***ชื่อว่าพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้านั้น ย่อมปรากฏแก่ชนทั้งหลายเป็นคุณลักษณะพิเศษที่ทำให้พระพุทธองค์แตกต่างจากชนทั่วไป ด้วยอานิสงส์ที่พระพุทธองค์สั่งสมไว้เป็นอย่างดี ถึงกระนั้นแล้วก็ยังมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ชื่อว่า รัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์นั้น มีเกินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ แสงแห่งพระพุทธองค์ทรงครอบงำ แม้แสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แม้หมื่นโลกธาตุก็สว่างจ้า ด้วยกุศลใดหนอจึงทำให้เป็นเช่นนั้นได้
เรื่องราวมีอยู่ว่า เมื่อพระโกณฑัญญศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ดำรงอยู่แสนปี เพราะพระสาวกของพระพุทธะและอนุพุทธะอันตรธานหายไป ศาสนาของพระองค์จึงอันตรธานหายไปตาม ต่อจากสมัยนั้นไปอีกหนึ่งอสงไขย แต่อยู่ในกัปเดียวกัน ได้บังเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาอีก 4 พระองค์ คือ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ
หนึ่งในสี่ของพระพุทธเจ้านั้นก็คือ พระมังคละพุทธเจ้า ซึ่งจะได้กล่าวถึงในที่นี้ ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนกัป บังเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงดำรงตลอดอายุในสวรรค์ชั้นนั้น
นับแต่พระมังคละมหาสัตว์ ผู้เป็นมงคลของโลกทั้งปวง ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอุตตระมหาเทวี พระรัศมีแห่งพระสรีระก็แผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอกทั้งกลางคืนกลางวัน แสงจันทร์และแสงอาทิตย์ก็สู้รัศมีนั้นไม่ได้ พระรัศมีนั้นสามารถกำจัดความมืดได้โดยไม่ต้องใช้แสงสว่างอย่างอื่นเลย พระรัศมีดังกล่าวนั้นชื่อว่า มีเกินกว่าพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ มีโดยรอบประมาณ ๘๐ ศอกบ้าง วาหนึ่งบ้าง
หากแต่พระรัศมีของพระมังคละพุทธเจ้านั้น แผ่ตลอดหมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ ต้นไม้ ภูเขา เรือน กำแพง หม้อน้ำ บานประตู ทุกสิ่งทุกอย่างเสมือนหุ้มไว้ด้วยแผ่นทอง พระองค์มีพระชนมายุถึง ๙ หมื่นปี คราวนั้นรัศมีของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์หรือแม้แต่ดวงดาวไม่มีตลอดเวลา กลางวันและกลางคืนก็ไม่สามารถกำหนดได้ เพราะไม่มีความแตกต่างของแสง สัตว์ทั้งหลายอาศัยแสงสว่างแห่งพระพุทธองค์ในการประกอบการงาน โดยแยกกลางวันกลางคืนด้วยดอกไม้ยามเย็น และเสียงนกร้องในยามเช้า
มีข้อสงสัยว่า อานุภาพอย่างนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ นั้นไม่มีหรือ ตอบว่าไม่มี แม้ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ เมื่อทรงประสงค์จะแผ่พระรัศมีแห่งพระสรีระไปตลอดหมื่นโลกธาตุ หรือยิ่งกว่านั้นได้ก็จริง แต่ก็เป็นไปโดยพระประสงค์ หากอานุภาพของพระมังคละพุทธเจ้านี้เป็นไปโดยธรรมชาตินิรันดร ทั้งนี้ก็ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้ตั้งแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ดังต่อไปนี้คือ
ครั้งหนึ่ง เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ได้เห็นพระเจดีย์ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คิดว่า “ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นี้” จึงได้ให้เขาพันทั่วทั้งสรีระเหมือนกับพันด้ามประทีป ให้บรรจุถาดทองมีค่านับแสน ซึ่งมีช่อดอกไม้ตูมขนาดศอกหนึ่ง เต็มด้วยของหอมและเนยใส จุดไส้เทียนพันไส้ไว้ในถาดทองนั้น ใช้ศีรษะเทินถาดทองนั้นแล้วให้จุดไฟทั่วทั้งตัว แล้วทำประทักษิณรอบพระเจดีย์ตลอดทั้งคืน เมื่อพระโพธิสัตว์พยายามอยู่จนอรุณขึ้นอย่างนี้ ไออุ่นจากไฟไม่จับแม้เพียงขุมขน พระมหาสัตว์ได้ตั้งความปรารถนาว่า
“ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงแล่นออกโดยทำนองเดียวกันนี้” เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีสว่างไสวไม่มีประมาณเปล่งออกจากสรีระแผ่ไปตลอดทุกสถานที่ มีนัยดังพรรณนามาแล้วข้างต้น
นี้เป็นอานิสงส์ของการบูชาพระเจดีย์ด้วยจิตศรัทธา ที่เหนือกว่าการถวายประทีปเป็นพุทธบูชาทั่ว ๆ ไป เพราะเหตุที่ประทีปนี้คือ ประทีปชีวิต อันยากยิ่งที่จะมีใครสละได้โดยง่าย เมื่อบุญส่งผล อานิสงส์ที่ได้รับจึงเลิศกว่าบุคคลอื่นในฐานะเดียวกัน ตามเหตุที่ประกอบ