ขอข้อคิดสำหรับคนที่ผิดหวังกับความรักหน่อยสิครับ
#1
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 04:03 PM
หาก webmaster เห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม ลบได้เลยนะครับ และกราบขออภัยด้วยครับ
อนุโมทนาครับ
#2
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 04:06 PM
#3
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 04:49 PM
#4
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 04:53 PM
มีจบ
มีพบ
มีพราก
#5
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 05:19 PM
วันเวลาผ่านไป ๆ ตอนนี้ทำอะไรอยู่
หรือ เคยเสียน้ำตาให้บิดามารดา บ้างไหม แล้ว ๆ คน ๆ นั้นเขาเป็นใครล่ะครับ
เอ่ะ ตรงไปไหมนี่ย อย่าคิดมากน่ะครับ
อกหัก ดีกว่ารักไม่เป็น แต่ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าลองรักเลย เอ้า เดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นคนจืดชืดซ่ะอีก ความรักน่ะเป็นสิ่งสวยงาม
แต่ก็ต้องถามก่อนว่า คุณรักเขาจริงไหม หากเขาไปดี หรือเลือกคนที่เขารัก เหมือนคุณที่ก็ต้องเลือกคนที่ตัวเองรัก มันก็เป็นเรื่องที่แสดง
สปีชี้ เอ้ย สปิริตไม่ใช่หรือ ก็ต้องเลือกคนที่ตัวเองรักสิ (ไม่ได้แทงใจดำน่ะเนี่ย) คนที่ใช่ ไม่มีใครรู้หรอก นอกจากคน ๆ นั้นเอง (คนละแนว)
ตอนนี้ เข้าใจผู้โพสว่า หากได้ยินเพลง แนว ๆ อกหัก รักร้าว คงอินไปสักพัก แต่เมื่อผ่านพ้นเวลามาช่วงหนึ่งแล้ว ก็จะนึกขำ ๆ ตัวเองน่ะละ
แหม้ ตื่นเต้น ๆ สักพัก ให้หัวใจได้ฝึกความเข้มเข้มทนทานกับความผิดหวังบ้าง ไงก็เมื่อตั้งหลักเสาได้ อย่าลืมนึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังน่ะครับ ที่เขามีรักแท้ให้คุณเสมอ ๆ พ่อแม่ไงจ้ะ อย่ามัวทำเศร้า หงอยเหงาเป็นกุ้งขาดสารอาหารน่ะครับ เดี๋ยวท่านจะเป็นห่วง
ว่าแต่ ช่วงนี้นั่งสมาธิรู้เรื่องไหมเนี่ย พรรษานี้ต้องตอบครูไม่ใหญ่ด้วยนา ตอนตอบจะได้ไม่อ้อมแอ้มเคอะเขิน แอบชำเรืองดูคนนั่งข้าง ๆ ก่อนน่ะ
ก็ไม่รู้ช่วยไรได้บ้างป่าวน่ะ แต่อยากให้คิดดี ๆ ว่ารักคือทุกสิ่งทุกอย่างของเราอ่ะป่าว ความจริงเป็นสิ่งที่รับได้ สุขภาพแข็งแรงน่ะครับ
#6
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 05:27 PM
อย่าไปนึกตอนกำลังหวานแหววเด็ดขาด
แล้วอย่าไปทำร้ายตัวเองด้วยการฟังเพลงอกหักนะคะ เสียดายคุณภาพใจเปล่าๆ
หางานที่ชอบทำ เช่นถ้าชอบอ่านหนังสือก็ให้หาหนังสือดีๆมาอ่าน
ชอบเล่นเน็ตก็เล่น แต่เลือกเว็บดีๆอย่าง DMC.TV เป็นต้น
หางานมาทำให้ยุ่งๆ ใจจะได้ไม่คิดมาก ออกกำลังกาย อย่ามัวจมอยู่กับความคิด
และที่สำคัญ หาคุณค่าของตัวเองให้เจอ อย่าเอาความสุขไปผูกอยู่กับใครก็ไม่รู้
ที่มองไม่เห็นคุณค่าของเรา...กาลเวลาจะช่วยรักษาทุกอย่างเองค่ะ
ขอให้หายไวๆนะคะ อกหัก..ไม่ทำให้ตายหรอก..ขอรับรอง
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#7
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 05:38 PM
มีแต่ผิดหวังจากความโลภ ความใคร่
ถ้าเรารักแล้ว เราจะไม่มีวันทุกข์
แต่ถ้ารักเรามีความโลภและความใคร่เป็นเครื่องจุดกำเนิด ทุกข์จึงเกิดเมื่อพรากหรือไม่ได้ครอบครอง
ดังนั้นคุณลองถามตัวเองเถอะค่ะ
ว่าคุณรักเขา หรือคุณรักตัวเองแล้วอยากได้เขามาเป็นของๆคุณ
ถ้ารักตัวเองล่ะก็ ปล่อยเขาไป เพราะแค่เราเท่านั้นที่จะทำให้ตัวเราเองพอใจได้
อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#8
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 05:50 PM
(จากคนที่มีภาระ แง แง แง เผลอไปแย้ววววว )
#9
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 05:55 PM
ตอนที่1 http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4869
ตอนที่2 http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4870
แล้วก็ลองไปอ่านเรื่องนางโกกิลาภิกษุณีนะครับ
ตอนที่ 1 http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4863
ตอนที่ 2 http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4864
ตอนที่ 3 http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4866
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#10
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 06:13 PM
#11
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 06:32 PM
#12
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 08:22 PM
เอาแบบคร่าวๆ นะคะ
คู่บุญ --> ทำบุญมาด้วยกัน เลยมาเสริมกัน
คู่เวร --> จองเวรกันมา พอเป็นคู่กัน ก็มาทะเลาะกัน
กรณีคู่เวรที่รุนแรงที่สุด นี่ ประมาณคู่ของเสริมกับจันจิรา หรือคู่หมอผัสพร อะไรประมาณนี้นะ
ถามว่ารักมั้ย ก็ยังรัก แต่พอขัดใจ หรือมีเรื่องกระทบกระทั่งก็ถึงกับฆ่ากัน
แล้วฝ่ายที่โดนฆ่าก็อาฆาตจองเวรกลับ
พอชาติหน้าเกิดมาเจอกันใหม่ ไอ้ที่ใจส่วนนึงยังรัก มาเป็นแฟนกันใหม่
แต่ความที่จองเวร พอเจอเรื่องมาสะกิดระเบิดเวลา ก็ฆ่ากัน
พวกนี้ผลัดกันฆ่า ไปหลยๆ ชาติ ได้ยินมาว่า เป็นพุทธันดรเลยทีเดียว
เวลาเรารักใครก็คงอยากให้เป็นคู่บุญมากกว่า ใช่ป่ะ
แล้วธรรมะสำหรับการครองเรือน ครองคู่ให้มีความสุข ก็ต้องมี 4 อย่างเสมอกัน (แต่จำไม่ได้ค่ะ ใครช่วยหามาบอกหน่อยสิจ๊ะ)
ดังนั้นเวลาจะตัดสินใจครั้งสำคัญนี่ ชั่งน้ำหนักให้มากๆ คิดถึงธรรมะสำหรับการครองเรือนครองคู่ (อย่าลืมไปหาอ่านนะ) + ต้องมีศีล 5 ด้วย
แล้วคิดเผื่อไปซักนิดนึงว่า ถ้าเกิดมีเรื่องกระทบกระทั่งครั้งใหญ่ขึ้นมา จะยังรักและให้อภัยกันได้หรือเปล่า
เพราะถ้าให้อภัยไม่ได้ ก็ยากที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะ
ดีไม่ดี เกิดมีเรื่องหมางใจกันขึ้นมา ถ้าอีกฝ่ายจองเวรล่ะก็ 555 ไม่สนุกหรอก ถึงแม้ว่าไม่ถึงตายอ่ะนะ
แล้วผู้หญิงสมัยนี้ไม่ค่อยน่ารัก ไม่รักนวลสงวนตัว เห็นแล้วอยากอธิษฐานให้เป็นหมันซะดีกว่าถ้าจะมีลูกแบบนี้ ไม่อยากได้
ตอนนี้กำลังกลัวว่าน้องๆ หลานๆ หรือญาติจะไปทำตัวแบบนี้ สังคมกับสื่อมันแรง
เปิ้ล
ปล. โพสต์ตอนง่วง อาจตอบตรงไปหน่อยนะ
#13
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 08:55 PM
#14
โพสต์เมื่อ 13 July 2006 - 11:08 PM
เนื้อหาก็มีว่า หลวงพ่อถามธรรมทายาทว่า ไหนใครคิดว่าพ่อแม่มีพระคุณเหลือล้นบ้าง ก็ยกมือกันทุกคน หลวงพ่อจึงถามต่อว่า ไหนใครซาบซึ้งถึงขนาดคิดทุกวัน คิดตลอดทั้งวันว่า พ่อแม่มีคุณกับเรามากขนาดนี้ เราต้องคอยหาทางตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างนั้นอย่างนี้ วันหนึ่งๆ คิดกี่ครั้ง
ปรากฏว่า ไม่มีใครยกมือเลย
หลวงพ่อถามใหม่ สงสัยมันจะมากเกินไป เอางี้ วันหนึ่งยกไว้ อาทิตย์หนึ่งคิดกี่ครั้ง
ก็ยังไม่มีใครยกมือ
หลวงพ่อถามใหม่ อาทิตย์หนึ่งยกไว้ เดือนหนึ่งคิดกี่ครั้ง ก็ยังไม่มีใครยกมือ คราวนี้หลวงพ่อจึงถามว่า เดือนนึงยกไว้ ปีหนึ่งคิดกี่ครั้ง ถึงตอนนี้ค่อยมีคนยกมือ
หลวงพ่อบอกก็ยังดี คราวนี้หลวงพ่อขอถามใหม่ว่า แล้วที่คิดจะไปหาลูกสาวชาวบ้านเขามาเลี้ยงนี่ วันหนึ่งๆ คิดกี่ครั้ง
ปรากฏว่ามีเสียง เฮ ดังลั่น เรียกว่า แทงใจดำ
หลวงพ่อจึงบอก นี่มันเป็นซะอย่างนี้นะ พ่อแม่มีคุณมาก แต่คิดถึงท่านปีละครั้ง สงสัยวันพ่อวันแม่ หรือบางคนไม่คิดเลย แต่เรื่องลูกสาวชาวบ้านล่ะก็ คิดเกือบตลอดเวลา เราต้องลองไปคิดทบทวนใหม่นะ
#15
โพสต์เมื่อ 14 July 2006 - 02:20 AM
น้าจี้
#16
โพสต์เมื่อ 14 July 2006 - 08:50 AM
....จากคุณพรชัย
ความรัก ความห่วงหาอาวรณ์ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขจากความพอใจในสิ่งที่ตนรัก ในบุคคลที่เรารัก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รักเราแต่ขอให้เราได้รักเขาก็พอ ได้ดูแลเอาใจใส่เขาก็พอแล้ว มีความสุขแล้ว ถ้าจะว่านิยามแห่งความรัก ก็คงจะเป็นความรักคือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน และให้อภัยทุกอย่างเมื่อเธอทำไม่ดีกับฉัน คนที่มีความรักเช่นนี้ เป็นคนที่น่ารักมากๆ ...แต่ก็น่าสงสารอย่างมากมิน้อยไปกว่ากัน จะว่าเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาก็มิใช่ เพราะมีความรักที่แผงด้วยความจริงใจด้วยความมีเมตตาจิตมิตรภาพ มีความเอื้ออาทรและมีความเสียสละตลอดทั้งให้อภัย ถึงแม้ภายในจิตใจจะมีความสุขแต่มิวายที่จะมีความทุกข์เจือปนอยู่บ้าง สมดั่งพุทธพจณ์ที่ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
ทุกข์เพราะความอยากนั่นเอง เมื่อมีความอยากก็มีความยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งนั้นเป็นของเราๆอยากได้สิ่งนั้นมาครอบครอง เมื่อไม่ได้สมปราถนาก็เป็นทุกข์ เมื่อไม่สมหวังดั่งที่คิด ก็ทำจิตปล่อยวางก็พอทุเลาเบาทุกข์ลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ ส่างไม่หายไม่วายที่จะต้องเป็นทุกข์ เพราะยังมีความรักมีความอยากมีความยึดก็ต้องมีความทุกข์เป็นธรรมดา ถึงแม้ไม่ได้เขามาเป็นคู่ครองแต่ถ้าใจยังมีความรักต่อเค้า
ก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยธรรมดา ในเมื่อมีห่วงคล้องใจมีสายใยมัดตัว จิตก็ขาดความเป็นอิสระภาพ แล้วจะมีวิธีแก้อย่างไร วิธีแก้คือการรู้จักมองโลกในความเป็นจริงตามธรรมชาติของโลก ถึงแม้เราจะมีความรักต่อกันอย่างเต็มร้อยฉันยอมตายเพื่อปกป้องเธอๆก็ยอมตายเพื่อปกป้องฉัน รักกันหวานชื่นและซื่อสัตย์ต่อกันถึงขนาดนั้น ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมีลูกมีหลาน ตราบจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร นี่หรือคือความสมหวังของความรัก ในที่สุดก็ต้องพรากก็ต้องจากกันไป
ตามกฏธรรมชาติของโลกก็คือความไม่เที่ยงนั่นเอง เราต้องมองโลกในแง่แห่งความเป็นจริง ถ้าเราไปหลงรักในสิ่งที่ไม่เที่ยง ก็จะพลอยเป็นทุกข์ เพราะสังขารทั้งหลายนั้นมิใช่ตัวตน มิใช่ของเรา มิใช่ตัวเรา ไม่อยู่ในบังคับบรรชาของใครทั้งนั้น ถ้าเราทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วรู้แจ้งตามเป็นจริงแล้ว จิตที่เคยมีความรักใครรักสิ่งใดๆก็จะจางคลายในความรักนั้นลงเสียได้ จิตที่เคยมีความชังความแค้นใครก็จะจางคลายจากความชัง นี่แหละจึงกล่าวได้ว่าจิตปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งใดๆในโลก จิตจึงมีความสะอาด ปราศจากความ โลภ ความโกธร ความหลง จิตสว่าง มีความเบิกบานสำราญใจไม่มีความเศร้าโศก จิตสงบมีความสุขที่เป็นบรมสุขคือสุขที่เกิดจากความสงบระงับดับสิ้นซึ่งกิเลส ...ดั่งพุทธพจณ์ที่ว่า นัตถิสันติปะระมังสุขัง ความสุขอื่นใดเสมอด้วยความสงบสุขไม่มี ที่กล่าวมานี้คงพอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาพิจารณาธรรมเพื่อความพ้นทุกข์
คำอวยพร :- ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ความรักและความชังเป็นปรปักษ์ต่อธรรม
จงมีความเมตตาแทนความรัก จงมีความให้อภัยแทนความชังความพยาบาท....แล้วเมื่อนั้นบรมสุขจะปรากฏขึ้นในจิตโดยมิสงสัยเลย
...จากคุณนนท์
ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ การที่เรารักเขาทั้งใจ แต่เขากลับไม่รักเราเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าจะพูดกันด้วยเรื่องกฎแห่งกรรม นั่นก็อาจเป็นเพราะกรรมในอดีตชาติ แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องกันในปัจจุบัน ทุกอย่างมันเริ่มจากความขาดสติ เพราะว่าเราไม่มีสติตามรู้เท่าทันในอารมณ์ที่มันเกิดดับ เมื่อรูปกระทบตา เราก็ไม่ได้กำหนดรู้ ปล่อยให่ปรุงแต่งว่าเขาดีเช่นนั้น เขาดีเช่นนี้ เราอยากได้เขามาครอบครอง เขาต้องเป็นของเรา ถึงเราจะบอกว่าเราไม่ทุกข์กับมัน แต่จริงๆแล้วในใจของเราก็ยังต้องการเขามาเป็นของเราอยู่ดี การที่เราปรารถนาดีต่อผู้อื่นนั้นเป็๋นสิ่งที่ดี แต่นั่นไม่ใช่จิตใจของพระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธสัตว์ช่วยผู้อื่นไม่หวังสิ่งใดตอบแทน การที่จะให้เลิกรักใครนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะผมเองก็โดนปัญหาเดียวกับคุณจนชิน ตอนนี้ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรว่าใครจะรักหรือไม่รัก สนใจอย่างเดียวคือจะทำอย่างไรให้ตัวเราพ้นทุกข์เร็วๆ และช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้เข้ามาสนใจพระพุทธธรรม จนกว่าร่างกายนี้มันจะทำงานให้กับพระศาสนาไม่ได้ เราต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข แต่เรายังไม่พ้นทุกข์ เราเองก็ต้องทุกข์ เอาเขาเข้ามาอีกเราก็ทุกข์เพิ่มไปอีก
ลองตื่นตอนเช้ามาพิจารณาดูนะครับว่า ตื่นขึ้นมาแล้วเราขับถ่ายอะไรบ้าง มันสกปรกหรือเปล่า สิ่งสกปรกเหล่านี้ล้วมมาจากร่างกายของเราทั้งสิ้น แล้วลองคิดไปดูว่าร่างกายของคนที่เรารัก เขาก็มีสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า เขาก็มีเหมือนกัน ร่างกายเหล่านี้ไม่ว่าของเราหรือของเขามันก็สกปรก เต็มไปด้วยของเสีย ของสกปรกโสโครก ไม่ว่าเราหรือเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ เราเดินออกไปข้างนอกเราพบคนแก่หรือเปล่า แล้วลองย้อนเข้ามาดูว่าเราเองต้องแก่ตามเขาหรือเปล่า และคนที่รักเขาก็ต้องแก่ ตอนที่เขาแก่เรายังรักเขาอยู่หรือเปล่า ลองพิจารณาอย่างนี้ทุกวันจนจิตมันชิน พอมันชินแล้วก็ให้หันไปพิจารณาดูว่าพอเราตายแล้วร่างกายของเรามันมีสภาพอย่างไร แล้วคนที่เรารักมีสภาพอย่างไร ให้พิจารณาตามในกายานุสติปัฐถาน ว่าด้วยเรื่องของกายคตานุสติ ดูนะครับ ต้องทำจนชิน จนจิตมันเห็นแจ้งและเกิดเบื่อหน่ายจึงจะทำให้เราวางเรื่องความรักลงได้
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆ เพราะถ้าทำได้ง่ายๆแล้วก็คงจะพากันไปนิพพานหมด ผมเองก็ยังคงปฏิบัติอยู่ ก็ยังตัดขาดลงไม่ได้ แต่ก็ต้องตั้งใจนะครับ เพราะว่าถ้าตราบใดเรายังมีความรักอยู่เราก็ต้องมีความทุกข์อยู่
ถ้าคุณทำไม่ได้ทั้งหมดที่ว่ามา ลองมองไปดูรอบๆข้างตัวคุณดูสิว่ามีใครเขาสนใจคุณหรือเปล่า บางคนเขาอาจจะรักคุณ หรือเขาอาจจะสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุณไปสนใจรักเขาอยู่ก็อาจเป็นได้ ซึ่งก็อาจจะเหมือนกับที่คุณเคยสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้รักของคุณสมหวังก็อาจเป็นได้ และถ้าคุณไม่รักคนที่เขาสนใจคุณ คุณก็ต้องมานั่งคิดแล้วหละว่า เมื่อคุณอธิษฐานขอให้คนที่คุณรักรักคุณ แล้วก็มีอีกคนเขาขอให้คุณไปรักเขา แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลบันดาลให้ใครสมหวัง เพราะถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสมหวัง อีกฝ่ายย่อมไม่สมหวัง
คุณได้เรียนรู้ทุกข์แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยอมออกจากทุกข์หรือไม่ ... คำอวยพร :- ขอให้โชคดีครับ
#17
โพสต์เมื่อ 14 July 2006 - 09:00 AM
ขออภัยครับ พิมพ์ผิด บรรทัดที่2 จาก "อยากคิดต่อ" ที่ถูกคือ "อย่าคิดต่อ"
#18
โพสต์เมื่อ 14 July 2006 - 01:16 PM
#19
โพสต์เมื่อ 14 July 2006 - 04:17 PM
1.ทุกข์มากสุขน้อย
2.ทำอะไรตามใจตัวเองได้ยาก
3.ไม่ใช่แค่เราสองคนมันมีทั้งครอบครัวฝ่ายเราและฝ่ายเขาด้วยปัญหามากตามตัว
4.หาเวลาสงบใจได้น้อยลง
5.เปรียบเหมือนหนอนที่มีความสุขในอาจม
6.บั่นทอนเวลาการทำความเพียร
7.รักกันมากแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดี
8.คิดถึงอยากเจอไม่ได้เจอก็เป็นทุกข์
9.กลัวเขาไม่รักเราก็เป็นทุกข์
10.กลัวเขาเจ็บป่วยก็เป็นทุกข์
11.กลัวเขาตายจากก็เป็นทุกข์
13.ครอบครัวเขาไม่ยอมรับเราก็เป็นทุกข์
14.กลัวเขาไปมีคนอื่นก็เป็นทุกข์
15.กลัวไม่มีเงินเลี้ยงเขาก็เป็นทุกข์
16.เวลาเขาเสียใจก็เป็นทุกข์ด้วย
17.เขาไม่ทำบุญเหมือนเราก็เป็นทุกข์
18.กลัวเขาไม่ได้ขึ้นสวรรค์กับเราก็ป็นทุกข์
(จากของคุณรักวัด)
หากยังตัดใจจากความหลงในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่ได้แนะนำอ่านฟอรั่มธรรมกถึก การพิจารณาอสุภะของคุณขุนศึกขอยกตัวอย่างพอเบาะๆ
"อนิจจาร่างกายของชายหญิง มีแต่สิ่งปฏิกูลอาดูรหลาย เต็มไปด้วยมูตรคูถไม่เว้นวาย น่าเบื่อหน่ายรำคาญทุกกาลไป ร่างกายนี้มีหนังหุ้มบังทั่ว โดยรอบตัวมีช่องดังปล่องไข่ สิ่งโสโครกมากมายจากภายใน ให้หลั่งไหลซึมออกมานอกกาย กายนี้เป็นแผลใหญ่จำไว้เถิด เป็นที่เกิดทุกข์ยากลำบากหลาย แต่คนเขลาเฝ้าชมหลงงมงาย ว่าเฉิดฉายโสภาเที่ยงถาวร อะยังโขกาโยโอ้กายนี้ เป็นถิ่นที่เกิดอยู่แห่งหมู่หนอน มีโรคาสารพัดคอยตัดรอน ให้เดือดร้อนเป็นประจำทุกข์ย่ำยี ร่างกายนี้ไม่นานนักจักผันแปร ถึงความแก่คร่ำคร่าสิ้นราศี จักสิ้นลมล้มตายวายชีวี กลายเป็นผีเน่าผุพังเหม็นจังเลย"(การพิจารณาให้รู้ เห็น ไปตามความเป็นจริงถึงความไม่เที่ยงของรูปนาม" ฟอรั่มธรรมกถึก)
ชื่อเว็บ การประยุกต์ใช้องค์กรรมฐานเพื่อเป็นเครื่องป้องกันกามฉันทะในขณะปฏิบัติกิจภาวนา
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#20
โพสต์เมื่อ 14 July 2006 - 10:00 PM
--------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#21
โพสต์เมื่อ 14 July 2006 - 10:17 PM
สุข ทุกข์ สมหวงั ผิดหวัง
เปรียบเสมือน เหรียญสองด้าน มีบวก และ ลบ
นะครับ
#22
โพสต์เมื่อ 14 July 2006 - 10:41 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#23
โพสต์เมื่อ 15 July 2006 - 12:00 PM
#24
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 02:03 AM
.....ยามเย็นตะวันคล้อยดวงต่ำลงใกล้ขอบฟ้า ดิฉันชอบออกมาเดินเล่นริมสระน้ำใหญ่ใกล้บ้าน น้ำในสระสะท้อนแดดสุดท้ายของวัน ส่องประกายระยิบวิบวับงดงาม ฟ้ายามนี้มีหลากสี ยิ่งพิศยิ่งเพลิน ยิ่งเห็นความละเมียดละไมของธรรมชาติ
....."ฟ้านั้นเป็นเช่นความรัก" ประโยคนี้ผุดขึ้นมา ขณะที่ตามองฟ้า และเท้าก้าวเดินไป ดิฉันกำลังนึกถึงเรื่องราวของตัวเองในอดีต
.....บางคนอาจคิดว่า ความรักนั้นซับซ้อนซ่อนเงื่อน เรื่องราวของความรักทำให้นักแต่งเพลงมีงานทำ นักร้องเป็นซุปเปอร์สตาร์ ดารามีชื่อเสียง
.....กวีนิพนธ์ที่พร่ำพรรณนาถึงความรักยังขายได้ อีกมากมายที่เนื่องด้วย"รัก"
.....ความรักทำให้มีเธอ มีฉัน
.....ฉันรักเธอ เธอไม่รักฉัน ฉันอกหัก
.....เธอรักฉัน ฉันไม่รักเธอ...เสียใจ! เราเป็นเพื่อนกันดีกว่านะ
.....ถึงแม้ว่า ฉันรักเธอ เธอก็รักฉัน เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ เพราะเธอหมายถึงใครอีกคนนอกจากตัวฉัน ที่ฉันจะมอบความรักให้ และรักตอบ เพราะอย่างนี้ความรักจึงกว้างใหญ่ดั่งผืนฟ้า ไม่ได้จำกัดจำเขี่ยอยู่แค่ประเด็นชายหนุ่มกับหญิงสาวเท่านั้น
ความรักหลากหลายที่ว่า หากจะจัดหมวดหมู่กันจริงๆแล้ว ก็คงมีอยู่ ๒ ประเด็นเท่านั้น คือ รักคนอื่น กับ รักตัวเอง
.....ประเด็นรักคนอื่นนั้น ตั้งแต่รักคุณพ่อคุณแม่ รักครูบาอาจารย์ รักพี่น้อง ผองเพื่อน ญาติสนิทมิตรสหาย และสุดท้าย รักคนรัก ความรักอย่างหลังนี้ดูจะมีปัญหามากกว่าใคร มีให้เห็นเป็นข่าวหน้าหนึ่งเสมอ
.....ดิฉันนึกถึงคนที่ดิฉันรัก บางคนก็รักตอบ บางคนก็มอบความรักยิ่งใหญ่มหาศาลให้กับดิฉัน บางคนดิฉันรักเขาฝ่ายเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไรดิฉันเชื่อว่าที่สุดของความรักของมนุษย์คือ ความรักตัวเอง
.....รักตัวเอง คือ ปรารถนาให้ตัวเองมีความสุข ดังนั้นหากจะกล่าวว่า ความสุขเป็นอีกชื่อหนึ่งของ ความรัก คงไม่ผิดนัก
.....รักใครต่อใครมามากแล้ว อย่างไรจึงจะได้ชื่อว่ารักตัวเองเล่าคะ? กินอร่อย นอนสบาย ใช้ของแพง ฯลฯ อย่างนี้จะได้ชื่อว่ารักตัวเองหรือยัง?
.....มาถึงบรรทัดนี้ดิฉันนึกถึงพุทธภาษิตที่ว่า อัตตาหิอัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึงแห่งตน ดิฉันว่านี่เป็นแนวทางการรักตัวเองที่มั่นคง ยืนยาว เมื่อใดที่ตนเป็นที่พึง และที่พึ่งนั้นไม่ต้องเสาะแสวงหาจากใครที่ไหน มีอยู่แล้วในตัวเราเอง
.....เพราะรักนี้เท่านั้นที่ทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง และสุขนั้นก็นิรันดรด้วยค่ะ
#25
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 09:18 AM
#26
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 10:02 AM
50 ข้อดีของการไม่มีแฟน, คลายเครียด...(ปลอบใจคนโสด)
1.มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากดูหนัง คุยโทรศัพท์ งอน ง้อ
2.มีเวลาอยู่กับเพื่อนมากขึ้น
3.กลับบ้านดึกก็ได้ไม่ต้องโทรรายงานใคร
4.ไม่ต้องทะเลาะกับใคร ไม่สุขมากแต่ก็ไม่ทุกข์แล้วกัน
5.ประหยัดค่าใช้จ่าย แบบว่าไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ไม่ต้องคอยซื้อของขวัญอะไรให้ใคร
6.ร้องเพลงคนไม่มีแฟนของพี่เบิร์ดได้อย่างสะใจ มันส์ในอามรมณ์อย่างสุดๆ
7.ไม่ต้องคอยเอาใจคนอื่น
8.ไม่ต้องพบเพื่อนของแฟนที่เราไม่อยากรู้จัก
9.ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแย่งแฟนเรา
10.มีคนคอยเป็นห่วงเยอะ (และคอยถามว่าทำไมไม่มีแฟน)
11.ไม่ต้องคอยหึงหวง ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นอีกเยอะ
12.ไม่ต้องห่วงว่าเค้าจะสบายดีรึเปล่า
13.มีเวลาให้ตัวเองเต็มที่
14.ไม่ต้องฟังคำว่า "อนาคตของเราและรักแท้"
15.ไม่ต้องอกหัก อันนี้สำคัญมาก
16.ไม่ต้องกังวลว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไรดีถึงจะถูกใจเขา
17.ไปหาเพื่อนน่ะแต่งตัวแบบไหนก้อได้
18.ไม่ต้องคอยเช็ค sms เผื่อว่าเขาส่งมาแล้วยังไม่ได้ส่งกลับ (เฮ้อออ....เปลืองอ่ะ)
19.อยากหิ้ว อยากจิก ใครก็ได้ไม่มีคนคอยตามประกบ
20.พ่อแม่จะรักเป็นพิเศษเพราะอยู่ติดบ้าน
21.ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง เพื่อเอาใจเขา
22.ไม่ต้องรอคำสัญญาที่มันไม่เป็นความจริง
23.ไม่ต้องคิดมาก
24.มีทางเลือกให้กับชีวิตเพิ่มขึ้น
25...........ไม่ต้องร้องไห้............
26.ได้ทำตามใจตัวเองอย่างเป็นสุขไม่ต้องกังวลถึงเขา
27.คิดถึงคนหลายๆ คนพร้อมกันได้
28.คิดถึงตัวเองมากขึ้น
29.ชินกับการอยู่บ้าน เพราะไม่มีแฟนชวนเที่ยว
30.เล่นเน็ตได้นานสะใจ จะคุยกับใครก็ได้ม่ายมีใครหวง
31.มีเวลาดูละครน้ำเน่าช่อง 7 ช่อง3 ช่อง 5 และ ITVมากขึ้น
32.เข้าถึงพระธรรมได้ง่ายขึ้น (แต่ไม่ยักกะทำ)
33.ไม่ต้องคอยโทรศัพท์
34.ไม่ต้องเปลืองค่าโทรศัพท์โทรหา
35.จะเหล่ใครก็ไม่มีใครว่าเพราะยังไม่มีใครถูกใจ
36.ไม่ต้องคอยระแวงว่าคนที่เดินข้างๆ จะเป็นใคร
37.จะทำอะไรก็ได้
38.ไม่โดนเพื่อนด่าว่า "ลืมเพื่อน"
39.คิดถึงใครก็ได้ที่อยากจะคิด
40.ไม่ต้องโบ๊ะหน้าสวย, หล่อทั้งวัน
41.ไม่ต้องปกปิดด้านชั่วของตัวเอง
42.ไม่ต้องดัดเสียงให้ไพเราะและฟังดูน่ารัก
43.จะทำอะไรไม่ต้องเกรงใจแฟน
44.ใครจะจีบก็จีบไปเพราะเรา "ไม่มีแฟน"
45.ร่างกายแข็งแรงเพราะเอาเวลาไปเล่นกีฬา ออกกำลังกาย
46.สามารถคุยกับสาวๆ ที่สนใจได้โดยไม่รู้สึกผิดเพราะไม่มีแฟน
47.ไม่ต้องร้องเพลงอกหัก
48.ประหยัดนํ้าตาไว้ร้องไห้เรื่องอื่น
49.ไม่ต้องคอยไปรับไปส่งใคร
50.ไม่ต้องเสียเวลาเขียนไดอารี่ตอนอกหักหรือตอนถูกทิ้ง
#27
โพสต์เมื่อ 16 July 2006 - 12:15 PM
หรือตอนที่กินทุเรียน แล้วก็เรอออกมาเป็นทุเรียนทั้งสวนเลย
หรือตอนที่แคะขี้มูก แล้วเอามาป้ายเสื้อคุณ
หรือตอนที่เมาหยำเป อ๊วกแตกอ๊วกแตน เลอะเทะบ้าน เลอะเตียง (ต้องมานั่งเช็ดให้มันอีก)
หรือไม่งั้นลองจินตนาการ ถึงตอนที่แก่ตัวลง ตัวอ้วนฉุ ฟันหลอ นมยาน ผิดเหี่ยวย่น ตาฟ้าฟาง หูตึง ผมหงอกร่วงหมดหัว
ตอนนั้นเรายังจะพิศวาสเขาลงรึเปล่า
ถึงตอนนั้นเราอยากจะกอดเขา อยากจะหอมเขา อยากจะรักเขาอีกไม๊
ไม่มีอะไรเที่ยงหรอก วันนี้สวย วันนี้หล่อ แต่ที่จริงแล้วก็เน่ากันทั่งนั้นแหละ
หวังว่าคงช่วยได้บ้างนะ แล้วซักวันหนึ่งพอมองย้อนกลับไป ก็จะดีใจที่ตัดใจได้ (เชื่อเถอะ)
#28
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 09:09 AM
คือ
"ต้องไม่ผลีผลามไปคิดรักใครอย่างเด็ดขาด"
"อกหัก" คืออะไร ถ้าตอบตามพจนานุกรมไทย คือ อาการของคนที่พลาดหวังในความรัก ที่จริงความรักแบบหนุ่มสาว หรือ แบบชีวิตคู่ นี้จะมีความทุกข์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างที่ท่านเคยพูดไว้ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์" แต่ อาการอกหัก นี้จะเป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย คือ เมื่อเราเกิดความรักขึ้นมาเมื่อใด แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ ก็จะเกิดการทุกข์ใจขึ้นมาทันที เข้าหลักพุทธธรรมที่ว่า "มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นๆ ก็เป็นทุกข์ "
ยกตัวอย่างเช่น
คุณตุ่ยเหลือบไปเห็น นส.เจน เดินมา นส.เจน เธอมีหน้าตาสวยงามแบบฝรั่งเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง คุณตุ่ยจึงเกิดอาการ"ปิ๊ง"ขึ้นมาในบัดดล แกจึงส่งยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพไปทักทาย นส.เจน เพื่อหวังผูกสัมพันธ์ ปรากฏว่า นส.เจนทำตาเขียว สะบัดหน้าพรืด เดินหันหนีไปอย่างไม่ใยดี
เพียงแค่นี้แหละครับ คุณตุ่ยก็จะเกิดอาการ "พลาดหวังในความรัก" ชนิดเบา ๆ ที่เรียกว่า "แห้ว" ทันที จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น เราก็จะพบว่าคนเราสามารถที่จะเกิดความทุกข์เพราะความรักได้ตลอดเวลา อย่างที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย สาเหตุก็เพราะเกิดจากการด่วนผลีผลามเที่ยวไปรักคนนั้นคนนี้อย่างไร้สตินั่นเอง
คนเรานั้นไม่สามารถที่จะไปบังคับใจให้ใครมารักเราได้ตามความปรารถนาได้ และเมื่อเรารักใครแล้วมันไม่สมปรารถนา ผลก็คือจะเกิดอาการ "อกหัก" หรือความรู้สึกพลาดหวังจากความรัก โดยอัตโนมัติ นี้เป็นกฏที่เป็นไปตามหลักเหตุผลตามธรรมชาติ
"การไม่ผลีผลามไปรักใครอย่างเด็ดขาด" จึงสามารถป้องกันอาการอกหักได้อย่างแน่นอน
"โห..! พี่ เล่นบอกไม่ให้รักใครอย่างนี้ พูดง่ายดี แต่ทำยากนะพี่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ให้ไปรักใครแล้ว ผมมิต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ลูกเมียไม่ต้องมีเลยเรอะ อย่างนี้ก็ตายพอดีสิ"
แน่นอนว่าเสียงคำทักท้วงประเภทนี้จะต้องมีแน่ จึงขออธิบายต่อไปเลยว่า คำว่า "ไม่ผลีผลามคิดรักใคร" นั้น คงต้องเข้าใจคำว่า "ผลีผลาม" ให้ชัดเจนเสียก่อน
คำว่า"ผลีผลาม" หมายถึงการกระทำใดใด ที่ขาดสติ รีบร้อนรนด่วนกระทำ มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำของตนนั้นๆ
ยกตัวอย่าง คนที่มีนิสัยผลีผลาม เมื่อมาเห็นชามน้ำแกงเดือด ๆ มีลูกชิ้น หมูสับ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ด้วยความอยากของตัวเอง เขาจึงรีบเอาช้อนตักน้ำแกงเดือดนั้นซดเข้าปากทันที ผลจากการผลีผลามด่วนกระทำลงไปเป็นเช่นไรก็คงจะเดากันได้
ตามหลักพุทธศาสนา ท่านว่ายังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่มีไม่มีโทษ มีความบริสุทธิ์ เกื้อกูลต่อสุขภาพจิต เป็นความรักที่ปราศจากขอบเขต ที่เรียกว่า "เมตตา" พระพุทธเจ้าของเรามีความรักแบบ"เมตตา"อย่างไม่มีประมาณ ท่านจึงสอนบ่อยๆ ในพระไตรปิฎกให้ชาวพุทธให้รู้จักเจริญเมตตาทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิต ทำให้มีสติปัญญาแจ่มใส และ อานิสงส์ที่คิดว่าน่าจะถูกใจสำหรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ก็คือ "เมตตา" จะทำให้ผู้เจริญภาวนานั้นกลายเป็นบุคคลที่เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
"เมตตา" เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้เป็นประจำทุกวัน (อ่านเทคนิคสร้างความรักแบบเมตตาอย่างง่าย ๆ ) คนที่มีเมตตาเวลาเขาได้พบเห็นใคร เขาก็จะมีเมตตากับคนนั้นก่อนเลย โดยไม่เลือกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนชรา ความเมตตาเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความรักชนิดนี้มีอยู่ในใจของผู้ใดแล้ว ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวของผู้นั้นก็จะหมดไปเอง
แล้วทีนี้ในความสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อเราได้มีโอกาสพบปะผู้คน ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เราก็จะได้รู้จักผู้คนมากมาย ในจำนวนนี้อาจจะมีเพศตรงข้ามที่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรา ในขั้นแรกของความสัมพันธ์ที่ดีคือ "มิตรภาพในเชิงเมตตา" คือ มองเห็นเพศตรงข้ามเหมือนญาติสนิท มีความรักใคร่กันเหมือนญาติพี่น้อง ช่วยเหลือกันและกัน
ทีนี้เมื่อมีความสนิทสนมรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ได้เห็นข้อดีข้อบกพร่องของแต่ละฝ่ายและยอมรับกันได้ ความรักในเชิงหนุ่มสาวก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเอง ในบางครั้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยกัน ย่อมมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตรงนี้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามธรรมชาติมันก็เกิดขึ้น และก่อตัวเป็นความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ
นี้คือวิธีเลือกสรรคู่ชีวิตด้วยการน้อมนำคุณธรรมข้อ "เมตตา" มานำชีวิตให้ดำเนินไป ความรักแบบนี้จึงไม่สะเปะสะปะ ไม่ต้องไปเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ทั่วทิศทัวแดน กลายเป็น "คนเหงาจังเลย" อย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป อนึ่ง พึงควรระวังไว้ว่า ความรักที่ปราศจากความเมตตานั้น เป็นความรักที่เอาเปรียบกันได้ง่าย บางทีถึงขึ้นหลอกลวงกัน หรือ ก่ออาชญากรรม
แน่นอนที่สุด คนที่ชอบรักแบบผลีผลาม ก็ย่อมจะต้องพบกับอาการ"อกหัก" อย่างแน่นอนที่สุด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย
"รักอย่างมีสติ" จะห่างไกลจากคำว่า "อกหัก" เพราะรักนั้นเริ่มต้นด้วยคุณธรรม ไม่ใช่เอากิเลสมานำ
ความเมตตาจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เรามีความสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนทางที่ถูกต้อง
คนที่มีเมตตาประจำใจย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ในบรรดาผู้คนทั้งหลายที่มารักใคร่เรา ในจำนวนนั้นย่อมจะมีคู่ชีวิตในอนาคตของเราอยู่ในนั้นด้วย
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ
แล้วชีวิตของเราก็จะสมดังความปรารถนาโดยไม่ต้องไปเที่ยววิ่งแสวงหาแต่อย่างใด
#29
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 08:16 PM
ถ้าเรารักตัวเองมากเท่าใด
การที่จะมีโอกาสเข้าถึงพระธรรมกายก้อมากน่ะค่ะ
ถ้าเรารักตัวเอง และหมั่นนั่งธรรมมะ
สุ้ ๆ นะค่ะ
#30
โพสต์เมื่อ 15 March 2007 - 08:42 AM