตายเพราะเธอตรอม บุญเธอไม่ถึง)
พอละจากอัตภาพนั้นแล้วก็ได้ไปเวียนว่ายตายเกิดเสวยผลบุญบาปของตน ซึ่งความจริงแล้วเธอต้องไปมหานรก เพราะได้กระทำบาปเอาไว้ แต่เพราะบุญที่เคยทำไว้กับพระปัจเจกพุทธเจ้ามาอุ้มเอาไว้ จึงยังไม่ต้องไปอบาย
(เห็นไหม ทำบุญกับพระมันดีอย่างนี้นะ ทำบุญกับพระไว้ก่อนเถิด คือใส่บาตรพระ หรือทำบุญกับพระ นี่เป็นของสากลนะ ทุกคนทำได้ ถ้าได้ทำ ทำไปเถิด มันได้แต่บุญ ไม่มีบาปหรอก อย่าไปคิดมาก เพราะพระนี่เป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสังสาร ท่านทำพระนิพพานให