สติกับนิมิตเวลาตาย
#1
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 07:21 PM
#2
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 07:42 PM
#3
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 08:01 PM
#4
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 08:10 PM
#5
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 08:12 PM
#6
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 08:47 PM
คือนิมิตเกิดจาก:
๑.บุพกรรมนำหน้า ในอดีตชาติทำกรรมใดไว้ให้ส่งผลปรากฏตามแรงดีชั่วที่ได้ทำไว้ เช่นฆ่าสังหารหมู่ผู้คนก็อาจเห็นนิมิตภาพนรกน่ากลัว
๒.ปัจจุบันกรรมนำหน้า ที่กระทำมาส่งผลเป็นได้ทั้งดีและเลวเช่นกัน เช่นตักบาตรเป็นแสนอาจเห็นนิมิตเป็นพระมาก ๆ ก็ได้กำลังนำทาง
๓.อจินตกรรมนำหน้า กรรมที่ใจใฝ่ผันอยากเป็นอยากไปตอนที่ชีวิตยังดี ๆอยู่ มาปรากฏเช่นอยากไปดุสิตบุรีและได้ประกอบเหตุไว้พอเพียงไปได้ก็อาจจะปรากฏ
เห็นราชรถมารอรับเป็นต้น
ฉะนั้นตอนศึกชิงพบมีความสำคัญมากใจไปเกาะกับอะไรก็จะไปสู่สิ่งนั้นก่อน หรือส่งผลก่อน(ใจ บาป&บุญเป็นตัวแปร) จึงต้องอธิษฐานจิตให้ล้อมคอกให้
บุญศักดิ์สิทธิ์ส่งผลก่อนและตัดรอนวิบากกรรมวิบากมาร ส่วนตายแล้วจะไปไหนไปดีมีสุคติเป็นที่ไป หรือไปไม่ดีก็มีทุคติเป็นที่ไป
#7
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 08:59 PM
ถ้าหมายถึงจะมีปรโลกอย่างไร สุขคติภพหรือทุกคติภพ นั้น
ขึ้นอยู่กับ สภาวะจิตสุดท้าย หรือภาพนิมิตสุดท้าย คือ ใจใส หรือหมอง มืด หรือ กึ่งๆ ไม่ใส ไม่หมอง เป็นหลักครับ
เรื่องมีสติก่อนตาย ไม่ได้บ่งชี้ว่า ใจใส เพียงอย่างเดียวนะครับ
มีสติ แต่ใจหมองก็มี
เหมือน เจ็บปวดกาย ทุกขเวทนากายหนักหน่วง ก็มีสติรับรู้ ความเจ็บ ปวด เต็ม ๆ แบบนี้ ใจคงใสยาก
แต่ก็คงมีหลายคนที่ใกล้ตาย มีทุกขเวนาทางกาย มีภาพหรือนิมิต ทางอกุศล มาเบียดเบียน
จึงแสดงออกทางกิริยาทางกาย ดวงพักตร์ ดวงเนตร คำพูด เสียงร้อง ในทางไม่ดีนัก
แต่สามารถต้านทานได้ด้วยกำลังสมาธิที่เคยฝึกไว้
และนึกถึงกุศลนิมิต กระทั่งใจใสในวาระจิตสุดท้าย มีสุคติภพในปรโลก ก็มี แต่คงไม่มากนัก
ดังนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ต้องขยันละชั่ว อกุศลกรรมบททั้งปวง
หมั่นทำความดี กุศลกรรมบท บุญกิริยา ๑๐ บารมี ๑๐
โดยเฉพาะ เจริญสัมมาสมาธิ ฝึกจิต ให้สงบ สว่าง ไว้สู้ทุกขเวทนาและอกุศลนิติที่จะมาเบียดเบียน
มีผู้รู้ให้ข้อคิดว่า
การหมั่นบำเพ็ญทานกุศล รักษาศีล นั้นดี ประเสริฐ ก็จริงอยู่
แต่ถ้าหย่อนเรื่องการฝึกจิต สัมมาสมาธิ
ถ้าเวลาใกล้ตาย มีอกุศลนิมิต มาเบียดเบียน
ภาพบุญจากการทำทาน เอาไม่อยู่
ต้านทานอกุศลกรรมหนัก ๆหรือไม่หนักแต่เป็นอาจิณกรรม หรืออกุศลกรรมที่แหนงใจตนเอง ไม่ได้
ต้องอาศัยกำลังสมาธิ มาช่วย
เช่น กรณี ภิกษุรูปหนึ่ง บวชพระนาน ๒๐,๐๐๐ ปี ในสมัยพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่จิตสุดท้ายนึกถึงภาพ เคยพายเรือพรากของเขียว คือ ตะไคร้น้ำ แล้วยังไม่ได้ปลงอาบัติ
ก่อนมรณะภาพ ท่านพะวงเรื่องนี้ ใจจึงไม่ใสเท่าที่่ควร ต้องไปเกิดเป็นพญานาค (พญาเอรกปัตตนาคราช )
http://84000.org/tip...?...mp;i=24&p=3
หรือกรณีมเหสีของพระราชาองค์หนึ่ง อยู่ในสมัยพุทธกาลด้วย ได้ทำบุญกุศลในเนื้อนาบุญ
ทั้งๆที่ได้สั่งสมทานกุศลไว้มาก
แต่จิตสุดท้าย มีภาพอกุศลนิมิต เคยเสพกามกับสัตว์
เพราะเคยอธิษฐานไว้ในปางก่อนทำนองว่า ให้ได้เป็นคู่กันอีกในชาติต่อๆไป
ชาตินี้ ท่านเกิดเป็นมนุษย์ แต่อดีตคู่รัก มาเกิดในอัตภาพสัตว์เดรัชฉาน
ด้วยอำนาจกรรมและคำอธิษฐานที่ไม่รอบคอบในอดีต มาบีบคั้น
จึงต้องเสพสังวาสกับสัตว์
เมื่อมีอกุศลนิมิตตอนเสพกามกับสัตว์มาเบียดเบียน วาระจิตสุดท้าย ของท่านจึงหมอง
ดังนั้นเรื่อง ใจใส ใจหมอง สำคัญมากนะครับ ทั้งในขณะมีชีวิตอยู่ กระทั่งวาระศึกชิงภพก่อนตาย
เชิญพิจารณาตามสมควรนะครับ
จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป
จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา
#8
โพสต์เมื่อ 23 October 2010 - 09:08 PM
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผมก็จะพยายามลดเรื่องอกุศลทั้งปวงและฝึกฝนจิตเจริญสติเป็นประจำจะได้ไปดีไปชอบ
แต่ถ้าเป็นไปได้.......... นิพพาน..........เห็นจะดีที่สุด
#9
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 02:14 AM
วิธีป้องกัน ก็คือ ต้องจด ความดี, บุญ ที่เคยทำไว้ในชีวิต หรืออาจเป็นภาพถ่ายเก็บไว้ แล้วก็เอามาดูบ่อยๆ เวลาใกล้ตายถ้านึกถึงบุญไม่ออกก็สามารถเอามาดูได้ หรือให้ลูกหลานอ่านให้ฟัง หรือพูดให้ฟังได้ บางเวลา...แม้มีสติ(หมายความว่ารู้ตัวเองอยู่กว่ากำลังทำอะไร เป็นอะไร ไม่ได้เห็นนิมิตรน่ากลัวที่เคยทำผิดชั่วไว้) แต่ก็อาจมีบางอย่างกันไว้ ทำให้นึกถึงบุญที่เคยทำไม่ออก การจดหรือเก็บรูปถ่ายไว้ก็จะช่วยให้สามารถนึกถึงบุญที่เคยทำได้ และสามารถนึกได้ละเอียดไม่ตกหล่นมากกว่า
ดิฉันเองก็ต้องเริ่มจดบ้างแล้ว ว่าทำบุญอะไรบ้าง
วิธีป้องกันที่สอง ลืมอดีตที่ผิดพลาด และไม่ทำบาปใหม่เพิ่ม
อีกวิธีเตรียมตัวตายให้ญาติก็คือ เปิดเสียงสวดมนต์ให้ฟัง
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#10
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 02:34 AM
จำหลักการสั้น ๆ คือ
ฝ่ายอกุศล(ธรรมดำ) นั้น ต้อง
stepที่ 1. ให้ ละ ลด เลิก ดีที่สุดรู้แล้วหักดิบไปเลย เช่นดื่มเหล้า ไม่ต้องละ ไม่ต้องลด แต่เลิกเด็ดขาดไปเลย ลงแดงตาย ?
stepที่ 2. ป้องกันอกุศลกรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นโดยไม่ประมาท เช่นไม่ไปลองนั่นลองนี่เช่นทดลองยาเสพติดเป็นต้น
..........................................
ฝ่ายกุศลกรรม(ธรรมขาว)
stepที่1. สิ่งใดทำดีอยู่แล้วก็รักษาไว้ทำต่อไปให้ต่อเนื่อง เช่นการนั่งสมาธิ ฯลฯ
stepที่2. สิ่งใดดีที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็พยายามทำให้เกิดขึ้น เช่นปกติรักษาศีลห้า แล้วขยับมาเป็นศีลแปดเป็นต้น
....................................สรุปแล้วต้องฝึกฝน ๆ ๆ ๆ ตัวเราเองให้บริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ >>>เพื่อไปสุ่นิพพาน
#11
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 06:45 AM
#12
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 12:56 PM
#13
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 10:53 PM
เพราะวิทยาธร คนทันธ์ ขับสีตีเป่าเป็นภาค ๆ หนึ่งของชั้นจาตุ สวยงาม สุขสันติ์บรรเทิงเริงรมณ์ด้วยดนตรี ป่าไม้สีทอง
#14
โพสต์เมื่อ 24 October 2010 - 10:55 PM
... ถ้า คตินิมิตร เป็นที่ไป เห็นได้สองแบบคือ ดี กับ ไม่ดี สุค กับ ทุค
....สติ เป็น องค์ประกอบของ ใจ ทำให้เกิดการนึกคิดได้ ถ้าขาดสติ ก็ขาดการนึกคิดไตร่ตรอง ซึ่ง สตินี้ สามารถฝึกและบังคับได้ แต่ คตินิมิตร ฝึกไม่ได้ จะเห็นตอนใกล้หมดอายุขัยเท่านั้น และเห็นคนเดียว
#15
โพสต์เมื่อ 24 September 2011 - 02:30 PM
เป็นบุญอย่างมากนะครับที่ได้มาอ่านแล้วศึกษา