เป็นพระแล้วคิดได้ยัง
#1
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 12:10 PM
สร้างภาพและสับรางเก่งมาก แต่สนใจและรักธรรมมะ ชอบนั่งสมาธิ
ชอบเข้าวัดนี้ ชอบออกค่ายปฏิบัติธรรมสมัยเรียนบ่อยๆ พร้อมๆกับทำความรู้จักสนิทสนมกับผู้หญิงหน้าตาดี และรวย โดยเฉพาะคนที่เข้ามาใหม่ๆ ปี 1ปี 2 ที่ยังไร้เดียงสา ตามไม่ทันกลอุบายเจ้าเล่ห์ของเขา ด้วยเพราะเชื่อมั่นว่าเป็นคนดี ชวนนำเงินมาทำบุญ และช่วยส่งเลี้ยงตัวเองด้วย พวกผู้หญิงกเมื่อรู้ตัวก็ถอยห่าง ให้ความโกรธเกลียด ชิงชัง บ้างก็นำมาแชร์ประสบการณ์ที่ไม่เคยนำมาเปิดเผย จนความแตก ทำให้การสร้างบารมีของฝ่ายหญิงหยุดลง เดินออกไปทั้งๆที่ยังต้องเรียนหนังสือ และหมดศรัทธาคนเข้าวัดนี้
ส่วยฝ่ายชายังคงปฏิบัติธรรมเสมอ แต่พอออกจากวัดปุ๊บ นิสัยก็แย่เหมือนเดิม ยังคงหาสาวๆนอกวงการเล่นอยู่เรื่อย รวมถึงบรรดาเพื่อนร่วมงานธรรมมะไม่ได้ซึมซับเข้าในใจเลย
แม้ใกล้บวชแล้วยังสนับสนุนให้ฆ่าลูกตัวเอง โดยให้ฝ่ายหญิงไปทำแท้ง (อนึ่ง เราคิว่าเขาอาจบวชเพราะหนีความผิดที่เกิดขึ้นเป็นดินพอกหางหมูด้วย)และไม่อยากให้คนในครอบครัว อาทิเมียหลวงทราบ
รายนี้หาก ลาสิกขาแล้วจะหายรึเปล่า ?
สมควรสนับสนุนให้บวชตลอดชีวิตรึไม่ ?
จะชวนมิตรที่ออกไปเพราะเขาทำไว้เจ็บกลับมาอโหสิกรรมให้ และสร้างบารมีที่นี่ดีมั๊ย
ส่วนตัวเองเคยเจอรูปแบบนี้มา และเข็ดแล้ว พอเจอคนที่ตามมาทีหลังเรา ก็สงสาร แต่ไม่บอกเล่าอะไรให้ฟังซ้ำเติมกัน
และอีกอย่างเขาเป็นพระก็ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวด้วย แม้ว่าจะยังให้อภัยได้ไม่เต้มที่ก็ตามก็ตาม
#2
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 12:42 PM
อันนี้คงตอบไม่ได้ครับ มันขึ้นอยู่กับว่าใจของเค้าแข็งแค่ไหน ใสแค่ไหน สว่างแค่ไหน และเค้าต้องการสร้างบารมีไปกับหมู่คณะจริงๆ หรือเปล่า
คุณยายเคยพูดถึงคนพวกนี้ที่เข้าวัดเพื่อหวังดีหวังเด่น หวังเรื่องชู้สาวไว้เหมือนกัน แต่จำคำตรงๆ ท่่านไม่ได้กลัวจะพิมพ์ผิด ฝากผู้รู้ช่วยเสริมหน่อยนะครับ
ถ้าตัวของเราเองมีส่วนช่วยให้เค้าบวชได้ตลอดชีวิต ก็ทำเลยครับ เพราะการให้อภัยทานชนะการให้ทั้งปวง อย่าไปผูกเจ็บกับเค้ามากเลยครับ แค่ลำบากตัวเค้าเองผมว่าเค้าก็รู้สึกเจ็บเหมือนกันนะ ใจเค้าไม่ใสหรอกครับ เชื่อดิ ให้มองเค้าเป็นคนน่าสงสารที่ไม่สามารถชนะความต้องการภายในตัวเองได้ ต้องแพ้ต่อมารที่เอาสิ่งต่างๆ มาชักจูงใจ นี่ไม่นับผลกรรมที่เค้าก่อไว้อีก เชื่อผม น่าสงสาร น่าสงสาร อโหสิกรรมเค้าไปเถอะครับ แล้วใจเราจะยกระดับได้อย่างไม่น่าเชื่อ :-)
ดีอยู่แล้วครับ ต้องแยกกันระหว่างการทำหน้าที่กัลยานมิตร กับความรู้สึกภายในจิตใจ ลองฟังเพลงเมื่อใดใจสูงซิครับ อาจจะช่วยได้บ้าง แต่สิ่งอื่นที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อย่างพยายามเปลี่ยนคนอื่น ให้เปลี่ยนแปลงตัวเราเองก่อนนะครับ :-)
ตอบประมาณนี้ก่อนนะครับ ไม่รู้ตรงประเด็นหรือเปล่า ท่านอื่นถ้าคำตอบดูผิดๆ เพี้ยนๆ เสริมได้นะครับ :-)
้happy & smile
P1060927.JPG 438.92K 57 ดาวน์โหลด
#3
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 01:12 PM
รู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนี้ค่ะ แต่คนล่ะ version กัน
........รักเค้า อนุโมทนาบุญ ให้ชีวิตเขาได้พบทางสว่าง ที่จะทำให้เขาดับกิเลสได้บ้าง เพราะเขาไม่ใช่พระอริยะเจ้า...............
แม้หัวใจเรายังช้ำ และยังให้อภัยเขาไม่ได้บางเรื่องเช่นกัน ......ทำใจค่ะ กำลังยอมรับกับความขุ่นมัว จนแทบจะบ้าอยู่อย่างนี้.....
#4
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 05:04 PM
...ดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้ แต่จริง ๆ รู้ไม่หมดหรอกรู้นิด ๆ แต่ทำเป็นรู้ ถ้ารู้ครบวงจรจะมีหิริโอตัปปะ(ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) พูดง่ายๆก็คือสามารถยับยั้งชั่งใจไม่ให้ทำความชั่วไปได้นั่นเอง...
สุดท้ายอยากบอกคุณ rainy_maw หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ก็เป็นสิ่งที่วัดพระธรรมกายยึดเป็นแบบแผนเป็นหลักในการเทศนาสอนเผยแผ่ธรรมะอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าคนที่มาถึงได้ศึกษาแล้วจะนำกลับไปปฏิบัติตามคำสอนตามหลักพุทธศาสนาได้ขนาดไหน หลักธรรมะเป็นที่ถูกต้องดีงาม แต่คนที่ได้ศึกษาแต่ไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมะ ก็ไม่ถือว่ามีธรรมะอยู่ในใจครับ เป็นได้แค่..."ทำเป็นรู้"...เืท่านั้น...
ดังนั้นขอให้คุณ rainy_maw ได้มั่นใจในธรรมะของพระพุทธเจ้าและสร้างบุญสร้างกุศลศึกษาธรรมะต่อไป และทำได้ทั้งที่นี้ หรือว่าที่วัดอื่นๆ เพราะถือว่าเป็นการช่วยสืบอายุพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อๆไปและผลดีจะบังเกิดขึ้นแก่ตัวเราแน่นอนครับ
#5
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 05:45 PM
ครั้นพอเวียนว่ายตายเกิด จนมาถึงยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน บุญส่งให้มาเกิดเป็น หลานของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี อีกทั้งยังส่งผลตามคำอธิษฐาน คือ สาวเห็นสาวหลง ดังนั้น หลานท่านอนาถบิณฑิกจึงไม่เว้นเลย ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร
เจ้าทุกข์จึงพากันไปร้องเรียนพระราชา คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านเองก็ให้ทหารไปจับมา แต่ก็เกรงใจท่านเศรษฐี ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่ให้ท่านเศรษฐีมารับตัวกลับไปบ้าน เป็นอย่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่ง ตัวเขาได้ฟังธรรม จากพระพุทธเจ้า แล้วบรรลุเป็นพระโสดาบัน เลยรอดตัวไป
#6
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 05:53 PM
แต่เห็นว่าประเด็นนี้ สำคัญ เพราะอาจจะทำให้ใครหลายคนสูญเสียโอกาส ในการสร้างบารมีได้
๑. ต้องมองภาพรวมให้ออก
คำสอนของพระพุทธศาสนา ได้รับการพิสูจน์มาตลอดระยะเวลามากกว่า สองพันห้าร้อยกว่าปี ว่า
เป็นคำสอนที่ดีจริง
เป็นคำสอนที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้จริง
เป็นคำสอนที่ทำให้คนคิดดี พูดดี ทำดีได้จริง
เป็นระบบพัฒนามนุษย์ที่ดีที่สุดในโลก
และที่สำคัญ แนวทางการสอนของวัดพระธรรมกาย ซึ่งดำเนินตามหลักคำสอนในพุทธศาสนาทุกประการ ก็ทำให้บังเกิดผลอย่างนี้ได้จริงๆ จากโครงการอบรมต่างๆ สามารถให้คนที่เข้าร่วมมีพฤติกรรมที่ดี ได้อย่างรวดเร็ว และตามสถิติแล้ว ถือว่า เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนี้ และนี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้วัดพระธรรมกาย อยู่มาได้ และเติบโตมาได้จนถึงปัจจุบัน
๒. กรณีภาพย่อย
ดังกรณีที่ จขกท กล่าวมานั้น เชื่อได้ว่าเป็นกรณีที่เิกิดขึ้นจริง เพราะผู้เขียนเองก็เคยเจอ เคสที่คล้ายๆ กัน
แน่นอนว่า ในเบื้องต้น มันรู้สึกค้านกับความรู้สึกหลายๆ อย่าง
มองที่เหตุก่อน
แต่.... ต้องเข้าใจว่า มนุษย์นั้น มีความหลากหลายมาก ด้วยผลแห่งกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำผ่านมาของแต่ละคน และในเบื้องต้นนี่ มีกิเลส กันหนาแน่นกันทุกคน (ยังไม่รวมอุปนิสัย หรือ สันดาน ต่างๆ)
เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่ใครคนหนึ่งจะมีพฤติกรรมอย่างนั้น
เปรียบดังเช่น
หากเรามีน้ำหนึ่งแล้ว แล้วเทเกลือลงไป
จากนั้น เรา็ก็ใช้วัสดุต่างๆ จุ่มลงไป อาทิเช่น
ผ้า
ไม้
สำลี
ก้อนหิน
แผ่นเหล็ก
พลาสติก
วัสดุเหล่านี้ ย่อมซึมซับน้ำเกลือ ได้ต่างๆกัน ฉันใดก็ฉันนั้น
แม้ว่า ก้อนหินก้อนนั้น จะพยายามสักเพียงได้ก็ตาม แต่ด้วยคุณสมบัติประจำัตัวของมัน ก็ย่อมซึมซับเกลือ ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถามว่าฺ ...เป็นความผิดของก้อนหินหรือ.........(อันนี้ทุกคนต้องลองตอบคำถามเ้อง)
แล้ว ถามอีกว่า...เป็นความผิดของน้ำเกลือหรือ......(อันนี้ก็ชัดเจนว่า ไม่ใช่แน่นอน)
ชีวิตมนุษย์มันซับซ้อน ไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์
แต่ถ้ามองดีๆ ก็มีทางออกที่ดีเสมอ ....
ท้ายที่สุดแล้ว ก็ต้องมองในมุมที่เป็นประโยชน์กับชีวิตของเรา และส่วนรวมเสมอ
แล้วมามองที่ผล
สิ่งที่คนๆนั้น แน่นอนว่า มีผลเสีย กับตัวของเค้าเอง... และที่สำคัญย่อมเกิดผลเสียหายกับหมู่คณะ รวมถึงกับพระพุทธศาสนาด้วย
ซึ่งในเบื้องต้น กฏแห่งกรรม จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้เอง
และอีกทางหนึ่ง
หมู่คณะก็จะมีกลไก ที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ในที่สุด
แล้วจะให้ทำอย่างไร
ก็ไม่ต้องทำอะไร
ทำใจให้ใส
สร้างบุญให้มากๆ
อธิษฐานให้เจอแต่ คนดีๆ (เท่า่นั้น)
ถ้ายังคงสงสัยอะไร ก็ให้กลับไปอ่านข้อ ๑.
#7
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 08:00 PM
...ข้าวจานนึง แล้วแต่ความเข้าใจ และความละเอียดของใจที่จะมองและเข้าใจ ไม่ต่างอะไรกับผ้าเหลืองทอง นั่นเอง.. แต่ต่างตรงที่ ถ้ามองไม่ดี ก็มีลุ้นไปอบายภูมิขุมลึกลงไปเรื่อยๆเท่านั้น...
#8
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 09:32 PM
ไม่หายหรอก สันดานมันขุดไม่ได้
ถึงสนันสนุนไปก็คงไปไม่รอด เนื้อย่อมเข้าฝูงเนื้อ
แต่มันย่อมขึ้นกับความเป็นจริงว่าสิ่งที่คุณว่ามาเป็นจริงแค่ใหนเพียงไร ที่สำคัญหาบุญให้ตัวเองเยอะๆดีกว่า อย่าไปสนใจใครมาก เรื่องนี้ก็บอกในตัวว่าคุณเองก็เคยทำตัวเช่นนี้มาในกาลก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เจอกับมัน
อย่าไปสนใจใครเขาเลย เอาบุญให้ตัวเองเยอะๆดีกว่า
#9
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 12:06 AM
ท่านว่า คนเราชาตินี้ยังชั่ว ชาติหน้าอาจเป็นคนดีก็ได้ ถ้าชาติหน้ายังไม่ดี ชาติต่อๆ ไปก็จะเป็นคนดีขึ้นเอง ไม่มีใครที่จะเป็นคนชั่วได้ตลอดไป
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#10
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 03:02 AM
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ในปัจจุบัน..มันไม่มากเกินไปกับการกระทำของเราเองที่เคยทำมาแล้วในอดีต"
"ไม่ก่อเวรมาก่อน.. ก็รอดตัว.. ใครทำอะไรไม่ได้"
(ข้อความของคุณครูไม่ใหญ่...ผมจำไม่ได้ 100% เหมือนกัน..เอาความหมายไปประมาณนี้นะครับ)
ข้อคิด
1. ควรแยกแยะระหว่าง..วัด..หมู่คณะที่ตั้งใจสร้างความดี..สาธุชนที่มา..มีทั้งคนดี..คนชั่ว..ให้ชัดเจน
2. จะเป็นคนดีหรือคนชั่วก็มีสิทธิบวชได้ครับ คนชั่วย่อมแสวงหาหนทางทำความชั่วได้ทุกสถานะการณ์
3. คนที่ชักชวนกันมาวัดไม่ใช่คนดีทุกคนเสมอไป อาจมีผู้แสวงหาประโยชน์รวมอยู่ด้วย (แต่ส่วนน้อย)
4. อยากมาทำบุญที่วัดก็มาเองเลย ไม่ต้องรอใครชวนมา มาทำบุญด้วยตัวเองโดยตรงได้บุญเต็มๆ
เมื่อหลายปีก่อนมีคนเข้าวัดมาเพื่อจะมาขะโมยรองเท้าอย่างเดียวก็มี ขะโมยไปได้อาทิตย์ละหลายสิบคู่
เคยมีพระอคันตุกะมาพักที่วัด มีระเบิดอยู่ในยามก็เคยมี
ดังนั้นมั่นใจเถอะว่าวัดนี้มีพระที่ตั้งใจทำความดีเป็นส่วนใหญ่ คนไม่ดีส่วนน้อยต้องช่วยกันดูแลกำจัดให้สิ้นไป..
เพราะเป็นวัดของเราเอง...
ประเดนนี้..เราควรตั้งอุเบกขาหรือเปล่าหนอ...ผมก็พูดไม่ออก..บอกไม่ถูกครับ
แต่เห็นใจครับ..(กรรมกาเม..มันมีอานุภาพจริงๆ..เป็นวิชาของมารใช้สกัดการสร้างความดีให้เนินช้า ล้มเหลว)
ผมก็เอาตัวแทบไม่รอดเหมือนกัน
#11
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 10:35 AM
ก็คิดเสียว่า คนมาวัด ไม่ได้เจอแบบนี้ทุกคน คนที่เจอ ก็คือคนที่มีกรรมคล้ายๆกัน สัมพันธ์กันน่ะครับ
มองแล้วที่แก้ไขตัวเองดีกว่าครับ สิ่งที่เราเจอก็คือภาพสะท้อนอดีตของเราทั้งสิ้น
ตอนนี้ท่านก็ศีลสูงกว่าเรา หลวงพ่อเคยบอกว่า ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ อย่าเอาตัวและใจไปเสี่ยงสร้างกรรมกับท่านเลย
อดีตชาติของพระพุทธเจ้าบางชาติท่านยังเคยฆ่าพี่น้อง คนเรา ก็กำลังพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกคนน่ะครับ ถ้าไม่พัฒนาด้วยต้วเอง ก็พัฒนาไปตามยถากรรม คือ เป็นไปตามกรรมที่เขาทำ แล้วก็ถูกทัณฑ์ทรมานต่างๆ จนกรรมเบาบาง ก็จะดีขึ้นเอง
#12
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 08:07 PM
"ทุกอย่างที่เราเจอแสบๆในชาตินี้, มันเป็นภาพในอดีตชาติของตัวเราเองที่เคยทำเจ็บแสบไว้กับคนอื่น"
มันเป็นกรรมใหม่ของเขาเหล่านั้น ที่จะต้องไปชดใช้ในชาติต่อๆไป,
มันเป็นเรื่องของเขา, เราไม่"เกี่ยว"(ถ้าอโหสิกันอย่างหมดจดล้านเปอร์เซนต์),
ถ้าไม่อโหสิกัน, ก็ต้องไป"เกี่ยว"ไปเจอกันอีกในชาติต่อๆไป,
ล้างแค้นกันไปมาห้าร้อยชาติ(เหมือนเมียหลวงเมียน้อยคู่หนึ่งในชาดก) จนกระทั้งได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า,
แล้วพระองค์ก็ทรงฉายภาพในอดีตห้าร้อยชาติที่ต่างฝ่ายต่างสลับกัน"""ฆ่าล้างแค้น"""กันให้เห็นกันจะจะ,
แล้วทรงถาม(ประมาณ)ว่า จะล้างแค้นกันต่อไปอีกสักพันชาติไหม ??????????
หรือจะอโหสิกรรมเลิกแล้วต่อกันในชาตินี้ให้มันจบๆกันไปเลย,
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะได้สิ้นสุดลงไปเสียที, จะเอายังไงก็ตัดสินใจมาให้เด็ดขาด (ให้สมศักดิ์ศรีอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน),
อโหสิกรรมนี้แล คือ สุดยอดของ POSITIVE THINKING AND WIN WIN
เชื่อไหมว่า เมื่ออโหสิกรรมได้อย่างหมดจดล้านเปอร์เซนต์แล้ว,
จิตจะผ่องใส, แล้วจะไม่เหลือความรู้สึกเจ็บปวด(HURT)ใดๆเลย,
มันจะหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยเยื่อใย, เหมือนไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนเลย,
แต่ถ้ายิ่งคิดยิ่งเขียน, ก็จะยิ่งเครียดยิ่งแค้น, ยิ่งเพิ่มสายใยที่จะต้องไปเกี่ยวกันอีก,
แถมเศษกรรมที่ทำให้บางคนพลอยเครียดพลอยแค้นพลอยเห็นด้วยโดยที่ยังไม่รู้เรื่องราว"ทั้งหมด"(ฟังความข้างเดียว)
ใครตัดสินใจอโหสิกรรมคู่กรรมได้แล้ว ก็ขออนุโมทนาสาธุ,
แล้วท่านทั้งหลายจะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
มันเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา จริงจริง.
#13
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 10:15 PM
#14
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 01:06 AM
ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นประพฤติตนอย่างไรระหว่างบวชครับ
ถ้าเขาทำตนดีระหว่างบวช ก็น่าจะให้การสนับสนุนนะครับ อนึ่งตอนบวชอยู่ก็คงไม่มีโอกาสกระทำเรื่องที่ไม่ดีแบบที่เคยทำตอนเป็นฆราวาส
เรื่องนี้ถ้าจริงตามที่เจ้าของกระทู้ว่า ก็สอนคนชาววัดได้พอสมนะครับ ว่า
เราทำดีหรือไม่ดี คนอื่นเขามองเราอยู่ และจะมีผลกระทบกับวัดเรา
#15
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 01:18 AM
....เทียบแล้ว หักลบแบบเล่นๆ ทำบุญ 2 อย่าง เท่ากับ 7 * 2 = 14 ...ทำบาป 1 ครั้ง เท่ากับ 14-7 เหลือ บุญ 7เอง หายไปครึ่งๆ เลยแหะ หุหุ (ขำๆ น่ะ ได้โปรดอย่าคิดมาก ตอนเรียน ได้คณิตศาสตร์ เกรด 2 เชียวนะ - -.)
#16
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 06:36 PM
ถ้าไม่เข้าถึงธรรมก็คงยังไม่ยุติ กรรมใหม่ในชาตืนี้ บางคนก็อาจได้รับผลปัจจุบันทันตาเห็นก็มี
2. พระแซ๊บ แซ๊บ ถ้าไปเจอเรื่องเด็ดๆ แบบที่ว่าเห็นเปรตหน้าเมรุ (ที่หลวงพ่อนำมาเล่าให้ฟัง)
ก็อาจจะกลับตัวกลัวใจได้ ทิ้งอดีตเข้าถึงธรรมได้ ขึ้นอยู่กับกรรมหนักแค่ไหน
3. คุณยายท่านบอกว่า ปลามาได้ งูก็มาได้ ก็ช่วยๆๆกันดูแลวัดของเราให้ดี
อะไรที่จะเป็นความเสียหายต่อหมู่คณะก็ลองกระซิบๆๆ ส่งสัญญาณให้รู้บ้างก็จะดีค่ะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
- สร้างวัดให้เป็นวัดที่ดี ดังความดีที่เราก็ได้เห็นประจักษ์ต่อสายตาแล้ว
- สร้างพระให้เป็นพระที่ดี เราก็เห็นถึงพระดีๆๆที่ท่านทำมามากมายแล้ว
- สร้างคนให้เป็นคนดีแก่สังคมปนะเทศชาติ ก็มีบุคคลกร คนดีที่เป็นที่ต้องการของสังคมมากมายดังที่เราก็ได้รู้ได้เห็นมาแล้วเช่นกัน
ฉนั้นการที่มีคนมาวัดบางคนจะเดินเกไปเกมา ไม่ใช้สิ่งที่เป็นมาตรฐานของคนที่เข้าวัดค่ะ
ขอให้เจริญในธรรม และปฏิบัตฺธรรมให้เข้าถึงองค์พระทุกท่านค่ะ สาธุ
#17
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 08:37 PM
#18
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 03:07 AM
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#19
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 10:30 AM
#20
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 07:42 PM
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป