![รูปภาพ](http://www.gravatar.com/avatar/fb274ea91a71f86a1977698508d7b69c?s=100&d=https%3A%2F%2Fwww.dmc.tv%2Fforum%2Fpublic%2Fstyle_images%2Fmaster%2Fprofile%2Fdefault_large.png)
อยากได้กําลังใจ
#1
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 02:01 PM
แต่ถ้าจะให้เล่าตั่งแต่ตั้นก็คงจะต้องใช้เวลาเขียน แต่ตอนนี้อยากจะขอคําแนะนําจากท่านที่พอจะเข้าใจ
ว่า การทีไม่ค่อยได้รับกําลังใจจากพระอาจารย์ เลย เราควรทําอย่างไร
แต่ถ้ารับ ก็จะมีกําลังใจเก็บเงินไปถวายท่านเพื่อช่วยงานหลวงพ่อ บางครั้งเคยคิดว่าอยากจะไปถวายปัยจัยกับพระอาจารย์ที่เคยให้กําลังใจเรามาก่อน แต่ท่านไปอยู่ที่อื่น(ต่างจังหวัด)
มีหลายคนทีเป็นเหมือนเรา แต่ความคิดนี้ เราไม่เคยพูดกับใคร
คําถาม
ถ้าเราไปถวายปัยจัยกับพระอาจารย์ที่เคยให้กําลังใจเรามาก่อน จะเป็นผลดีหรือผลร้ายกับเราหรือไม่ ( แต่ถ้าเราได้ถวายปัยจัยกับพระอาจารย์ที่เคยให้กําลังใจเรามาก่อน เรารู้สึกปลืมกับบุญที่หลวงพ่อให้มา แต่ถวายปัยจัยกับพระอาจารย์ ที่ไม่ค่อยได้รับกําลังใจจากท่าน รู้สึกว่าเฉยๆ ) จะทําอย่างไรดีคะ
#2
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 02:09 PM
เพียงเท่านี้ก็จะรู้สึกปลาบปลื้มโดยไม่ต้องคิดแล้วล่ะค่ะ ว่าใครเป็นผู้รับ
บางทีที่เราถวายกับท่านแล้วรู้สึกท่านไม่ค่อยให้กำลังใจ อาจเป็นเพราะว่าท่านเพิ่งเข้ามาในพระศาสนาใหม่ก็ได้ หรือท่านอาจจะแผ่เมตตาจิตในใจอยู่ก็ได้
ลองอ่านเรื่องพระน้านางปชาบดีเสียใจที่ไม่ได้ถวายผ้ากับพระพุทธเจ้า แต่ได้ถวายกับพระบวชใหม่ ที่แท้พระบวชใหม่รูปนั้นก็คือพระโพธิสัตว์ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป (พระน้านางไม่ทราบเรื่องนี้) พระพุทธเจ้าเลยแสดงปาฎิหาริย์ จนพระน้านางปลื้มใจกลับไป
อาจจะคล้ายๆกันก็ได้ค่ะ
#3
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 02:12 PM
ถ้าเราไปถวายปัยจัยกับพระอาจารย์ที่เคยให้กําลังใจเรามาก่อน จะเป็นผลดีหรือผลร้ายกับเราหรือไม่ ( แต่ถ้าเราได้ถวายปัยจัยกับพระอาจารย์ที่เคยให้กําลังใจเรามาก่อน เรารู้สึกปลืมกับบุญที่หลวงพ่อให้มา แต่ถวายปัยจัยกับพระอาจารย์ ที่ไม่ค่อยได้รับกําลังใจจากท่าน รู้สึกว่าเฉยๆ ) จะทําอย่างไรดีคะ
คำตอบ
ถ้าถวายกับพระที่ตนเองคุ้นเคย ย่อมสนิทใจมากกว่า แต่ถ้าคิดจะเอาบุญเป็นที่ตั้งก็ให้ถวายพระรูปไหนก็ได้ครับ ทำใจให้ปลื้มในบุญ แล้วทำประหนึ่งว่า เราถวายปัจจัยนี้เป็นสังฆทาน มีหลวงพ่อเป็นอธิบดีสงฆ์ มีพระธรรมกายตัวแทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข เพียงแต่พระที่ท่านรับเป็นตัวแทนหมู่คณะ ถ้าจิตคิดเช่นนี้ บุญย่อมยิ่งใหญ่ไพศาลกว่า เพราะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ปาฏิบุคลิกทานใดๆ จะมีผลยิ่งกว่าสังฆทาน เป็นไม่มี
ลองไปศึกษาเรื่องราวสมัยพุทธกาลนะครับ ที่มีอุบาสกไปขอตัวแทนพระภิกษุจากวัดพระเชตวัน เพื่อเป็นตัวแทนสงฆ์ในการถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ปรากฎว่าหมู่สงฆ์ได้ส่งพระภิกษุซึ่งปฎิบัติตัวไม่ค่อยจะดี มาเป็นตัวแทนหมู่คณะ แล้วท่านอุบาสกท่านนี้ทำอย่างไร ถ้าจำไม่ผิด เคยออกดีเอมซีด้วยครับ
แต่ทางที่ดีที่สุด ควรที่จะยกกำลังใจด้วยตนเองดีที่สุดนะครับ ลองพิจารณาโดย โยนิโสมนสิการ ดูนะครับ การยืนขึ้นด้วยลำแข้งของตนเองเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#4
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 02:34 PM
สาธุ
จะพยายามทําใจตามคําแนะนําจากทุกท่าน คะ ขอบคุณมากคะ
สาธุ
#5
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 05:22 PM
ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีสมัยที่เป็นพระโพธิสัตย์พระเวทสันดร ท่านบำเพ็ญมหาทานบารมีโดยที่ไม่ใส่ใจว่าผู้ให้จะเป็นคนแบบไหน จะนิสัยเช่นไร จะให้กำลังใจท่านหรือไม่ให้กำลังใจท่าน แม้กระทั่งรู้ว่าลูกของตนจะต้องลำบาก ท่านก็ยังยอมสละลูกของท่านให้เป็นทาน แม้แต่ภรรยา เพราะฉนั้นคุณเจ้าของกระทู้อย่าได้วอรี่เลยครับว่าพระอาจารย์ท่านนั้นจะให้กำลังใจหรือไม่ให้กำลังใจ ผมขอถามสักนิดนะครับว่าพระอาจารย์รูปนั้นได้เคยเทศธรรมะให้ฟังบ้างหรือไม่ ถ้าเคยก็ถือเสียว่าถวายบูชาธรรมของท่านเถอะครับ หรือไม่ก็ให้คิดเสียว่าถวายเพื่อบูชาที่ท่านมีศีลเหนือกว่าเรา อย่าลืมนะครับ การให้คือการตัดความตระหนี่ในใจของตัวเอง ถ้าให้แบบมีข้อแม้ ก็เหมือนกับว่าเรายังมีความตระหนี่อยู่ในใจ บุญที่ได้จะไม่เต็มที่นะครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 06:56 PM
#7
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 07:29 PM
#8
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 08:26 PM
เวลาทำทาน ถ้าถวายกับพระอาจารย์ที่นับถือ เป็นเรื่องดีครับ เพราะใจเราจะปิติเบิกบานมาก แต่ถ้าพระอาจารย์ท่านติดธุระหรืออะไรที่ทำให้ไม่สามารถถวายกับท่านได้ เราก็นึกซิครับ เอาครูบาอาจารย์ พระธรรมกาย พระอาจารย์(องค์ที่นับถือ) เป็นประธาน เวลาถวายปัจจัย + อื่น ๆ ใจเราก็จะได้เบิกบานเหมือนเดิมครับ
หลวงพ่อ ( คุณครูไม่ใหญ่ ) บอกเสมอครับ อย่าติดที่บุคคล ให้ติดกับธรรมะ ธรรมะภายใน ถ้าเราทำตามที่ท่านบอกแค่นี้เราก็ได้บุญมหาศาลแล้วละครับ
#9
โพสต์เมื่อ 29 August 2006 - 11:32 PM
#10
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 12:45 AM
2. การทำบุญ ให้นึกว่าเป็นบุญของเราเอง ทำบุญเพราะอยากได้บุญติดตัว ทำเพื่อตัวเอง สิ่งอื่นเป็นเพียงปัจจัยเสริม
3. แหล่งแห่งกำลังใจที่ดีที่สุดและมั่นคงที่สุด อยู่ที่ศูนย์กลางกายของเราเอง เพราะกำลังใจจากทางอื่นเป็นสิ่งไม่แน่นอนนะครับ การยึดติดที่ตัวบุคคลมากไป จะกลายเป็นการเพ่งโทษผู้อื่นไปได้ เช่น ถ้ากรณีที่คนใหม่มีคุณสมบัติบางอย่างที่ไม่เหมือนคนเก่า จริงๆแล้วอยากให้มองว่า เราทำบุญเพื่อให้เกิดบุญกับตัวเราเอง ดังนั้นการปีติหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ใจของเราเอง เหมือนอย่างที่หลวงพี่นพดลพูดแนะตอนบูชาเจดีย์ทุกเย็นที่ว่า การทำทานที่เราทำความรู้สึกเสมือนว่ากำลังถวายกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานิสงส์ย่อมเท่ากันกับการถวายกับพระองค์จริงๆ
#11
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 03:24 AM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ
![^_^](https://www.dmc.tv/forum/public/style_emoticons/default/happy.png)
#12
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 07:49 AM
แต่ที่อยากได้กำลังใจ จากท่านนั้น คือการท้กทายธรรมดาเท่านั้น อย่างเช่น เราไปถวายปัยจัย หรือไปถวายภัตตาหารเช้า หรือไปช่วยงานวัด
ทําความสะอาดว้ดเป็นต้น การท้กทายธรรมดาก็คือ อย่างเช่น เป็นไงบ้างการงานช่วงนี้ เด็กๆเป็นไงบ้าง (หมายถึงลูกชาย) อะไรอย่างนี้เป็นต้น
แต่สําหรับดิฉ้น ดิฉ้นจะสู้ต่อไปคะ สู้ต่อไป วันนั้นก็ไปถวายปัยจัยปิดกองกฐิน 49 1 M กับท่านมาแล้ว คะ ขอเอาบุญนี้ให้กับทุกๆท่านด้วยคะ
ถ้าเป็นคนใหม่เขาจะสู้หรือเปล่าหน้อ คนถอยก็มีเหมือนกันคะ การสร้างบารมีถ้าใจของเราไม่สู้จริงๆก็ไปไม่รอดเนาะ
นั่งสมาธิวันละ2 ชั่วโมง คะ 毎日瞑想していますよ。皆さんに感謝しています。ありがとうございました。
#13
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 08:55 AM
ทําความสะอาดว้ดเป็นต้น การท้กทายธรรมดาก็คือ อย่างเช่น เป็นไงบ้างการงานช่วงนี้ เด็กๆเป็นไงบ้าง (หมายถึงลูกชาย) อะไรอย่างนี้เป็นต้น
พอจะเข้าใจแล้วครับ ผมสันนิษฐานว่า ท่านเป็นพระที่พึ่งไปประจำต่างประเทศเป็นครั้งแรกหรือป่าวครับ ยังไงลองเลียบๆ เคียงๆ เปรยกับพระรูปอื่น หรือ อุบาสก อุบาสิกาที่ประจำศูนย์สิครับเผื่อเป็นนัยยะให้ท่านได้รู้อะไรบ้าง
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#14
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 09:56 AM
ดิฉันก็เคราพท่านนะคะ เคยรู้ว่าท่านบวชมาแล้ว 9 พรรษากว่าแล้ว แต่ท่านก็เป็นพระปกครองประจำศูนย์นี้(วัด)มาตั่งแต่บุกเบิก(ครั่งแรก)คะ 3~4ปีแล้วคะ
อยากให้ทั่งคนเก่าและคนใหม่เคราพท่านมากๆคะและก็นานๆตลอดไปคะ
#15
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 10:27 AM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#16
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 10:59 AM
ขอบคุณมากคะ
#17
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 12:02 PM
ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทนแม้เพียงเล็กน้อยใจจะมีทุกข์ได้ครับ
( ได้บุญไม่เต็มที่บุญหกหล่น ) การให้กำลังใจก็แล้วแต่ท่านนะ
เพราะการหวังสิ่งใดแล้วไม่ได้นั่นก็คือวิภวตัณหา ทำ
ให้เกิดทุกข์ทางใจได้ ( มันคือกิเลสเหมือนกัน ) ใจจะไม่ปิติเท่าที่ควร
ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง สมมุติว่า วันหนึ่งพ่อหรือแม่ ท่านย้ายมาอยู่
กับเรา แน่นอนหน้าที่ปรนนิบัติพ่อแม่ต้องเป็นหน้าที่ของเรา โดยปริยาย
แต่ว่าพ่อหรือแม่ของเราดูไม่เหมือนคนอื่น เวลาที่เราหาเงินได้เอาเงิน
มาให้ท่าน ท่านกลับดูเมินเฉย หรือเวลาท่านอยากกินอะไร หามาให้ก็ไม่
ชมว่าอร่อย หรือบางทีเอามาให้ไม่ถูกใจก็ติอีกตะหาก ท่านอยู่กับเราแต่
ว่าเหมือนไม่สนใจเราเลย ผิดกับพ่อแม่คนอื่นถ้าเราเอาอะไรไปให้ก็ชื่นชม
ยินดีให้ศีลให้พร
ถ้าเป็นแบบนี้รุ้สึกยังไงบ้าง
จะยังรักพ่อหรือแม่เราน้อยกว่าเดิมไหม ?
จะรักพ่อแม่คนอื่นมากกว่าหรือไม่ ?
จะให้อะไรกับผู้ที่ชื่นชมให้กำลังใจเรามากกว่าหรือไม่ ?
ถ้าตอบว่า "ไม่" ก็แสดงว่าได้คำตอบของตัวเองแล้ว
ถ้ายังรู้สึก "ไม่แน่ใจ" ก็แสดงว่าเรามีความรุ้สึกน้อยใจพ่อแม่ของเราอยู่
ความรู้สึกน้อยใจนี่แหละที่ทำให้ใจเศร้าหมอง ( บาป ) ถ้าคิดไม่ดีด้วย
การให้พ่อหรือแม่ก็คือการปฏิบัติหน้าที่ลูกที่ดีเมื่อทำแล้วก็ปลื้มปิติใจ
การทำบุญก็เช่นกันควรปลื้มใจในผลบุญนั้นแม้ผู้รับไม่แสดงออก บุญนั้นเราก็ได้เต็มที่
เคยมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ไม่รู้ตอบได้ตรงหรือเปล่า
#18
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 12:32 PM
ก็จริงเหมึอนคุณทศพลพูดคะ คําตอบของดิฉันก็คึอ"ไม่" คะ
ขออนุโมทนาบุญ กับเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่านคะ ทีให้ธรรมะเล็กๆน้อยๆแก่ดิฉัน
สาธุๆๆๆๆ
#19
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 01:09 PM
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#20
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 01:47 PM
สาธุๆ
#21
โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 09:59 PM
เรื่องอื่นให้เป็นเรื่องรอง
การถวาย ควรทำใจให้ใส เพราะเราอุตส่าห์หาปัจจัยไทยธรรม มาอย่างดี
เนื้อนาบุญก็มี ใจเราควรผ่องใสทุกครั้ง ให้ผ่องใสอยู่เสมอ
อย่าให้อุปสรรคของใจ มาทำให้บุญหกหล่นพร่องไปเลยค่ะ
เมื่อทำบุญแล้ว ขอให้ปลื้ม ปลื้ม และปลื้ม
เพราะความชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ก็เป็นส่วนหนึ่งในโลกธรรม เป็นธรรมดา
ความรู้สึกมนุษย์แปรเปลี่ยนไปได้ อนาคตเปลี่ยนไปได้
#22
โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 07:36 AM
ขอบคุณมากคะ สาธุๆ
#23
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 02:57 PM
และขออนุญาตนำข้อแนะนำนี้ไปบอกต่อกับเพื่อนๆที่มีความรู้สึกหมดกำลังใจเหมือนกัน
จะได้มีใจใสสว่างกันทุกคนค่ะ
#24
โพสต์เมื่อ 01 September 2006 - 04:10 PM
เวลาพบใครในบุญสถาน การส่งยิ้มใสๆ ให้ก่อนเป็นการให้กำลังใจด้วยค่ะ
ถ้าเป็นคนที่เรารู้จักกันแล้ว เป็นเพื่อนร่วมสร้างบารมีด้วยกัน
การทักทายก่อนสักนิดนึงก็เป็นการสลายกำแพงน้ำแข็ง ให้เริ่มมีใจสดชื่นต่อกัน
เพราะหลายๆ ครั้ง เห็นกันทุกที แต่ไม่อยากคุยกัน
หลายๆ ครั้งเข้า ก็เลยทำเฉยๆ ไม่ทักไม่พูด
แล้วนานๆ ไป ก็รู้สึกไม่อยากคุยด้วยเลย เลยทำหน้าแข็งๆ ดูหยิ่งๆ ไปโดยไม่รู้ตัว
เพียงแค่รู้สึกไปเองว่าเขาคงไม่ชอบเรา หรือเขาอาจรำคาญเรา
ซึ่งจริงๆ ก็อาจไม่ได้คิดรำคาญกัน แต่คิดไปเอง
ลองยิ้มกันสักนิด แล้วบรรยากาศจะดีขึ้นค่ะ
(ทักทายพอประมาณนะคะ ไม่ได้หมายความว่าคุยกันมากมาย หรือเม้าท์แตก)
#25
โพสต์เมื่อ 27 September 2006 - 02:07 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี