วันก่อนคุยกับเพื่อนเลยคุยไปคุยมาเกิดคำถามสงสัยเล่นๆว่า
ระหว่างเราเต็มใจให้ยุงกินเลือดกับให้สิ่งของเป็นทาน(อามิสทนา)
อันไหนได้บุญมากกว่ากันครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
ยุงกับทาน
เริ่มโดย honghong, Jan 27 2008 11:27 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 27 January 2008 - 11:27 PM
#2
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 06:16 AM
การให้ทานจะได้อานิสงส์เท่าใดก็ขึ้นอยู่กับผู้รับว่าเป็นใคร ถ้าให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉานจะได้อานิสงส์ร้อยอัตภาพ คือเอาอายุสัตว์นั้นคูณด้วยหนึ่งร้อย
"ดูก่อนอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจะนับจะประมาณไม่ได้ จะกล่าวไปใยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ในปัจเจกสัมพุทธเจ้าและในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"
*มก. ทักขิณาวิภังคสูตร เล่ม ๒๓ หน้า ๓๙๙
"ดูก่อนอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจะนับจะประมาณไม่ได้ จะกล่าวไปใยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ในปัจเจกสัมพุทธเจ้าและในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"
*มก. ทักขิณาวิภังคสูตร เล่ม ๒๓ หน้า ๓๙๙
#3
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 09:39 AM
ระวังได้โรคกลับมานะคะ
เปลี่ยนเป็นไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะ
เปลี่ยนเป็นไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะ
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#4
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 05:23 PM
พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ
พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต
พึงสละชีวิต เพื่อรักษาธรรมะ
เวลายุงกัดนั้น มันไม่ได้ดูดแค่เลือดอย่างเดียว แต่มันส่งเชื่้อโรคมาให้เราด้วย
ไม่เหมือนการบริจาคโลหิตที่เราบริจาคอวัยวะ เพื่อรักษาธรรมอย่างเดียว
แต่นี่ ถ้าเราบริจาคอวัยวะ(เลือด) แต่อาจต้องสิ้นชีวิต(ด้วยโรคที่มากับยุง) ก็จะผิดหลักการที่พระท่านว่าไว้ครับว่า พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ครับ
พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต
พึงสละชีวิต เพื่อรักษาธรรมะ
เวลายุงกัดนั้น มันไม่ได้ดูดแค่เลือดอย่างเดียว แต่มันส่งเชื่้อโรคมาให้เราด้วย
ไม่เหมือนการบริจาคโลหิตที่เราบริจาคอวัยวะ เพื่อรักษาธรรมอย่างเดียว
แต่นี่ ถ้าเราบริจาคอวัยวะ(เลือด) แต่อาจต้องสิ้นชีวิต(ด้วยโรคที่มากับยุง) ก็จะผิดหลักการที่พระท่านว่าไว้ครับว่า พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#5
โพสต์เมื่อ 28 January 2008 - 06:13 PM
บริจาค ให้คน ได้บุญมากกว่า ให้ยุง
ยิ่งถ้าบริจาค ให้โรงพยาบาลสงฆ์ ผู้มีศีลมีธรรมมากกว่า ก็จะมีอนิสงส์มากยิ่งๆ ขึ้นไป
ยิ่งถ้าบริจาค ให้โรงพยาบาลสงฆ์ ผู้มีศีลมีธรรมมากกว่า ก็จะมีอนิสงส์มากยิ่งๆ ขึ้นไป
#6
โพสต์เมื่อ 29 January 2008 - 06:04 PM
ถ้าเต็มใจแบบได้บุญ หัวค่ำๆไปนอนเรียกยุง ให้ยุงมากินเลือด แบบนี้ถึงได้บุญครับ
แต่ถ้ากรรมปาณาติบาตตามมาทัน ก็อาจเป็นไข้มาลาเรียตาย แล้วตอนตายถ้าจิตผูกพันธุ์กับยุง ก็อาจไปเกิดเป็นยุงก่อนครับ
แต่ถ้ากรรมปาณาติบาตตามมาทัน ก็อาจเป็นไข้มาลาเรียตาย แล้วตอนตายถ้าจิตผูกพันธุ์กับยุง ก็อาจไปเกิดเป็นยุงก่อนครับ
#7
โพสต์เมื่อ 29 January 2008 - 09:44 PM
ออ ครับขอบคุณมากครับ เพราะมีบ้างทีพจน์ไปนั่งที่สถานที่ปฏิบัติธรรมตอนดึกๆคนเดียวครับเเบบเหนื่อยมากไม่อยากไปวัดไปนั่งประมาณเที่ยงคืนครับที่นั้นมันมียุงเยอะมากๆไม่เหมือนวัดอ่ะครับ เเล้วไม่อยากทายากันยุงเพราะว่าไม่รู้อ่ะ พจน์คิดว่าถ้าพจน์เป็นยุงคงหิวเเหละ ก็ทำไงได้ล่ะเขาก็ต้องกิน ดีกว่าเขาไปกัดผู้มาปฏิบัติธรรมในเวลาเที่ยงๆเเล้วคนปฏิบัตินั่งไม่ได้เดี๋ยวเขาบาปเเละคนปฏิบัติธรรมอาจจะเกิดอารมณ์คิดฆ่าอ่ะครับ เเล้วพจน์นั่งไม่รู้สึกอะไรเลยครับไม่เจ็บมันทำให้เป็นสมาธิมากๆเลยครับเพราะว่าถ้าพจน์ลองเอาใจไปร่างกายดูจะรู้สึกทันทีเลย ทำให้พอไปฝึกสมาธิที่สบายๆไปเร็วมากๆครับ อย่างงี้ยุงเขาอาจจะมีส่วนช่วยให้เราปฏิบัติธรรมดีขึ้น เขาคงได้บุญบ้างล่ะมั้งครับ
อืมๆถ้ายุงไม่บาป พจน์ไม่บาป ก็โอเคเเล้วครับส่วนคำถามพจน์ถามเล่นๆเพราะคุยกับเพื่อนเเละสงสัย
ขอบคุณทุกๆคนมากเลยครับสำหรับคำตอบ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
อืมๆถ้ายุงไม่บาป พจน์ไม่บาป ก็โอเคเเล้วครับส่วนคำถามพจน์ถามเล่นๆเพราะคุยกับเพื่อนเเละสงสัย
ขอบคุณทุกๆคนมากเลยครับสำหรับคำตอบ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
#8
โพสต์เมื่อ 30 January 2008 - 02:33 AM
เห็นด้วยทุกท่านค่ะ ว่าถ้าจะให้เลือดเป็นทาน ไปโรงพยาบาลบริจาคโลหิตให้คนดีกว่า
และที่สำคัญคือ เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นจากยุง นี่ไม่คุ้มกันเลยนะคะ
เพราะชีวิตเรายังสามารถใช้งานไปทำบุญสร้างบารมีได้ดีกว่านี้อีก
ถ้าคิดอย่างนี้ ถือว่าเป็นความเขลาเบาปัญญาอย่างยิ่งเลยค่ะ
บุญที่ได้รับคือ เมื่อชาติใดได้เกิดเป็นยุง แล้วกำลังจะอดตายอยู่แล้วเชียว
จะมีคนมายอมเป็นเหยื่อให้เราดูดเลือด เพื่อยืดชีวิตความเป็นยุงไปอีกวันเนี่ยนะคะ
และที่สำคัญคือ เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นจากยุง นี่ไม่คุ้มกันเลยนะคะ
เพราะชีวิตเรายังสามารถใช้งานไปทำบุญสร้างบารมีได้ดีกว่านี้อีก
ถ้าคิดอย่างนี้ ถือว่าเป็นความเขลาเบาปัญญาอย่างยิ่งเลยค่ะ
บุญที่ได้รับคือ เมื่อชาติใดได้เกิดเป็นยุง แล้วกำลังจะอดตายอยู่แล้วเชียว
จะมีคนมายอมเป็นเหยื่อให้เราดูดเลือด เพื่อยืดชีวิตความเป็นยุงไปอีกวันเนี่ยนะคะ
The Strongest is The Gentlest!
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#9
โพสต์เมื่อ 30 January 2008 - 11:13 AM
เพิ่มเติมข้อมูลให้นิดนึงว่า ยุงนั้น นอกจากเลือดแล้ว ยังสามารถกินน้ำหวานจากดอกไม้ได้ครับ มันจึงไม่อดตาย แล้วทำไมมันต้องกินเลือด ก็เพราะตัวเมียนั้น ต้องการโปรตีนจากเลื่อดมนุษย์ ไปใช้ในการสร้างไข่ เพื่อเจริญเผ่าพันธุ์ยุง ซึ่งถ้ายังไม่ได้กินเลือด มันก็ยังสามารถรอเวลาไปได้เรื่อยๆ ตราบเท่าอายุของมันแหละครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#10 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 30 January 2008 - 08:22 PM
เวลาตาย จิตผูกพันกับอะไรก็จะเกิดเป็นสิ่งนั้นเลยหรอคะ สงสัยค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 31 January 2008 - 12:05 PM
ใช่แล้วล่ะครับ พระท่านถึงได้บอกว่า จิตเต สังกิริตเถ ทุกคติ ปาฏิกังขา เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติ เป็นที่ไป จิตเตอสังกิริตเถ สุคติ ปาฎิกังขา เมื่อจิตผ่องใส สุคติเป็นที่ไป
การที่จิตใจไปผูกพันกับสิ่งที่ไ่ม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมากๆ จิตก็จะเศร้าหมอง และก็ต้องไปอบายครับ
ในอดีตกาลมีพระรูปหนึ่ง แม้เป็นพระซึ่งปรกติจะได้บุญมาก แต่ตอนบั้นปลายได้จีวรใหม่มาผืนหนึ่ง เกิดความรู้สึกผูกพันกับจีวรนั้น จนล้มป่วย ละโลกไปก็ไปเกิดเป็นตัวเล็น อยู่ในจีวรนั้น
ครั้ันพระรูปนั้นตาย พระรูปอื่นก็จะนำจีวรนั้นมาใช้ เพราะเจ้าของไม่อยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าเสด็จมาห้ามไว้ บอกให้รออีก 7 วัน หลังจาก 7 วัน พระองค์ก็อนุญาติให้ใช้จีวรได้
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระเจ้าของจีวรเดิม ที่เกิดเป็นเล็นจะหวงจีวรมาก อาจตอนนั้นใครนำไปใช้ พระรูปนั้นจะผิดหวังอย่างแรง และจะต้องไปอบาย แต่ครั้นผ่านไป 7 วัน เล็นหมดอายุเสียชีวิต ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ เนื่องจากบุญที่เป็นพระตามมาทัน เป็นต้น พระพุทธเจ้าจึงอนุญาติให้ผู้อื่นนำจีวรนี้ไปใช้ได้
การที่จิตใจไปผูกพันกับสิ่งที่ไ่ม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมากๆ จิตก็จะเศร้าหมอง และก็ต้องไปอบายครับ
ในอดีตกาลมีพระรูปหนึ่ง แม้เป็นพระซึ่งปรกติจะได้บุญมาก แต่ตอนบั้นปลายได้จีวรใหม่มาผืนหนึ่ง เกิดความรู้สึกผูกพันกับจีวรนั้น จนล้มป่วย ละโลกไปก็ไปเกิดเป็นตัวเล็น อยู่ในจีวรนั้น
ครั้ันพระรูปนั้นตาย พระรูปอื่นก็จะนำจีวรนั้นมาใช้ เพราะเจ้าของไม่อยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าเสด็จมาห้ามไว้ บอกให้รออีก 7 วัน หลังจาก 7 วัน พระองค์ก็อนุญาติให้ใช้จีวรได้
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระเจ้าของจีวรเดิม ที่เกิดเป็นเล็นจะหวงจีวรมาก อาจตอนนั้นใครนำไปใช้ พระรูปนั้นจะผิดหวังอย่างแรง และจะต้องไปอบาย แต่ครั้นผ่านไป 7 วัน เล็นหมดอายุเสียชีวิต ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ เนื่องจากบุญที่เป็นพระตามมาทัน เป็นต้น พระพุทธเจ้าจึงอนุญาติให้ผู้อื่นนำจีวรนี้ไปใช้ได้
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร