การบริจาคร่างให้แก่โรงเรียนแพทย์นั้นได้บุญหรือไม่
#1
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 12:05 PM
#2
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 01:09 PM
ก็เหมือนกับบริจาคของที่จะทิ้งแล้วน่ะครับ
ทำความดีตอนมีชีวิตอยู่ได้บุญมากกว่าเยอะ
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#3
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 03:31 PM
เพราะผู้(จะ) ตาย ยอมบริจาค เลือดเนื้อของตน เพื่อ ประโยชน์ของผู้อื่น ที่ไม่เจาะจงผู้รับ ... (อืมมม.. คล้ายๆ สังฆทาน เลยนะเนี่ย แต่ก็ไม่ใช่) แต่ก็มีเมตตาต่อสัตว์โลกที่เจ็บป่วย ให้มีชีวิตที่ยินยาวต่อไป
และยิ่ง ถ้ามีผู้ใด บรรลุธรรมจาก ร่างกายที่เน่าเปื่อยแล้ว ของเรา
บุญนี้ ยังส่งผลไปให้เจ้าของร่างอีกด้วย
ยก ตย. ในพระไตรปิฎก ที่ภิกษุหนุ่ม จากการพิจารณาร่างอันเน่าเปื่อย ไม่สวยงาม ของหญิงงามเมือง ที่ตนแอบหลงรัก จนได้บรรลุธรรม ในที่สุด
ผลบุญยังส่งไปให้เทพธิดาองค์นั้นเลย
*** ใครตอบได้ ว่า หญิงนั้นชื่ออะไร และพระภิษุรูปนั้น ชื่ออะไร มาจากพระไตรปิฎกเล่มไหน ***** จะมีรางวัลให้ค่ะ
"รักษา อารมณ์ดี + อารมณ์เดียว + อารมณ์สบาย ทั้งวัน "
#4
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 05:31 PM
ถ้าจิตต้องการสละมาก ละวางกิเลสคือความหวงแหนได้มาก บุญก็จะมากเพระทำลายความยึดมั่นที่เป็นกิเลสโดยตรง
ยิ่งผู้รับได้รับอวัยวะของเรา เช่น แก้วตา เท่ากับเราให้โอกาสในการมองเห็นแก่เขาครับ อย่าไปคิดว่าเราตายแล้วจบไม่ได้ประโยชน์หรือบุญครับ เพราะถ้าเราไม่เซนต์ให้อวัยวะโรงพยาบาลเขาก็นำร่างกายเราไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 05:38 PM
ส่วนเรื่องจิตใจ นั่นได้ชื่อว่า สละน้อย (จึงเป็นบุญน้อย) เพราะถ้าจิตสละมาก ต้องทำเหมือนพระโพธิสัตว์ สละดวงตา เมื่อพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ อย่างนี้แหละครับ บุญมาก เพราะจิตใจสละมาก แต่ถ้าตายแล้ว เราก็ใช้อะไรไม่ได้แล้ว คนอื่นเอาไปใช้ก็ดี อย่างนี้ความสละในใจ อย่างไรก็ไม่อาจมากได้ครับ
แต่อย่างไรก็เป็นบุญ ทำไปเถิด น้ำทีละนิด ยังเต็มตุ่มฉันใด บุญแม้เพียงนิด ก็เป็นประโยชน์ฉันนั้น
#6
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 05:38 PM
เพราะฉะนั้น สังขารมนุษย์ถ้าเจ้าของบริจาคเกิดประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ย่อมได้บุญแน่นอนครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#7
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 05:42 PM
ต้องถามหลวงพ่อ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#8 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 05:46 PM
1.บริจาคร่างกายจัดเป็นวิทยาทานเพื่อการศึกษาแพทยศาสตร์ ย่อมได้ปัญญาบารมี นักเรียนแพทย์ทุกคนต่างเคารพในความเสียสละ โดยเรียกร่างบริจาคนี้ว่า"อาจารย์ใหญ่"ซึ่งให้ความหมายในคุณค่าสูง
2.บริจาคอวัยวะจัดเป็นทานอุปบารมี เพื่่อให้ผู้อื่นที่ยังมีลมหายใจอยู่รอด 1ร่างของผู้บริจาคอวัยวะ สามารถช่วยเกื้อกูลผู้อื่นได้ถึง 4ระบบ(อาจช่วยได้ถึง 5คนต่อ 1ร่างไร้วิญญาน) ได้แก่ ไต 2ข้าง แก้วตา 2ข้าง หัวใจ(+/-ปอด2ข้าง) ตับ สำหรับการเปลี่ยนลำไส้ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ส่วนบุญจะทับทวีก็ขึ้นกับวาระจิตที่ปรารถนาทำทาน
รวมถึงผู้รับอวัยวะที่อยู่รอดรำลึกถึงผู้บริจาคและคนผู้นั้นทำความดียิ่งๆขึ้นไป
ตอบคุณแก้วตาดวงใจ ว่าหญิงงามเมืองคนนั้น นามว่า"สิริมา"
ไม่เพียงแต่พระภิกษุรูปนั้นที่บรรลุโสดาบันเมื่อได้พิจารณาร่างไร้วิญญานของนาง มหาชนหรือเทวดาทั้งหลายก็บรรลุกันมากมาย
#9
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 07:23 PM
1. เพราะว่าถ้าหากเราอุทิศอวัยวะให้แก่ผู้อื่นไป เขาหายจากโรค แต่แล้วไปประกอบกรรมชั่ว อย่างนี้เราจะบาปตามไหม
2. แล้วอย่างนี้เราระบุได้หรือไม่หละว่าจะขอบริจาคอวัยวะให้แก่พระภิกษุสงฆ์อาภาธที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก หากไม่มีพระที่ต้องการก็ค่อยอุทิศอวัยวะแก่คนทั่วไป เพื่อหวังว่าเขาจะใช้ในการต่อชีวิตเพื่อสะสมบุญบารมี
#10
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 07:45 PM
#11
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 08:11 PM
#12 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 08:13 PM
แต่ถ้าอยากได้บุญมาก ก็ต้องบริจาคตอนที่เรามีชีวิตอยู่ เช่น บริจาคไตข้างนึง แล้วเราเหลือข้างนึงอะไรทำนองนี้แหละครับ เพราะคนไข้ก็ต้องการไต ตัวเราก็ต้องไตเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนกับการบริจาคสิ่งที่เจ้าของยังต้องการใช้อยู่ เป็นการสละที่ใช้กำลังใจมาก ย่อมได้บุญมาก
หรืออย่างที่พระโพธิสัตว์เห็นเสือแม่ลูกอ่อนที่กำลังหิวจัดและจะกินลูกของตนเอง ที่เห็นดังนี้แล้วก็สลดและสละชีวิตตนเองเพื่อเป็นอาหารให้เสือกินแทนครับ
ส่วนการบริจาคร่างกายนั้นถ้าจำไม่ผิด อานิสงค์แห่งบุญคือหลังจากเราตายไปแล้ว จะมีคนจัดงานศพให้เราใหญ่โต ประมาณนี้แหละครับ
#13
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 08:40 PM
ดวงปัญญาสว่างไสวมากครับ ที่สามารถมองเห็นประโยชน์ของสิ่งที่บุคคลทั้งหลายมองว่าไม่เป็นประโยชน์ได้ครับ
สังขารนี้ผู้มีปัญญาจะสามารถมองเห็นประโยชน์ของมันได้ครับ......
กาลามาสูตร : จงอย่าเชื่อแม้ผู้พูดจะน่าเชื่อ ,จงอย่าเชื่อโดยสืบต่อๆ กันมา ข้อที่เหลือผู้มีปัญญาพึงหาเอาเองครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#14
โพสต์เมื่อ 22 December 2005 - 08:57 PM
ผู้ให้ปรารถนาจะให้ปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ ปรารถนาให้เขาเป็นสุข ขณะนั้นบุญได้เกิดขึ้นแล้วครับ เพราะบุญเป็นเรื่องของใจ
ส่วนการที่ผู้รับจะหายโรคแล้วทำความดีหรือชั่วนั้น ย่อมเป็นไปตามอำนาจกรรมกิเลสของเขาครับ ผู้ให้หาได้รับบาปตามผู้รับไม่ครับ
ยกตัวอย่างที่ 1 เหมือนอย่างพระเวสสันดรให้บุตรธิดาแก่ชูชก ถามว่าชูชกตีกัณหา ชาลี พระเวสสันดรบาปไหม ตอบว่าไม่บาปครับ เพราะบุญบาปเกิดที่ใจของคน ๆ นั้นนั่นเอง
ตัวอย่างที่ 2 องคุลีมารฆ่าคนมานับพันคน ถามว่ามารดาให้อวัยวะร่างกายมาต้องบาปตามบุตรไหม ตอบ ไม่บาปครับ
เพราะบุญบาปเกิดที่ใจของแต่ละคน สัตว์โลกทั้งหลายมีบุญและบาปเป็นของตนเอง
คำถามที่ว่าจะบริจาคร่างกายแก่พระสงฆ์ อย่างเดียวดีไหม ผมขอถามกลับว่า ถ้าสมมุติบังเอิญฆาราวาสที่ได้รับไปนั้นเป็นองคุลีมาร ฆ่าคนไปมาก ต่อมากลับใจกลายเป้นพระอรหันต์ ถามว่าบุญหรือบาปครับ หรือถ้าชายที่ได้รับอวัยวะทำกรรมชั่วแต่อดีตเคยปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าหละบาปไหม หรืออนาคตเขาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าหละบาปไหม การทำบุญไม่ควรเลือกที่รักผลักที่ชังครับ
แม้พระพุทธเจ้าท่านยังสรรเสริญการให้ทานว่า การให้ทานกับพระองค์ ได้บุญมากไม่เท่าการให้ทานกับสงฆ์สาวกของท่านเลยครับ ทั้งนี้เพราะถ้าบุคคลเลือกปฏิบัติแล้วศาสนาของท่านจะไม่ยั่งยืน ดังนั้นบุคคลไม่ควรทำทานโดยเลือกที่รักผลักที่ชังครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#15
โพสต์เมื่อ 23 December 2005 - 12:10 AM
๑. คุณสามารถทำบุญนี้ได้ ก็ต่อเมื่อคุณได้สิ้นชีวิตไปแล้ว (แล้วการสร้างบารมีในขณะที่ยังมีกายมนุษย์อยู่ เมื่อเทียบกับตอนที่ดับขัยไปแล้ว อย่างใดจะได้กำลังและอานิสงส์แห่งบุญมากกว่ากัน? ตัวท่านเองคงทราบดีนะครับ)
๒. จำนวนครั้งที่คุณได้ทำต่อการเกิดมาในภพชาติหนึ่งๆ นั้น คุณสามารถทำบุญนี้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต (เพียงแค่นี้ก็มิอาจเรียกว่าเป็นบารมีได้เลยไม่ว่าจะเป็นในระดับใดก็ตาม เนื่องจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อครั้งที่ท่านบำเพ็ญบารมีเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ในภพชาติที่ท่านยอมสละชีพของท่านเป็นทานปรมัตถบารมี ท่านสละให้ตอนเป็นนะครับ ไม่ใช่ตายก่อนแล้วค่อยให้ จริงไหมครับ?)
๓. หากจะนำเอาบุญนี้ ไปเปรียบกับการบริจาคโลหิตแล้ว การบริจาคโลหิตจัดเป็นอุปบารมีที่แท้จริงครับ เพราะเหตุว่า
๓.๑ ทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
๓.๒ จำนวนครั้งของการสั่งสมในรอบของการเกิดในช่วงชีวิตหนึ่งๆ คุณเองสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ ๑๗-๖o ปี ซึ่งหากนับเป็นจำนวนทั้งหมดจะได้ถึง ๑๗๖ ครั้ง (ผมบริจาคครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ ๒๕ แล้ว เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง และได้ทำบุญนี้ครบทั้ง ๓ เพศ คือ ในเพศภาวะคฤหัสถ์ สามเณร และพระภิกษุ ก็ขอให้ทุกท่านได้มีส่วนในอุปบารมีของเกียรติก้องด้วยนะครับ)
๓.๓ ได้ขันติบารมี (ได้อยู่แล้วเป็นปกติ) สัจจะบารมี (จะได้ก็ต่อเมื่อมีความตั้งใจว่า จะบริจาคทุกๆ ๓ เดือน และเมื่อถึงเวลาก็ไปบริจาคจริงตามที่ได้ตั้งใจไว้ หากเสียคำพูด "อด") อธิษฐานบารมี (ถ้าบริจาคแล้วไม่อธิษฐานกำกับด้วย "อด") และเมตตาบารมี (ได้อยู่แล้วเป็นปกติ) พ่วงมาด้วยครับ
ขอสรุปปิดท้ายว่า "บุญไม่ว่าน้อยหรือใหญ่ ใกล้หรือไกล พึงไขว่คว้าหาใส่ตัวไว้เถิดประเสริฐนัก"
#16
โพสต์เมื่อ 23 December 2005 - 01:14 AM
เนื่องจาก ตอบไม่ครบตามเงื่อนไข
ดังนั้น ขอ อุ๊บอิ๊บ รางวัล ไว้ก่อนแล้วกัน
ไว้งานหน้า คำถามต่อไป จะมีรางวัลให้จริงๆ (ไม่ได้โม้ เด๋ว ศีลขาด) เช่น ซีดี หนังสือ หรือ.....
เตรียมตัว นะคะ ไว้มาร่วมสนุกบุญบันเทิงกัน
#17
โพสต์เมื่อ 23 December 2005 - 01:18 AM
#18
โพสต์เมื่อ 23 December 2005 - 01:19 AM
ท่านใดอยากบริจาคโลหิต กับสภากาชาดไทย
วันอังคารนี้ 27/12/2548
จะมีรถมารับบริจาค ณ บริเวณ บริษัท RICOH ถนนอ่อนนุชค่ะ
เริ่ม 9 น.ไปจน บ่าย ... งานนี้เจ้าภาพ มีอาหารเลี้ยงด้วยค่ะ
ใครอยากไปบริจาคโลหิต ซึ่งช่วงนี้ขาดแคลนมาก อีเมล์มานะคะ
[email protected]
"รักษา อารมณ์ดี + อารมณ์เดียว + อารมณ์สบาย ทั้งวัน "
#19
โพสต์เมื่อ 23 December 2005 - 10:05 AM
หากผู้บริจาคมีชีวิตอยู่ ย่อมได้ผลบุญมาก
เทพธิดาสิริมาอยู่ในสุคติภูมิ ตรึกนึกถึงผลบุญลงมากราบไหว้ทักขินัยบุคคล มหาชนรำลึกถึงจึงสามารถรับบุญได้ทันตาเห็น
แต่ถ้าผู้บริจาคร่างกายละสังขารไปบังเกิดเป็นมนุษย์ต่อ หรือ ทุคติภูมิก็ไม่สามารถรับบุญได้
ตอนเป็นธรรมทายาทเมื่อปี 2528 เคยมีพระอาจารย์ท่านหนึ่งสรุปผลบุญว่าจะมากหรือน้อยขึ้นกับ
บริสุทธิ์ 3ฝ่าย ให้แก่ส่วนมาก
บุญใหญ่ยิ่งยาก มากด้วยเจตนา
ศรัทธาเลื่อมใส ทำให้เคยชิน
ยินดีทุกกาล อธิษฐานทุกครั้ง
ใจตั้งจรดศูนย์ เพิ่มพูนบุญสู่นิพพาน
#20
โพสต์เมื่อ 23 December 2005 - 01:01 PM
#21
โพสต์เมื่อ 23 December 2005 - 07:31 PM
คำว่าสังฆ หมายเอาภิกษุตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป ในความหมายของผมก็คือ สงฆ์สาวกทั่วไปไม่เจอะจง
คำว่าสังฆทาน หมายถึง การถวายทานแก่พระภิกษุแบบไม่เจาะจงมากกว่า 4 รูปขึ้นไปครับ
ถ้าจะทำบุญทั้งทีไม่ว่าจะบารมีหรือบุญก็ทำไปเถอะครับ ไหน ๆ ก็บริจาคโลหิตได้แล้วบริจาคร่างกายเป็นทานจะไปยากอะไรใช่ไหมครับ ทำเลยครับง่ายออกอย่างน้อยซากศพเราจะได้ใช้ประโยชน์อนุเคราะห์โลกได้ ให้ในสิ่งที่ผู้รับต้องการขนาดให้สิ่งของยังเป็นบุญสังขารก็ย่อมได้บุญเช่นกันครับทำไปเถอะอย่าคิดแบ่งแยกเลยว่าบุญมากหรือน้อย
เพราะคำว่าบารมี จะเกิดได้ต้องทำบุญนับไม่ถ้วนเพื่อกลั่นดวงบุญ ชนิดไม่เลือกบุญ แล้วกลั่นลงให้เล็กจากคืบเหลือเท่าดวงบารมีองคุลีมือเดียว ทำบ่อย ๆ รายละเอียดคุณสามารถหาได้จากคำสอนหลวงพ่อสดในหนังสือคู่มือสมภารไม่ยากครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#22
โพสต์เมื่อ 23 December 2005 - 07:41 PM
และก็เห็นด้วยมาก ๆ เลยกับการบริจาคโลหิตว่าเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งจ้า
(แต่ว่าถ้ารู้แล้วจะกลับมาบอกยังไงดีหละเนี่ย)
;)
#23
โพสต์เมื่อ 24 December 2005 - 12:51 AM
#24
โพสต์เมื่อ 24 December 2005 - 08:31 PM
กระทู้แนะนำ
เป็นอีกหนึ่งกระทู้ที่อยากโหวตให้เป็น
กระทู้แนะนำ
#25
โพสต์เมื่อ 09 January 2006 - 09:53 AM
#26
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 04:51 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#27
โพสต์เมื่อ 24 May 2006 - 12:21 PM
(ถ้าผิดพลาดอย่างไรขออภัยอย่างยิ่ง)
การพิจารณาว่า การกระทำใดจะได้บุญมากน้อยอย่างไรขึ้นกับ
1.เจตาผู้ให้บริสุทธิ์
2.สิ่งของที่ให้บริสุทธ
3.ผู้รับ ศีล และเจตนาบริสุทธิ์แค่ไหน
#28
โพสต์เมื่อ 05 February 2007 - 03:25 PM
#29
โพสต์เมื่อ 22 November 2008 - 09:23 PM
คือโดยคราวๆ ขั้นตอนระบุไว้ว่า ผู้บริจาคต้องแจ้งให้ญาติผู้ใกล้ชิดทราบและหลังจากเสียชีวิตแล้ว ผู้ใกล้ชิดนั้นต้องแจ้งให้ทางโรงพยาบาลทราบเพื่อมาฉีดฟอร์มาลีน + รับศพที่งาน โดยศพต้องเป็นศพปกติ ไม่ติดคดีความหรือเป็นศพที่ตายเพราะมีคดีความทางกฎหมาย (ถูกฆ่าตาย)
ถ้าผมตั้งใจจะทำทานครั้งนี้จริง สิ่งที่คิดและได้รับตามมา คือ
1. ผมจะได้มีผู้ใกล้ชิด ร่วมทำทานกับผม หากผมได้กุศลจากการทำทานครั้งนี้ ผู้ใกล้ชิดก้อจะได้รับด้วย
2. ผมต้องดูแลและปฎิบัติตัวเองให้อยู่ในกรอบของกฎหมายตลอดชีวิต หากการตายของผมเป็นการตายปกติ ผมถึงจะได้บุญนี้ กุศลจากความต้งใจนั้น ยังอยู่ที่ผม
3. อย่างน้อยผมจะได้เป็นครู มีลูกศิษย์ชุดสุดท้าย (ปกติมีอาชีพเป็นครูอยู่แล้ว) มีคนทำบุญ + จัดการศพให้ เมื่อจากไป อาจไม่ต้องเป็นภาระให้กับ เพื่อน ญาติพี่น้อง ซึ่งอาจมีครอบครัวไปแล้วในวันข้างหน้า ชื่อของเราจะอยู่ในความทรงจำของลูกศิษย์ชุดนั้น ไปตลอดที่เค้ายึดอาชีพการเป็นแพทย์รักษาคน
ผมไม่สนใจหรอกครับ ว่าจะได้บุญหรือไม่ มากน้อยอย่างไร ผมได้ประโยชน์ คนอื่นได้ประโยชน์ ไม่เห็นเหตุผลใดว่าทำไมจะไม่ดี...
หากเนื้อหนัง...เอ็นดวงตา...ของข้าน้อย...
แลกซักก้อย...ประโยชน์คุณ...ทุนความรู้...
ขออุทิศพลี...ณ ที่เย็น...เป็นบุญชู...
ความดีอยู่...คู่วิญญาณ...ตราบนานไป...