1. บุพเพสันนิวาส
หมายถึง เขาและเธอ เคยอยู่ร่วมหรือเป็นคู่กันมา (อาจหมายถึงคู่บุญคู่บารมี ก็น่าจะได้) จึงไม่แปลกที่ทั้งคู่จะโคจรมาพบกันอีก เพียงแต่อาศัย "อินเตอร์เน็ต" เป็นช่องทางที่ทำให้ทั้งคู่ได้มาพบกัน ซึ่งกรณีนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเจอกันโดยบังเอิญตามสถานการณ์หรือสถานที่ต่างๆ หากแต่เมื่อเทียบกับคนส่วนมากในโลกใบนี้แล้ว คุณอาจมองว่าเป็นเรื่องแปลกและไม่น่าเป็นไปได้ จนบางคู่ที่พบกันด้วยวิธีนี้รู้สึกอายที่จะตอบคำถามคนอื่นว่าพวกเขารู้จักกันได้อย่างไร แต่คุณต้องไม่ลืมว่า "ไม่มีอะไรใหม่ในวัฏฏะ" เรื่องของกฎแห่งกรรมเป็นรอยนำทางเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยากจะอธิบายได้ทั้งปวง
2. บุพเพอาละวาด
หมายถึง เขาและเธอ เคยจองเวรหรือมีกรรมร่วมกันมา (อันนี้น่าจะหมายถึง คู่กัด หรือคู่กรรมคู่เวร) หรืออีกนัยหนึ่ง อาจเป็นกรรมใหม่ของเขา และ/หรือ เธอ ก็ได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า "คิดไปเอง" "หลงไปเอง" และ "หลอกตัวเอง"
การเกิดบุพเพอาละวาดนี้ไม่เลือกเวลาและสถานที่ คือที่ใด เวลาใดที่มีเน็ตและโปรแกรมแชททั้งหลายไปถึง ที่นั่นถือเป็นพื้นที่เสี่ยงได้ทั้งหมด
กระบวนการ "ปิ๊ง" ผ่านเน็ต อาจเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายๆ คน แต่กับบางคนก็ดูเซ็นส์ซิทีฟมาก เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงคนเรามักยึดถือและเชื่อมั่นในสิ่งที่จับต้อง มองเห็นและพิสูจน์ได้ แต่สำหรับอินเตอร์เน็ตนั้น มีเพียง "ตัวอักษร" ถ้าดีขึ้นมาหน่อยก็มีเสียงประกอบ หรือถ้าไฮเทคโนโลยีจัด ก็จะมีภาพด้วย แต่ทั้งหมดนี้ก็อยู่ในโลกไซเบอร์ทั้งสิ้น มิได้เป็นการติดต่อสื่อสารแบบเผชิญหน้า จนมีหลายคนให้คำนิยามของการพูดคุยกันผ่านเน็ตว่าเป็น "โลกแห่งความฝันและจินตนาการ"
ต่อไปเรามาทำความเข้าใจกันว่า การคุยกันผ่านตัวอักษรนั้น มีฤทธิ์มอมเมาเราได้อย่างไร โดยจะอาศัยงานเขียนของคุณดังตฤณ จากหนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เป็นพื้นฐานนำมาเล่าสู่กันฟังในแบบฉบับของตัวเอง ดังนี้
1. ไม่มีอะไรสะเทือนอารมณ์ได้แรงกว่าจินตนาการของเราเอง
การที่เราได้รู้จักใครสักคนแบบไม่รู้จักหน้าค่าตา แต่รู้ความคิด การมองโลกและชีวิต ตลอดจนทัศนคติของเขา (ไม่ว่าสิ่งที่รู้มานั้นจะจริงหรือเท็จ) นั่นทำให้คุณก้าวข้ามการตัดสินกันอย่างผิวเผินด้วยตาเปล่าไปแล้ว ยิ่งถ้าคุณพอใจกับสิ่งเหล่านั้น มันก็จะไปกระตุ้นให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับตัวเขาซึ่งจะมีผลต่อจินตนาการของคุณเองเกี่ยวกับเขา ซึ่งสิ่งนี้เองจะมีแรงผลักดันมากพอที่จะทำให้คุณติดใจที่จะคุยกับเขาต่อไปอีกเรื่อยๆ
2. คนเราชอบการค้นพบ ชอบความตื่นเต้น เร้าใจ
การสื่อสารผ่านเน็ตมีเรื่องให้ลุ้นให้ตื่นเต้นมากมาย เช่น ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเหมือนกับตัวอักษรที่เขาถ่ายทอดให้เราได้รับรู้หรือไม่ หน้าตาจะเข้าท่าเหมือนความคิดไหม น้ำเสียงจะเป็นอย่างไร แล้วเขาคิดอย่างไรกับเรา หรือแม้แต่วันนี้เราจะได้คุยกับเขาไหม เป็นต้น การลุ้นนี่เองที่ทำให้คุณมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเขาเรื่อยๆ (ดังนั้นเราควรเชื่อที่คุณครูไม่ใหญ่สอนว่า อย่าลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง) ตราบใดที่ยังต้องการหาที่สุดของคำตอบต่างๆ อยู่ ยิ่งได้พูดคุยกันแบบไม่พบเจอตัวจริงกันนานเท่าไร ความผูกพันบนรากฐานของการรอคอยเพื่อค้นพบขั้นสุดท้ายก็ยิ่งหยั่งรากลงลึกเท่านั้น คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังรอคอยพบตัวจริงของเจ้าชายหรือเจ้าหญิงที่คุณพบในความฝันก็ว่าได้
3. ความบางเบาของกำแพงทิฐิต่ำ
ผู้ที่คุยกันผ่านเน็ตจะรู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองมากกว่าการคุยกันแบบเผชิญหน้า เพราะมีความรู้สึกว่าไม่ต้องระวังตัวมากนัก อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถเห็นแววตา สีหน้า ท่าทางของเราได้ (ยกเว้นคุณจะมีทั้งไมค์ หูฟัง และกล้อง) ความรู้สึกผ่อนคลายและการไม่รู้จักกันมาก่อนนี่เอง ทำให้คุยกันได้ทุกเรื่อง คุณจึงรู้สึกสบายใจ และไม่ต้องคิดมากกับรูปแบบของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีข้อผูกมัดอะไรนอกจากตัวอักษร
สรุปแล้ว ความรู้สึกดีๆ จากการพูดคุยกันผ่านเน็ตไม่จำเป็นต้องเกิดจากบุพเพสันนิวาสเสมอไป ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าคุณเจอตัวจริงแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเหมือนที่เคยรู้สึกเมื่อยามสนทนากันผ่านเน็ต ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีหลักประกันว่าเมื่อมาคบหากันแบบปกติแล้วจะยังคงรักษาความรู้สึกดีๆ ให้เหมือนกับครั้งยังคุยกันทางเน็ตไว้ได้หรือไม่ เพราะเมื่อถึงเวลานั้น โลกแห่งความจริงจะปะทะกับโลกแห่งจินตนาการของตัวคุณเอง อะไรที่แตกต่าง แปลกแยกจากความรู้สึกนึกคิดที่คุณเคยมีก็จะกลั่นตัวเป็นแรงผลักดันให้คุณกำหนดทิศทางแห่งความสัมพันธ์นั้นต่อไป
ไม่ว่าเรากับเขาจะรู้จักกันด้วยวิธีใดก็ตาม เราก็ควรรักษามิตรภาพนั้นไว้ให้ดีที่สุด
http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare054.htm