ขอคำแนะนำครับ
#1
โพสต์เมื่อ 02 November 2010 - 04:02 PM
พอผมมารู้ความจริง เกี่ยวกับวัด ผมก็ทุ่มหมดใจ ทั้งกำลังทรัพย์ และ อนาคตในหน้าที่การงาน แล้วมาบวชที่วัด
จนครอบครัวที่บ้านก็งง ว่าผมทำไมบวชไม่ยอมสึกซะที ทั้งๆที่จบโครงการแล้ว เพราะที่บ้านเขากลัวว่าความรู้ที่ผมเรียนมาสูง และหน้าที่การงานที่กำลังดีๆอยู่
ผมกลับมาทิ้ง และไม่ยอมลาสิกขา มาทำงานต่อ ทั้งๆที่บริษัท ที่ดีมากที่ผมใฝ่ฝันอยากทำด้วยมานาน ได้เรียกตัวไปทำงานต่างประเทศ(บ.intel)
แต่ผมก็ไม่ยอมลา เพราะตอนนั้นผมอยากศึกษาวิชชาธรรมกายมากๆ เพราะนั่งสมาธิ แล้วได้ผลตรงไปตามหลวงพ่อฯสอนจริงๆ
ความจริงเรื่องการงาน ผมเคยทำได้ดีมากๆจนที่บริษัทก่อนมาบวช เขามอบตำแหน่งที่สูงพร้อมผลตอบแทนที่สูงแบบไม่คาดฝัน
จนผมได้เจอใครคนหนึ่งในบริษัท มาทำให้ผม ต้องทำงานแบบถูกกดดัน และผมต้องอดทนมาเกือบ2 ปี สุดท้ายผมเหมือนกับถูกให้
ออกจากงานโดยทางอ้อม และผมต้องยอมแพ้เพราะ โดนใส่ร้าย และจับผมย้ายไปทำงานในตำแหน่งที่แย่มาก พร้อมกับ ลดรายได้ที่ผมควรจะได้
ผมทำโครงการของบริษัทให้ได้กำไรมา 150 ล้าน กว่าบาท แต่ บ.อ้างว่าเศรษฐกิจตกต่ำ จึงงดให้ค่าคอมมิชชั่น จนผมต้องยอมลาออกจากงานเอง
แล้วจึงมาบวชที่วัด อยู่1 พรรษา ถึงแม้กฏระเบียบที่วัดจะมากเคร่งครัดขนาดไหน ผมก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งโดยเฉพาะเรื่อง ธรรมมวินัยของพระ
ผมก็รู้สึกเฉยๆ สบายๆเพราะผมเองก็เคยอยู่แบบทหาร และท่องปาฏิโมกข์ (วินัยสงฆ์)ได้แล้ว และเข้าใจในความหมายของวินัยพระในแต่ละข้ออย่างดีเยี่ยม
แต่สุดท้ายที่ผมต้องผ่ายแพ้ กับความไม่เข้าใจของผู้ที่ปกครองผมตอนผมเป็นพระ ที่ท่านพยายามกดดันให้ผมต้องออกจากการเป็นพระ
เพราะเรื่องเพียงแค่ ผมไปพบครอบครัวที่บ้าน เพื่อนำผลการปฏิบัติธรรมที่ดีมากๆ ไปนำนั่งสมาธิ และ นำธรรมมะไปให้แก่คนในครอบครัว บ่อยๆ ตามโอกาสเหมาะสมควรแล้ว
ผมจึงอยากขอคำแนะนำจากพี่ๆที่มีความรู้เรื่องธรรมมะครับว่า
1.ในครั้งที่ผมทำงานที่บริษัทเก่า ทำไมเวลาผมทำความดี ผมจึงถูกกลั่นแกล้งแบบหนักๆรุนแรงเสมอ?
2. ในเวลาที่ผมเป็นพระ ทำไมผมจึงถูกใส่ความ และถูกกลั่นแกล้ง ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เสมอๆ?
3.หลังจากที่ผมขัดแย้งกับผู้ปกครองตอนผมเป็นพระ ผมก็นั่งธรรมมะไม่ค่อยดี นานๆจะดีสักครั้ง แล้วผมจะมีโอกาสกลับมาเห็นองค์พระเหมือนเดิมอีกไหม?
4.ผู้ปกครองตอนผมเป็นพระ จะมีผลกรรมอย่างไร? ที่ท่านขัดขวางการไปให้ธรรมมะและนำนั่งสมาธิที่บ้านของผมกับคนในครอบครัว โดยที่ท่านเข้าใจว่า ผมยังพรรษาน้อยเกินไปที่จะมาทำหน้าที่ดังกล่าว?
5.มีcasestudyแบบไหนที่คล้ายผมบ้างครับ?
ผมรู้สึกกังวลในชีวิต ณ.ปัจจุบันมากครับ เพราะ ไม่อยากเข้ามาที่วัด เพราะเวลาเจอกับ ผู้ปกครอง ที่เคยกดดันผม จนทำให้ผมต้องลาสิกขา
ทำให้จิตใจของผมไม่ค่อยใส แม้ผมจะเข้าไป กราบขอขมากับท่านแล้วก็ตาม แต่ท่านก็มักจะเมินๆผม เวลาที่ผมเจอด้วยทุกครั้ง
ตอนนี้ครอบครัวของผมเหมือนหลุดออกจากวัดไปแล้ว แต่ก็มางานบุญใหญ่ๆทุกครั้ง แต่มักจะหลบๆไปนั่งที่ไกลๆ แล้วก็รีบกลับบ้าน
ทั้งๆที่อยากจะอยู่จนบูชาเจดีย์เหมือนทุกครั้ง
ขอบพระคุณทุกคำตอบล่วงหน้าด้วยครับ
#2
โพสต์เมื่อ 02 November 2010 - 07:54 PM
เนื่องจากไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด การคาดเดาอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง(เป็นการคาดเดาของดิฉัน) ในเบื้องต้นอยากให้ นรอ.usr37718 ลองศึกษาเรื่อง การอวดอุตริมนุสสธรรม เป็นข้อวัตรที่ค่อนข้างเคร่งครัดพอสมควร ถึงแม้จะเป็นความจริง(ไม่ได้อวดอ้าง แต่..จะแน่ใจได้อย่างไร?) เพราะฉะนั้นพระที่วัดส่วนใหญ่จะไม่บอกว่ากับฆารวาส ว่าผลการปฏิบัติธรรมของตนเป็นอย่างไร ก้าวหน้าถึงระดับไหน เพราะเรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บเป็นเรื่องที่รู้อยู่กับตัว จะเหมาะสมกว่าการนำไปพูด หรือบอกกล่าวผู้อื่น
เพราะว่าเรื่องบางเรื่อง การพูดออกไป อาจเป็นผลเสียมากกว่าน่ะค่ะ
ความรู้ ที่เป็นอจินไตย ที่สามารถรู้ได้จากการนั่งสมาธิ หากจะนำไปบอกกล่าว ก็ต้องดูสภาวะธรรมของผู้รับฟังด้วยน่ะค่ะ หากผู้ฟังไม่พร้อม การบอกเล่าความรู้เหล่านั้นก็กลับเป็นผลเสียมากว่าผลดีค่ะ
ผลเสียที่ว่านั้น มีตั้งแต่ ต่อตัวผู้ฟังเอง ผลต่อตัวผู้พูด ผลต่อครูบาอาจารย์ของผู้พูด ผลต่อหมู่คณะฯของผู้พูด
อุปามา เหมือนกับ เวลาพบเจอเด็กเกเร ผู้พบเห็นก็จะอยากรู้ไปจนถึงเทือกเถาเหล่ากอ ตั้งแต่ พ่อแม่ ปุ่ย่า ตายาย พี่น้องญาติมิตร จนกระทั่งตระกูลของเด็กเกเรผู้นั้น ฉันใดก็ฉันนั้นค่ะ
หรืออาจเกี่ยวข้องกับ สังฆาทิเสส ข้อ๑๒ ด้วยก็ได้ ในความเห็นส่วนตัว ดิฉันคิดว่ามีความสำคัญต่อการทำงานของหมู่คณะฯพอสมควรค่ะ ข้อนี้ต้องลองถาม พอจ.ใน DMC นี้ ว่าที่วัดให้ความสำคัญกับข้อปฏิบัติข้อนี้ มากน้อยแค่ไหน
และต้องขออนุโมทนาบุญกับความตั้งใจในการบวชด้วยค่ะ
หากผิดพลาดหรือไม่เหมาะสมอย่างไร ต้องขออภัยและผู้รู้โปรดแก้ไขให้ถูกต้องด้วยค่ะ
last edit 3/11/53 1.43
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#3
โพสต์เมื่อ 02 November 2010 - 08:59 PM
เพราะพระภิกษุที่พรรษาอ่อนนั้นยังอาจจะติดความเป็นฆารวาสอยู่
ถ้าต้องกลับไปที่ๆคุ้นเคย สภาพแวดล้อมเดิมๆ ท่านคงจะเกรงว่าจะเกิดอารมณ์อยากสึกซะก่อน
ลองอ่านประวัติหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่เราตอนท่านบวชใหม่ๆกับคุณยายอาจารย์ท่านดูครับ
นี่คงจะเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความบาดหมางกันเพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#4
โพสต์เมื่อ 02 November 2010 - 09:07 PM
3.วิบากกรรมอะไร พี่ชายของลูกถึงโดนผู้ร่วมงานและเจ้านายไม่เข้าใจ พี่ชายได้สร้างบารมีมาอย่างไรกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงรักในการทำหน้าที่ รักการพูดธรรมะมาก ออกรายการวิทยุชุมชนและจัดรายการทุกวัน
คำตอบ
เหตุที่ทำให้พี่ชายของลูกโดนผู้ร่วมงานและเจ้านายไม่เข้าใจ ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุในอดีตและเหตุในปัจจุบันมาผสมกัน
สำหรับเหตุในอดีตนั้น เป็นเพราะในพุทธันดรที่ผ่านมา เวลาที่เหล่าพลทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพี่ชายของลูก ไม่เข้าใจในคำสั่ง หรือเข้าใจคำสั่งแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง พี่ชายของลูกก็มักจะต่อว่า ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หรือในบางครั้งก็จะสั่งลงโทษลูกน้องโดยใช้อารมณ์และไม่ฟังเหตุผล จนทำให้ลูกน้องบางคนที่ไม่ได้ทำผิด ต้องโดนลงโทษแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่หลายครั้ง
ประกอบกับความที่ในภพชาติปัจจุบัน พี่ชายของลูกเป็นคนที่อารมณ์ร้อน จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับผู้คนรอบข้างอยู่บ่อยๆ และด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ภพชาติปัจจุบัน พี่ชายของลูกจึงโดนผู้ร่วมงานและเจ้านายไม่เข้าใจในหลายๆเรื่อง
* และเวลาจะได้งานทำกลับถูกปฏิเสธทุกครั้ง เพราะ ... เศษกรรมในอดีตที่มักจะชอบมีอคติสูง , ชอบกีดกันกลั่นแกล้งลูกน้องไม่ให้ประสบความสำเร็จ มาส่งผลจ่ะ!
* จะแก้ไข ก็ให้หมั่นมี “มุทิตาจิต” แสดงความยินดีกับทุกคนที่เขาประสบความสำเร็จ และหมั่นสั่งสมบุญทุกบุญให้ มาก ๆ แล้วอธิษฐานจิตให้พ้นวิบากกรมนี้จ่ะ!
* จะแก้ไขต้องแผ่เมตตาอย่าไปจองเวรเขา หนักจะเป็นเบา เบาก็จะหาย และถ้าผูกมิตรร่วมมือกันได้ก็จะดี
* จะแก้ไขได้ลูกต้องไม่ โกรธตอบ ให้ลูกแผ่เมตตาและให้อภัยกับทุกๆคนที่กลั่นแกล้งลูก และให้ระวังคำพูดที่จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ต้องใจเย็นๆเข้าไว้ อย่าใจร้อน
2. พ่อต้อง “ติดคุก” ด้วยการถูกใส่ร้าย 2 ครั้ง และถูก “ไฟไหม้” 2 ครั้ง เพราะ.....เกิดจากการที่เป็นนักเลงในชาตินั้น และได้ทำกรรมดังกล่าวเบื้องต้นจ่ะ ! มาส่งผล
- แต่ที่ไม่มีใครเสียชีวิตด้วยไฟไหม้ เพราะก็ไม่มีกรรมที่ทำร้ายใครถึงเสียชีวิตจ่ะ !
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#5
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 12:44 AM
ขอเล่าเสริมเพื่อความเข้าใจของพี่ ณ ๐๗๒ ที่พี่เน้นว่า"เนื่องจากไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด การคาดเดาอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง"
หลังจากจบโครงการบวชระยะสั้น ผมก็ถูกที่บ้าน ตามเข้าวัดมาชวนให้ลาสิกขา ตามสัญญาที่จะบวชแค่จบโครงการหลายครั้งจนผมแม้ผมอธิบายเหตุผลหลายอย่างไปแล้วท่านก็ไม่ฟังครั้งมาบ่อยๆเข้า ผมจึงแจ้งกับครอบครัวไปว่า หาก ครอบครัวมาวัดแล้วจะมาชวนพระสึก ผมจะย้ายไปอยู่วัดอื่นที่ ครอบครัวจะไม่เจอพระอีก
และหลังจากนั้น ไม่นาน ญาติได้มาหา และได้บอกแจ้งข่าว ว่า ม๊ากับป๋า เครียดมากจนป่วย ผมจึง ขออนุญาติ พ.อ.จ.ที่ท่านใจดีมากๆ พอท่านทราบ ท่านก็อนุญาติให้ผมไปเยี่ยม พร้อมท่านให้หาพระเพื่อนไปเป็นเพื่อนอีกรูป โดยท่านสอนวิธีไปที่บ้าน และให้รักษาชื่อเสียงพระลูกชายหลวงพ่อฯเป็นหลัก และสอนให้ผม ห่มจีวรแบบมังกร และห่ม บวบ แบบง่ายๆ ซึ่งผมก็ห่มได้อย่างง่ายๆเหมือนเคยห่มผ้าแบบนี้มาก่อนแบบอัศจรรย์
เมื่อผมไปเยี่ยม ม๊ากับป๋า ก็มีอาการดีขึ้น ท่านก็สดชื่นดีใจมาก แต่ผมก็สั่งห้ามพวกท่านว่าอย่ามาที่วัดด้วยเจตนาจะชวนพระสึก เพราะมันเป็นบาป
ท่านก็ยอม ผมจึงเสนอ มาเยี่ยมท่านบ่อยๆ เอง แล้วก็สั่งให้คนใช้ที่บ้าน เตรียมจัดห้องประชุมที่บ้าน เป็นห้องนั่งปฏิบัติธรรม คล้ายๆวัด...........
#6
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 12:51 AM
ป๋ากับม๊า ชอบที่จะให้ผมกับพระเพื่อนมาบ่อยๆ เพราะท่าน อยากดูแลด้วยการ จัดถวายภัตตาหารเช้า-เพล ถวายปานะ ซึ่งผมก็ไม่ได้
ติดในเรื่องรสอาหารใดๆ เพราะกินอาหารที่ดีๆมาจนเบื่อแล้ว ผมก็จะนำเรื่องราวของวัด เรื่องราวที่อัศจรรย์ของมหาปูชนียาจารย์โดยเฉพาะเรื่องของหลวงพ่อฯทั้งสอง และคุณยาย มาเล่าให้พวกเขาฟังแบบที่ได้รู้มา พร้อมเปิดสื่อต่างๆของวัด ให้ครอบครัวและพนักงานดู จนทุกคนเริ่มมีความเข้าใจ และสัญญากับผมตอนเป็นพระว่าทุกคน จะตั้งใจ ค่อยๆทำทาน หาโอกาสรักษาศีล และนั่งสมาธิ ทุกวัน
หลังจากนั้น ผู้ปกครองเกือบใหญ่ท่าน ได้เรียกผมไปสอบสวน ด้วยผู้ปกครองท่านนี้ ได้ยินเรื่องของผมมาผิดๆ ท่านจึงกังวลใจ
ผมก็เล่าให้ท่านฟังแบบที่เล่ามา ท่านก็รู้สึกกังวลใจมากๆ โดยสั่งห้ามผม ออกไปจากวัดโดยไม่ได้รับอนุญาติจากท่านโดยตรงเด็ดขาด แม้จะได้รับอนุญาติจากท่านอื่นก็ตาม หากไม่ปฏิบัติตาม ต้องให้ผมลาสิกขา หรือให้ผมหาวัดอื่นอยู่เอง...........
#7
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 01:00 AM
ด้วยความที่ป๋ากับม๊า รับทราบแล้วจึงกังวลอย่างมาก ว่าจะไม่ได้เจอผมอีกเกือบ 3-5ปี จึงกลับมาเครียด ป๋าความดันขึ้น และป่วยหนัก คนในครอบครัว และพนักงานก็เลิกปฏิบัติธรรม แล้วญาติก็มาชวนผมสึกแทน พร้อมทั้งเพิ่มความเกลียดวัดถึงขนาด ขู่จะตัดญาติขาดมิตรหากไม่เชื่อฟังกัน ผมจึงไปขออนุญาติ ผู้ปกครองเกือบใหญ่ เพื่อไปเยี่ยมป๋ากับม๊า แบบเดิม กลับถูกผู้ปกครอง...(เพราะท่านไม่ยอมที่จะเข้าใจ ผมก็เลยไม่ยอมที่จะเข้าใจท่านบ้าง พอจะเดาๆออกกันนะครับ)........
#8
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 01:07 AM
บวชครั้งที่ผ่านมาคงเหมือนกับต้องแลกความเป็นพระกับครอบครัวเข้าใจวัด และมาบวชที่วัดใหญ่และในสาขาอีกไม่ได้ เพราะใครบางคน ที่คอยจองกรรมกับผมเพียงแค่1พรรษา ผมและพระเพื่อน5รูปที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ถูกกระตุกสังฆาฏิออก แบบใจหายมาก ใจตกวูป น้ำตาของผมไหลออกมาเอง โดยไม่รู้ตัว
ก็ได้แต่หวังว่าตัวเองคงจะมีสักวันที่ผมจะลืมใครบางคนนั้นได้ แบบเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม้จะต้องเจอกันอีกก็ตาม
เรื่องทั้งหมด มีพี่ที่วัดคนหนึ่งทราบเรื่อง ท่านกล่าวว่า ต้นเหตุ เป็นเพราะผม ไม่ชวน ผู้ปกครองเกือบใหญ่ ไปนำนั่งสมาธิที่บ้านของผม แต่ผมกลับทำเอง ทำข้ามหน้าข้ามตาเขา พอผมกล่าวถึงชื่อ ผู้ปกครองเกือบใหญ่ ที่พี่คนนั้นอยากรู้ พอพี่คนนั้นรู้ ก็บอก... สาธุ ผมตัดสินใจถูกแล้ว ที่ไปเองกับพระเพื่อน
ขอระบายความอึดอัดด้วยนะครับ แต่ยังไงก็ยังเคารพรักบูชา หลวงพ่อธัมมะ,หลวงพ่อทัตตะ และพอจ.ที่เป็นใหญ่ด้วยบุญ เสมอครับ
#9
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 02:01 AM
มีคำพูดคำนึง ที่อยากจะให้จำให้ขึ้นใจ และปฏิบัติ หากคิดสร้างบารมีเป็นหมู่คณะฯ "ให้มองเป้าหมายเป็นหลัก"
ถ้าไม่ใช่เป้าหมายแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็เป็นรองหมดเลย
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#10
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 06:54 AM
แต่ก็คงจะพยายามบอกตัวเองว่า "ให้มองเป้าหมายเป็นหลัก" อย่างที่คุณ ณ 0๗๒ แนะนำนะคะ...
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้กับ จขกท ด้วยนะคะ ถ้าเราคิดดี ทำดี เดี๋ยวอะไร ๆ ก็ดีเองแหละคะ เรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจมากหรอก
นึกถึงแต่หลวงพ่อ ทั้งสอง และคุณยาย และที่สำคัญหลวงปู่ ด้วยนะคะ ใจจะได้ใส ๆ คะ...
#11
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 07:12 AM
#12
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 10:48 AM
เกรงว่าคนใหม่บางคนจะไม่เข้าใจว่าทำใมอดีตผู้ปกครองฯจึงเป็นเช่นนั้นหนะครับ
ผมไม่ค่อยรู้ธรรมมะแต่อยากขอเอี่ยวด้วยหนะครับ ขอสนับสนุนว่าน่าจะหาโอกาศบวชอีกแล้วก็สวดปาฏิโมกข์สักครั้ง ส่วนข้อ๔ ข้างต้นผมว่าอย่าไปสนใจเลยครับ ทางใครทางมันดีกว่า ถ้าต้องการก็อฐิธานให้เจอแต่ผู้ปกครองดีๆอะครับ
#13
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 12:09 PM
ที่มาจากการบวชพระ ประพฤติธรรม ปฏิบัติคันถธุระและการเจริญภาวนา สัมมาสมาธิ
และทำหน้าที่กัลยาณมิตร ให้แก่บุพการีและหมู่ญาติมิตร ด้วยครับ
Sadhu.gif 22.04K 22 ดาวน์โหลด
เท่าที่ทราบข้อมูลที่เจ้าของกระทู้บอกไว้
ได้ข้อคิดหลายอย่างนะครับ เช่น
เย ธัมมา ฯ ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุฯ
คือ ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ทั้งดีและร้าย ล้วนย่อมมีเหตุ ทั้งนั้น
ไม่เพราะวิบากกรรมเก่าของเรา ก็กรรมใหม่ของเค้า
หรือก็เพราะวิบากมาร
กัมมุนา วัตตตี โลโก , สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดังนั้นจึงควรเข้าใจโลกธรรม ๘ และโทษ ภัยในการเวียนว่ายตายเกิดโดยเฉพาะในกามภพ
และไม่ควร ก่อคดีกุศลกรรมบทใหม่ ๆ
คือ ต้องสอนตัวเอง ไม่ให้คิด พูด กระทำไม่ดีกับเพื่อนนักสร้างบารมีและเพื่อนร่วมสังสารวัฎ แบบท่ี่เราโดนใครทำมา
และการระบายอะไรๆในที่สาธารณะ ก็สมควรระมัดระวัง ไม่พูดในเชิงตำหนิติเตียนใคร
หรือให้คนรับข้อมูลเกิดอกุศลจิต ร่วมตำหนิติเตียน มโนกรรมวจีกรรมในทางอกุศล
ซึ่งในการแสดงความคิดเห็นที่ผ่านมา
คุณก็ทำได้ดีครับ สาธุ
และสมควรเจริญกรุณาและอุเบกขา ต่อใครที่เบียนเบียนเรา ด้วยใจใสๆ
สมควรกรุณา เพราะ ใครก็ตามที่เบียนเบียนคนอื่น สัตว์อื่น โดยเฉพาะผู้มีศีล มีธรรม(วาระที่คุณบวชพระและทำดี)
วิบากบาปยิ่งทวีคูณ น่าสงสารใครที่ทำกรรม ที่เกิดจากอกุศลจิตหรืออกุศลธรรมบังคับ นะครับ
สมควรอุเบกขา เพราะ ปัญหาหลายๆเรื่องที่เกิดจากคนอื่น แต่เราแก้ไขที่คนอื่นไม่ได้
เพราะเขาไม่ยอมหรือเราขาดศิลปะที่พอดีกับเขา
ก็ต้องแก้ไขหรือปรับใจและวิถีตัวเราเอง
อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบด้วยว่า แนวทางแก้ไขที่เราใช้อยู่
อกุศลธรรม อกุศลกรรม ของเราและคนที่เกี่ยวข้อง เจริญหรือเสื่อม
กุศลธรรม กุศลกรรม ของเราและคนที่เกี่ยวข้อง เจริญหรือเสื่อม
ลองพิจารณาดูนะครับ
ถ้ามีอะไรต้องปรับ เพื่อความเสื่อมของอกุศลและเพื่อความเจริญของกุศล ของเราและคนที่เกี่ยวข้อง
ก็น่าจะทำ นะครับ
ด้วยความปรารถนาดี
#14
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 01:28 PM
เพราะมีบางท่านสติปัญญาอาจจะไม่พอก็น้อยใจท้อแท้หายไปจากหมู่คณะเพียงเพราะแค่เรื่องราวไม่กี่เรื่องราว บางคนเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่วัด พอพบเจอปัญญาหาก็ท้อแท้น้อยใจออกจากหมู่คณะไป ทั้งๆที่แรกๆไฟแรงมากทีเดียว
สุดท้ายสร้างบารมีไว้ นั่งสมาธิบ่อยๆให้ใจสงบสว่าง แล้วบอกกับตนเองเกี่ยวกับปัญหาทั้งปวงว่า "ช่างมันเถิดๆ" มันเป็นเช่นนั้นเอง อดีตให้เรียนรู้ตามความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบันคือเป้าหมายในชีวิตวิถีแห่งธรรม
ผมเองก็ผ่านเรื่องราวมามากทั้งกับหมู่คณะและชีวิตส่วนตัว แต่ตอนนี้ลืมๆมันไปหมดแล้ว แต่ก็ได้ประสบการณ์มาพัฒนากาย วาจา ใจ ตนเองให้สูงขึ้น มั่นคงและเข็มแข็งขึ้น และยังสร้างบารมีอยู่อย่างชุ่มชื่นหัวใจ ชีวิตสดใส เป็นกำลังใจให้นะครับ อย่าไปใจหมองกับอดีตมากนักเลยครับ
การแคร์โลกนี้บ้างก็ดีในบางครั้ง แต่หลักๆเราต้องสร้างบารมีทำเพื่อตัวเองให้ดีๆ โดยไม่ต้องไปแคร์ใคร
หวังว่าท่านได้ระบาย ได้ปรึกษาหารือแล้วคงจะสบายใจ ได้เรียนรู้กับอดีต แล้วก็ปล่อยมันไปนะครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#15
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 01:48 PM
#16
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 05:17 PM
แล้วก็เวลามาวัดก็อยู่ร่วมพิธีตามที่ใจปรารถนาเถอะครับ เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องรู้สึกว่าต้องหลบหน้าหรืออะไร ลูกๆหลวงพ่อไม่ว่าจะสร้างบารมีในสถานะไหน ก็เป็นนักสร้างบารมีลูกหลวงพ่อ หลานคุณยายอยู่ดี ให้มีความอาจหาญในการทำความดีครับ แล้วที่เรายังเจออุปสรรคต่างๆนานา เพราะเรายังมีความกังวลในเรื่องต่างๆอยู่มาก ทำให้เวลาเราทำบุญ นั่งธรรมะ ใจเราก็ไม่ใสไม่สว่างเต็มที่ องค์พระที่เคยเห็น ก็เลยเลือนๆ เหมือนเราจุดเทียนที่ไส้เทียนเปรอะเปื้อน แสงสว่างที่เกิดขึ้นก็สว่างไม่เต็มที่ ถ้าเราค่อยๆปล่อยความกังวลเรื่องราวในอดีต และเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คุณเจ้าของกระทู้จะกลับมานั่งธรรมะได้ดีเห็นพระท่านได้เหมือนเดิม แล้วบุญที่เราทำก็จะมีช่องส่งผลได้มากขึ้น ชีวิตของเราก็จะค่อยๆดีขึ้นแน่นอนครับ
ส่วนคำถามข้ออื่นๆถ้าคิดถึงแล้วฟุ้งซ่าน ให้เจ้าของกระทู้นึกถึงบทสวดมนต์ทำวัตรเย็น ที่บอกว่า "เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น" แล้วท่องพุทธภาษิตนี้ทุกวันๆ "กมฺมุนา วตฺตตี โลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" พุทธภาษิตบทนี้จะเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้ได้แน่ๆครับ...
#17
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 05:36 PM
ทุกคนต่างมีปัญหาเฉพาะตนกันทั้งนั้น..
อยู่ที่ว่าเราจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร
หากเกิดปัญหามีวิธีปฏิบัติอยู่ ๓ วิธีครับ..
๑. แก้
๒. หนี
๓. ทำเฉยๆ
แต่ความยากก็คือ เราควรจะใช้วิธีไหนในการแก้ปัญหานั้น มันถึงจะเหมาะสมที่สุด
บางปัญหา แก้ แล้วดี
บางปัญหา ยิ่งแก้ ยิ่งยุ่ง
บางปัญหา หนี ไปซะก็จบ
บางปัญหา หนี กลับกลายเป็นเหมือนคนพ่ายแพ้
บางปัญหา เฉยๆ ไว้ เดี่๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง
บางปัญหา เฉยๆ ยิ่งเก็บกดยิ่งไม่เข้าใจ
แต่บางปัญหา ก็ต้องใช้ทั้ง ๓ วิธีนี้ พร้อมๆกัน
อยู่ที่วิจารณญาณ ความคิด สติปัญญา การตรึกตรอง ของตัวเราเอง ว่าควรจะใช้อะไร ตรงไหน อย่างไร
ตามทฤษฎี เราทำมาอย่างไรก็จะได้รับอย่างนั้น
แต่ในความเป็นจริง เราได้รับผลจากสิ่งที่เราทำนั้น ซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก
ทำผิดพลาดครั้งเดียว ตามส่งผลจนภพชาติสุดท้ายเลยก็มี
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เราก็รู้กันอยู่แก่ใจ ว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลัง
เราจะมองแค่ตรงนี้ หรือเราจะมองไปสู่จุดหมายปลายทาง
ข้างหน้านั้น มันยังมีปัญหาและอุปสรรครอเราอยู่อีกมากมาย
ื
หากว่าเราจะไปปราบเขา เขาคงไม่ให้เราไปปราบอย่างง่ายดายหรอกกระมังครับ
แล้วเครื่องมือของเขา ที่เอาไว้ใช้หยุดยั้งให้เราคิดท้อใจ่
ก็คือ พวกเดียวกันเองนี่่แหละครับ
มาร..ตัวที่กระจอกที่สุด มีฤทธิ์ดลใจ หากมันไปดลคนที่มีอำนาจตัดสินใจที่เหนือกว่าเรา(และยังไม่มีความสามารถต่อต้านมันได้)
คนคนนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ในฐานะอะไร แม้จะอยู่ในผ้าเหลืองก็ตาม ก็จะยังความลำบากให้แก่เราได้
แม้แต่ตัวของเราเอง ก็ยังโดนมันใช้เป็นเครื่องมืออยู่บ่อยๆ เท่าทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ผิดบ้าง พลาดบ้าง อะไรบ้าง ก็เป็นธรรมดา
จะทนลำบากไป จนกว่าจะถึงทีุ่สุดแห่งธรรม
หรือถ้าไม่อยากทนแล้ว อยากจะเข้านิพพานไปก่อน
ก็แล้วแต่ตัวเราจะตัดสินใจ
แต่ถ้าหากอยากจะไปด้วยกัน ล้มบ้าง ท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง ล้าบ้าง ก็ให้กำลังใจกันไป
หากไม่มีใครให้กำลังใจ เราก็ให้กำลังใจตัวเราเองได้ โดยการมองเป้าหมายของเราเป็นหลัก
คนที่มีความคิด ความเข้าใจ ความตั้งใจและปฎิบัติธรรมได้ถึงขนาดนี้ มันน่าเสียดายนะครับหากต้องสูญเสียไป
พยายามสู้กับฉากหลังของตัวเองให้ได้นะครับ..ขอเอาใจช่วย
ไฟล์แนบ
#18
โพสต์เมื่อ 03 November 2010 - 11:03 PM
เมื่อกลางวันผมนั่งสมาธิ เผลอหลับไป ฝันเห็น หลวงพ่อฯ คงเพราะคิดถึงท่านครับ เคารพรักท่านมาก ใฝ่ฝันเสมอว่าอยากบูชาธรรมท่านด้วย องค์พระใสๆ
ทุกคำแนะนำจากพี่ๆผมตั้งใจอ่านหลายรอบ และผมจะพรินท์เก็บไว้เตือนใจครับ ผมจะตั้งใจ "มองเป้าหมายหลัก" แบบที่พี่ๆแนะนำให้ได้ครับ แม้ทุกวันนี้ ก็เพียรมองเป้าหมายหลักทุกวัน วันละหลายๆครั้ง หลายๆรอบ ทุกอริยบท แม้จะยังมืดมน เพราะเรื่องถูกบังคับให้เปลี่ยนชุดนี้ มากวนใจเสมอ
แต่ผมก็ยังคงมีความหวังต่อไปครับว่าสักวันหนึ่งคงจะกลับมาเห็นเป้าหมายหลักแบบที่เคยเห็นครับ
ขอบพระคุณพี่ๆทุกๆท่าน เป็นอย่างสูงด้วยครับ
#19
โพสต์เมื่อ 04 November 2010 - 01:38 AM
innerpeace ขอเป็นกำลังใจให้กับนักรบแห่งกองทัพธรรมทุก ๆคน ทุก ๆ ท่านค่ะ
อันดับแรกรบกับกิเลสมารในตัวเองค่ะ อา...ยากสุด ๆ รบแพ้บ้างชนะบ้างช่างมันแต่ก็ต้องรบ..ลบกันล้างกันจนกว่าจะเกลี้ยงเกลา
ตายกันไปข้างหนึ่งละ!
ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ เพราะคุณมีเพื่อนร่วมเดินทางมากมาย เชื่อเถอะค่ะ ที่เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกไม่ได้
เราแก้เขาไม่ได้ แต่เราปรับแก้ตัวเองได้ ปรับตัวเองเข้าหาหลักธรรม แต่จะไม่นำหลักธรรมปรับเข้าหาตัวเด็ดขาด !
และขอขอบคุณทุก ๆ คำตอบทุก ๆความคิดเห็น ล้วนมีประโยชน์ innerpeace ไม่อ่านผ่านค่ะแต่คิดด้วย เราเอาหมู่คณะ
แน่นอน เรารักองค์กรแม้จะนอนอยู่นอกวัด เราเคารพ รักครูของเรา จับหลักนี้ไว้ให้มั่นคง หากจะหลงให้คิดตรงไปที่ท่าน
คนทั้งหมดจะอยู่ในเพศใด ๆ ก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตามล้วนกำลังฝึกตัว(ฝึกก็ต้องมีผิดบ้างถูกบ้าง) ฉะนั้นคนที่สมบูรณ์ทำตัว
ไม่ผิดเลยไม่มี เพราะถ้ามีก็ไม่มาเกิดแล้ว นี่คือความจริง! ....จำมาจากครูจ้า
เพราะฉะนั้นคงต้องท่องบทต่อไป "สักแต่ว่า....." และอย่าให้ใจของเราหลุดไปจากเส้นทางการสร้างบารมีเพราะถูกกระทบ
*รักษาใจของเราไว้เป็นหมายเลข๑ Top priority* บอกตัวเองทุกวันว่า
"ใจฉันต้องบริสุทธิ์ และกาย วาจา ด้วย เมื่อเหตุดี ผลต้องดี " แต่จะปรากฏเมื่อใด ? Who knows ? ช้าเร็วก็ขึ้นอยู่กับ
อดีต และปัจจุบัน อดีตตอนนี้ยังไม่รู้ว่าทำอะไรไว้บ้างและก็หมดสิทธิ์แก้ไขแล้วตั้งไม่รู้กี่ภพกี่ชาติที่ผ่านมาแล้ว อา.....
แต่ปัจจุบันฉันทำได้รู้แล้วว่าทำอย่างไร เหลือแต่ว่าเอาจริงแค่ไหน ถามตัวเอง ตัวใครตัวมันเพราะหายใจแทนกันไม่ได้
พอคิดได้อย่างนี้ก็มีเสรีขึ้นมากมาย เบาตัวเบากาย สบายธรรม ลั้น ๆ ล่า ลัน ๆ ลา มีชีวาที่เบิกบานสู้ต่อไป
สู้กับกิเลสตัวเองต้องสู้คนเดียวก่อน ต่อจากนั้นสู้เป็นทีม แต่ทีมต้องมีทีมประคับประคองกันไว้ไม่มีศิลปินเดี่ยวต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย
กองทัพต้องมีแม่ทัพ เราอยู่ในฐานะใดก็ต้องทำให้ดีจะเป็นผู้นำหรือผู้ตามต้องตีบทบาทให้แตก อย่าให้เกลือเป็นหนอนเพราะในกอง
ทัพบางทีก็มีใส้ศึกหรือ spy พึงระวังด้วย มาเนียน ๆ ภาษาสมัยนี้เขาว่ากันอย่างนี้ แต่ยายเรียกคนพวกนี้ว่า"คนพาล" ยายไม่เอาเพราะ
มันทำลายหมู่คณะ (ทำให้เข้าใจกันผิด ๆและทำงานลำเอียงด้วยประการต่าง ๆ เช่นคนไม่เป็นงานขึ้นมาเป็นผู้นำแต่ทำงานไม่เป็น ไม่ถูกต้อง..ผู้เขียนว่าเองค่ะ)
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นท่องคาถา ขันติ ๆ ๆ ไว้ก่อนเป็นปลอดภัยค่ะ
เพราะถ้าเราอดทนไม่ได้เราไปนิพพานไม่ได้ผู้รู้กล่าวไว้ดั่งนี้แล เมื่อขันติได้ไม่ขันแตกต้องฝึกควบคู่ไปกับพรหมวิหารสี่คือให้มีเมตตา
กรุณา มุธิตา และอุเบกขา ถือหลักมรรคแปดเป็นทางเดินของชีวิตและทำมัชฌิมาปฏิปทา การเดินสายกลางให้เกิดขึ้นด้วยการทำ
ภาวนาให้เกิดปัญญาที่แท้จริงไปสู่ที่สุดแห่งธรรม....ด้วยสัมมาอาระหัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
#20
โพสต์เมื่อ 04 November 2010 - 04:52 PM
- มีโอกาสแน่นอน...ถ้าท่านขจัดความรู้สึกที่ว่า...ผมรู้สึกกังวลในชีวิต ณ.ปัจจุบันมากครับ เพราะ ไม่อยากเข้ามาที่วัด เพราะเวลาเจอกับ ผู้ปกครอง ที่เคยกดดันผม จนทำให้ผมต้องลาสิกขา ทำให้จิตใจของผมไม่ค่อยใส แม้ผมจะเข้าไป กราบขอขมากับท่านแล้วก็ตาม แต่ท่านก็มักจะเมินๆผม เวลาที่ผมเจอด้วยทุกครั้ง
- ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว...เพราะองค์พระไม่ได้ไปไหน ยังคงอยู่ ณ ๐๗๒ รอใจที่ปลอดจากเครื่องกังวลเท่านั้น
มหาปูชนียาจารย์เคยกล่าวไว้ถึงการทำงานร่วมกันในหมู่คณะว่า...พึงระวัง...
๑. อย่าหลงตัว
๒. อย่าน้อยใจ
๓. อย่าโกงบุญ
#21
โพสต์เมื่อ 04 November 2010 - 05:24 PM
คือ...???? เมตตาขยายความด้วยนะคะ
#22
โพสต์เมื่อ 05 November 2010 - 08:58 AM
1. ไม่ดูแลพระในบ้านให้ดี พ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญของลูกหลาน เมื่อไม่สร้างบุญ คือไม่สร้างเหตุแห่งความดีในขั้นพื้นฐานก่อนแล้ว เพราะพ่อแม่ทุ่มเทชีวิตเลี้ยงดูมา ให้มีความรู้ความสามารถในการบริหารธุรกิจ แต่ถึงเวลาต้องตอบแทนพระคุณท่าน คนกลุ่มนี้กลับทอดทิ้งพ่อแม่
2. ผิดคำพูดที่สัญญาไว้กับผู้มีศีล นอกจากไม่ดูแลพระในบ้านแล้ว มักผิดคำพูดกับพระนอกบ้าน คือพระภิกษุสงฆ์ หรือนักบวช ผู้มีศีลมีธรรมต่างๆ เมื่อไปรับปากกับท่านไว้แล้วว่า จะทำบุญอย่างนั้นอย่างนี้ จะช่วยเหลือกิจการของสาธารณกุศลอย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงเวลาแล้ว กลับไม่ทำตามที่รับปากเอาไว้
ดังนั้น พ่อแม่มีพระคุณล้นฟ้าก็ไม่ทำหน้าที่เลี้ยงดูและสัญญากับองค์กรการศาสนาไว้ หรือองค์กรการกุศลทางโลกเอาไว้ ถึงเวลาก็ไม่ทำตามคำพูด พฤติกรรมดังกล่าวของคนกลุ่มนี้ ศัพท์ทางศาสนา ท่านใช้คำว่า "โกงบุญตัวเอง" หรือถ้าพูดเป็นภาษาธุรกิจก็ว่า "โกงหลักประกันทางการค้าของตัวเอง" เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเวลาที่คนกลุ่มนี้ไปประกอบกิจการงานใด แม้วางแผนอย่างดี คิดรอบคอบแล้ว ก็มักประสบความขาดทุนร่ำไป นี่คือคำตอบที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิบายภูมิหลังของพ่อค้าวาณิชในวาณิชธรรมไว้ว่าเป็นพวกโกงบุญ
#23
โพสต์เมื่อ 05 November 2010 - 10:39 AM
ก่อนอื่นก็ต้องขออนุโมทนาบุญกับความตั้งใจเป็นพระแท้ และกัลยาณมิตรตลอดมา ซึ่งคุณเป็น หนึ่ง ในล้าน หรือ หลายๆล้าน เท่านั้น ที่มีความคิดที่ประเสริฐแบบนี้ ตรงตามวัตถุประสงค์ของหลวงพ่อธัมมชโย ที่ให้คนมาบวชมาโดยมีความตั้งใจที่จะเป็นพระแท้และการกระทำแบบจขกท.เท่านั้น ซึ่งผมอยากรู้จัก จขกท.เป็นการส่วนตัวมาก
ถ้าคุณได้รู้จักกับผมตอนคุณบวชเป็นพระ ผมจะสนับสนุนทุกวิถีทางที่ให้คุณได้เป็นพระแท้ไปตลอด ตามความปราถณา โดยที่ไม่มีเรื่องร้ายแรงทั้งฝ่ายใดเกิดขึ้น
และพี่ๆหลายๆท่านใน กท. ได้แนะนำต่างๆนั้นเป็นที่ถูกต้องอย่างมาก จขกท.ได้โปรดทำความเข้าใจและใช้ปัญญาบารมีอย่างมากๆ
พิจารณาให้ดีด้วยครับ นั่งสมาธิก่อนอ่านน่าจะดีมาก
อยากให้คุณตามอ่านความคิดเห็นของผมที่ผ่านมาคุณจะเห็น จะเข้าใจ อะไรบางอย่าง และจะเห็นความจริงที่เกิดขึ้น กับโลก ประเทศชาติ และสังคมทุกสังคม รวมถึงองค์กรพระพุทธศาสนาในปัจจุบันด้วย ขอเปิดเผยในที่นี้เลยว่า ผมมีงานอดิเรกคือ มีทีมงานตามจับพระเทียม ซึ่งผมและลูกน้อง 10 กว่าคน ตั้งทีมงานขึ้นมาเอง
ตามจับคนร้ายที่เอาชุดพระมาห่อๆไม่ได้ห่ม ปลอมใบสุทธิสงฆ์ ศึกษาธรรมมะเพื่อมาเที่ยวเร่ลวงเงินชาวบ้าน โดยมีขั้นตอนวิธีการของผม โดยใช้ ธรรมวินัยเป็นเครื่องสแกนตรวจจับ(มันทำให้ผมได้ศึกษาธรรมวินัย ไปในตัวด้วย เพราะ พระปฏิโมกข์นั้นง่ายและน้อยกว่า นิติบัญญัติเสียอีก)
และเมื่อเร็วๆนี้ก็ จับได้ อีกสองตัว ให้เทศกิจ จับส่งโรงพัก จับศึกษาตารางเรียนในคุกไปเรียบร้อยแล้ว รวมจำนวนที่คอยจับโจรพระเทียม มาเกือบ 30 ตัวแล้ว เคยติดต่อ ให้พวกเพื่อนที่เป็นนักข่าว ให้ช่วยทำข่าวให้ด้วย พวกมันบอก บก.ไม่อนุมัติ เพราะ บก.เป็นเพื่อนรักกับ สา...ธุ....คุณ.... อยู่
จึงขอสรุปว่า ให้มองเป้าหมาย อย่างที่พี่ๆที่น่ารักทั้งหลาย แนะนำ ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ คุณได้ช่วยครอบครัวเข้าวัดได้แล้ว เป็นบุญใหญ่มหาศาล เป็นลูกแก้วของครอบครัว เหลือแค่เป็นลูกแก้วของหลวงพ่อฯและของโลกโดยการเข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ แล้วมาทำงานที่แท้จริง ช่วยหลวงพ่อฯ ให้ได้ครับ
ขอยืนยันว่า กองเสบียงเข้าถึงวิชชาธรรมกาย กันเยอะแยะ ไม่ใช่แค่เข้าถึงพระธรรมกายนะ หาฟังจาก หลวงพ่อนำนั่ง เองนะ
ฟังเรื่องราวที่ จขกท.เล่ามา มันปลื้มไม่จบ ขออนุโมทนาบุญอย่างมากด้วยนะ
#24
โพสต์เมื่อ 05 November 2010 - 11:18 PM
......ผมพอที่จะเข้าใจได้ครับ...กับเรื่องแบบนี้.....
......ภาษาคนมีความรู้...เขาเรียกว่า...ต่างคนต่างมีจุดยืน..ครับ
......จขกท..ก็มีจุดยืน...ผู้ปกครองก็มีจุดยืน...คุณพ่อคุณแม่ก็มีจุดยืน
......ต่างคนต่างมีความเชื่อมั่น...ต่างคนต่างให้ความสำคัญกับตัวเองและหน้าที่สูง
......แล้วมันจะลงเอยกันยังไงดีนี่...มันก็เลยลงเอยแบบที่เห็น..ครับ
......2 ปีแรกต้องอดทนอย่างเดียวครับ...นั่งสมาธิอย่างเดียว...ตัดทางโลกให้ได้
......กฎระเบียบเยอะแยะ...มือถือก็ไม่ให้ใช้...ความสะดวกก็ไม่มี...ส้วมนั่งยองก็ใช้ลำบาก
......ความสบายก็ไม่ต้องพูดถึง...หมอนยังไม่มีใช้เลย..ถ้าทางบ้านรู้คงไม่ให้บวชต่อแน่
......ผ่านไปแล้วก็แล้วไปครับ...บวชใหม่ได้เสมอไม่มีข้อห้ามจริงๆ..หรอกครับ
......ว่าแต่ 2 ปีแรกต้องสอบผ่านใหม่นะ...รอให้เปลี่ยนพระผู้ปกครองคนใหม่ก่อน
......ไม่มีพระผู้ปกครองจดจำเรื่องเหล่านี้..จริงๆจังหรอกครับ..
......รอ..จขกท..มาเป็นพระผู้ปกครองเองเมื่อไร..แล้วจะเข้าใจดีครับ...
......พระนวกะบางรุ่นก็มีข้อยกเว้น..สำหรับพระบางรูป..ให้กลับไปโปรดโยมที่บ้าน
......ได้บ่อยๆ...เพราะเป็นผู้มีพระคุณกับทางวัดมาก..และบวชระยะสั้นมาหลายครั้งแล้ว
......และทางพระผู้ปกครองรู้ว่าตั้งใจบวชจริงๆ...ทางครอบครัวพระก็สนันสนุนเต็มที่
......กรณีนี้...พระผู้ปกครองได้แต่มองตาปริบๆๆ...
......สำหรับ..จขกท..ทางพระผู้ปกครองคงมองเหมือนพระรูปอื่นๆ..(เลยไม่เกรงใจ)
......เรื่องอาชีพการงานเดิม..ถือว่าใช้กรรมเก่าไปได้มากแล้วครับ..แต่จะหมดหรือยังเอย..
#25
โพสต์เมื่อ 06 November 2010 - 03:21 PM
สรุปว่ามันเป็นเรื่องของงานภาพศิลปะที่ขาดอุปกรณ์ในการวาด เพราะเรื่องนี้ มันคล้ายกับว่า จขกท.กำลังจะวาดภาพ ศิลปะ แต่โดนริปสีและอุปกรณ์ ในการวาดทั้งหมด(เพราะเขากลัวกังวลว่าจะวาดเละไม่สวยฯลฯเสียภาพและสีไปฟรีๆ )จขกท.เลยต้องใช้น้ำตากับนิ้วมือเปล่าวาดแทน พอน้ำตาที่วาดแทนสีกับมือเปล่าแทนภู่กันได้วาดลงไปบนภาพ พอมันแห้งมันก็เลยดูไม่เห็นงานศิลปะอะไร ทั้งที่จขกท.วาดได้สวยงามจนเป็นงานระดับโลกเลยทีเดียว.. แต่ก็คงมีแต่หลวงพ่อฯเท่านั้น ที่สามารถใช้คุณวิเศษส่องดูความละเอียดเห็นความตั้งใจในงานศิลปะของจขกท.ที่วาดออกมา นั้นได้
........... จขกท.ถึงได้ฝันเห็นท่านไงละ.............
อ่านๆแล้วมันค่อนข้างตึงๆไปนิดๆ ผมจะขอเล่าเรื่องของการอบรม ธทย.รุ่นหนึ่งให้ฟังโดยมีพระอาจารย์ ท่านหนึ่ง เป็นพอจ.หัวหน้าโครงการ
ถ้ามีใครได้อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วยคงจะร้อง อ้ออออ..... ออกมากันเลยทีเดียว
ในช่วงที่ พอจ. กำลังนำนั่งสมาธิ ที่เชียงใหม่ อากาศ ก็หนาว สบายๆ เหมาะสมที่จะ ปฏิบัติธรรมกันอย่างยิ่ง
พอจ.ได้นำนั่งฯแบบเงียบๆ ไปซักพัก ด้วยอากาศที่หนาวๆ หลายๆท่านก็ง่วง เคลิม ฟุ้ง ตึง เบื่อ หลับฯลฯ แต่มีธทย.อยู่1 ท่าน
ลุกขึ้น อย่างช้าๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง ปฏิบัติธรรม(คิดว่าน่าจะไปเข้าห้องน้ำ) หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียง......
ปั้ง!!!!!!! ดังมากๆที่ประตูกระจก ทุกคนก็ลืมตาขึ้นมาหมด หันมาดูที่ประตูกระจก พร้อมทั้งมีเสียงบ่นรำพึง ต่างๆ และก็มีเสียงรำพึงข้างๆต่างๆว่า
"งานนี้ท่านนี้ โดน!!!!แน่ๆ.โดน.กุศลวิวัติ.แน่ๆฯลฯ"
แล้วพอจ.ท่านก็เปิดไมล์ กล่าวบอกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มๆว่า "ท่านที่อยู่ ที่หน้าประตูโปรดออกจากกายมนุษย์ละเอียดได้แล้วนะ จะได้เปิดประตูกระจกได้ ไม่ต้องอาย มาเข้ามานั่งเร็ว..."
ทุกท่านที่นั่งอยู่ในห้อง ก็ขำกลิ้ง ฮากันใหญ่ ปรากฏว่านั่งสมาธิรอบนั้น สว่างกันเกือบยกชั้น เพราะ นั่งสมาธิด้วยใจที่เบิกบาน จากที่ ตึง เครียด ฯลฯ
เพราะ เรื่องธทย.ที่เดินชนประตูกระจก
ถ้าพอจ. ท่านนี้แยกร่างออกมาช่วย อบรม ทุกโครงการได้ จขกท.คงได้ เป็นพระแท้สมใจปราถนาแล้วละ
จขกท.กลับมาบวชใหม่ได้ อย่างที่พี่ๆ หลายท่านได้แนะนำ โลกและภพ3กำลังต้องการ พระแท้อย่างเร่งด่วนจี๊!!! เข้าถึงพระธรรมกายในชุดพระยังไงก็เท่ห์ที่สุดแล้ว นั่งธรรมมะให้สว่างโล่งไปเลย อธิฐานจิตย้ำๆว่าๆ ขอให้ห่างไกลคนพาลทุกเพศและให้พวกมันห่างพ้นไปจากโลกนี้และภพ3ด้วย(คนอื่นจะได้ไม่ต้องโดน) ไห้เจอ แต่"บรมบัณทิตนักปราชญ์ผู้ได้วิชชาธรรมกายเท่านั้น" มาเป็นกัลยาณมิตรและผู้ปกครองนะ
มาเป็น พอจ.ที่โลกและภพ3ต้องการ โดยเข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ เดี๋ยวหลวงพ่อฯ เรียกพบตัวเองละ
#26
โพสต์เมื่อ 08 November 2010 - 01:07 PM
ขอแนะนำ 2 อย่างนะครับ
1. ถ้าต้องการส่งข้อความเป็นส่วนตัว ลองใช้ระบบส่งข้อความส่วนตัวจะสะดวกกว่านะครับ
(อยู่มุมบนขวาของจอ ติดกับคำว่า "ตั้งค่า" และ "แสดงโพสใหม่" ครับ)
ข้อความที่ปรากฏบนบอร์ดถือว่าเป็นของสาธารณะ การมาโพสกำกับไว้ว่า "ห้ามอ่าน" เป็นการไม่สมควรครับ
เป็นการละเมิดสิทธิ์ของสมาชิกบอร์ดนี้ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะอ่านอะไรก็ได้ที่โพสลงมา
ถ้าคุณไม่เคยใช้เวบบอร์ดสาธารณะมาก่อน ก็ถือซะว่าเป็นการแนะนำกฏ กติกา มารยาทไปละกันนะครับ
2. คุณ usr29468 สามารถเปลี่ยนชื่อได้นะครับ จะได้ไม่ต้องมีชื่อเป็นตัวเลข
กดที่ "ตั้งค่า" (มุมบนขวา ที่เดิม) แล้วเลือก "เปลี่ยนดิสเพลยเนม" ครับ
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)