...การเจิม...
#1
โพสต์เมื่อ 23 November 2006 - 12:35 PM
พระรูปไหนก็เจิมได้ หรือว่าต้องนิมนต์หลวงพ่อที่ทรงญาณทำพิธีเจิมรถให้เท่านั้น
#2
โพสต์เมื่อ 23 November 2006 - 01:00 PM
#3
โพสต์เมื่อ 23 November 2006 - 01:09 PM
จะนิมนต์พระรูปไหนมาเจิม อยูที่ความเลื่อมใสศรัทธาของผู้ที่นิมนต์
โดยมากคนทั่วไปก็มักจะศรัทธาพระผู้ทรงคุณวิเศษ เพราะท่านมีความสามารถเหนือพระผู้ที่ยังไม่มีคุณวิเศษ
แต่สำหรับคนที่ไม่ทั่วไป คือผู้ที่ไม่มีความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
จะนิมนต์พระผู้ทรงคุณวิเศษ หรือไม่ก็ตาม เป็นอันว่าใช่ได้เหมือนกัน เพราะจิตใจของผู้่ที่นิมนต์นั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทำอะไรก็ศักดฺ์สิทธิ์หมด
#4
โพสต์เมื่อ 23 November 2006 - 01:42 PM
อันนี้ไม่ได้หมายความว่า การเจิม หรือ ปลุกเสก ไม่ดีนะคะ เพียงแต่ อยากให้ทราบว่า ของเราทำอย่างไรค่ะ
แปลกดีนะคะ..มีแต่ซ้อน ไม่เหมือนที่ไหนเลย
#5
โพสต์เมื่อ 23 November 2006 - 04:24 PM
คำ 4 คำที่พระท่านเจิมคือ อุ อา กะ สะ ย่อมาจาก
อุ คือ อุปถานสัมปทา แปลว่า ขยันหาทรัพย์
อา คือ อารักขสัมปทา แปลว่า เก็บรักษาทรัพย์ไว้ให้ดี
กะ คือ กัลยาณมิตตา แปลว่า หมั่นคบคนดีเป็นมิตร (อย่าคบคนพาล)
สะ คือ สมชีวิตตา แปลว่า เลี้ยงชีพตามสมควร หรือ เศรษฐกิจพอเพียง
หากนำคำที่พระท่านเจิม 4 คำ มาปฏิบัติ ย่อมรักษาทรัพย์เก่าไว้ได้ และหาทรัพย์ใหม่ให้เพิ่มพูน และชีวิตมีแต่ความเจริญ เพราะเป็นอยู่พอเพียง และคบคนดี หลีกหนีคนพาล ห่างไกลอบายมุข ย่อมทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง มีแต่สิริมงคล นี่คือ เบื้องหลังธรรมะที่แฝงอยู่ในตัวอักษรที่เจิม
แต่พอผ่านกาลเวลายาวนานไป มันก็กลายเป็นเช่นนี้ เฮ้อ
#6
โพสต์เมื่อ 23 November 2006 - 04:40 PM
#7
โพสต์เมื่อ 23 November 2006 - 09:25 PM
ท่องคาถาไปเลย
ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย
#8
โพสต์เมื่อ 23 November 2006 - 09:58 PM
แต่มีอยู่อีกเรื่องนึงค่ะ ที่สงสัยมาก คือแม่ของนู๋บอกว่า "ห้ามข้ามคันเกียร์ของรถ เพราะถือเป็นการไม่เคารพแม่ย่านาง" (คือข้ามแบบย้ายที่นั่ง จากเบาะคนนั่งข้างๆก้าวไปนั่งยังที่เบาะของคนขับอ่ะค่ะ)
อาจส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุกับรถได้บ่อย
เป็นเช่นนี้จริงหรือเปล่าค๊ะ เหงเค้าพูดกานมาเยอะแล้ว ว่าถ้าทำแบบนี้มันจะพาซวยแย่ไปหมด
"ถ้าหากข้าพเจ้า ผิดพลาดแต่ประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ"
ความคิดอันวิเศษ มาจากใจที่สงบ
ความอดทนอันสูงสุด มาจากใจที่หยุดนิ่ง
น้องขวัญ
...A LiTTle GuiDE...
อาสาสมัครแผนกมัคคุเทศก์
สังกัดกองปฏิสันถาร สำนักศรัทธาภิบาล
#9
โพสต์เมื่อ 24 November 2006 - 01:10 AM
สันนิษฐานว่า เพื่อสร้างขวัญ ให้เจ้าของมีกำลังใจ สร้างความเจริญ รุ่งเรืองและอยู่เย็นเป็นสุข
ผมว่าดีตรงที่ เป็นการปรารภเหตุให้พบสมณะ ได้บำเพ็ญทานบารมี และฟังธรรม
แต่ปัจจุบันคนไม่ทราบความหมายอย่างที่ พี่หัดฝันกล่าวไว้
จึงดูเน้นพิธีกรรมกว่าปริศนาธรรม และเน้นศรัทธามาก แต่ปัญญา(เอามาใช้ ) น้อย
ท่องคาถาไปเลย
ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย
คงต้องท่องดังๆ ให้เจ้าของรถได้ยินชัดๆ น่าจะเตือนสติดีนะครับ
อยากรู้จังครับว่า เวลาพระเจิมรถ ท่องคาถานี้หรือคาถาไหน ท่านใดทราบบ้างครับ
สันนิษฐานว่า คงเป็นเรื่องความปลอดภัยหน่ะครับ ส่วนมากคงไว้สอนเด็กๆที่กำลังซุกซน
เพราะถ้าเด็กเผลอโดนเกียร์ ขณะรถวิ่งและรถติด ทำให้เปลี่ยนเกียร์ผิดปกติ
หรือทำให้คนขับรถเสียสมาธิอาจเกิดอุบัติเหตุ
และเป็นอันตรายต่อตัวเด็ก ที่อาจก้าวข้ามโดยไม่ระวัง จะถูกคันเกียร์กระแทกขาได้นะครับ
อีกอย่าง ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ดูไม่งาม ด้วยกระัมังครับ
#10
โพสต์เมื่อ 24 November 2006 - 09:35 AM
#11
โพสต์เมื่อ 24 November 2006 - 10:18 AM
แต่จริงๆแล้วการเจิมนั้นความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเจิมนะครับ แต่ความสำคัญนั้นอยู่ที่คาถาที่พระท่านสวดและความหมายของภาษาที่ใช้ในการเจิมมากกว่า ซึ่งคาถาและความหมายของอัขระในการเจิมนั้นมาจากพุทธพจน์ทั้งสิ้น เช่นการเจิมบ้านเวลาพระท่านเจิมก็จะท่องคาถาและเขียนอัขระอย่างที่คุณหัดฝันได้กล่าวไว้ เพื่อให้เจ้าของบ้านได้รู้ว่าหากทำตามคำสอนในพุทธพจน์ อุอากะสะ นี้แล้วก็จะเจริญ แต่เจ้าขอบ้านทั่วไปไม่ใช่เช่นนั้น คิดว่าเจิมเสร็จแล้วก้แล้วกัน เดี๋ยวบุญบารมีของพระอาจารย์ท่านก็ช่วยให้เรารวยเองแหละ สุดท้าย ล้มละลายกันเป็นแถวทำอะไรไม่ขึ้นสักที
ส่วนการเจิมรถนั้น คาถาที่พระอารย์ท่านใช้ก็คาถาเกี่ยวกับความไม่ประมาทนั่นแหละครับ นั่นก็คือตอนที่ท่านเจิมท่านก็ท่องคอถาเพื่อเตือนสติให้เราฟัง เพียงแต่ท่านท่องเป็นภาษาบาลีเท่านั้นครับ แต่ไม่ยอมแปรหรือทำความเข้าใจกับเจ้าของรถสุดท้ายเจ้าของรถไม่เข้าใจก็คิดผิดคิดว่าเจิมแล้วรถเราก็มีสิ่งคุ้มครองทีนี้ก็ครึกคะนอง ซิ่งกันไม่หยุดหย่อน สุดท้ายตายอนาทอยู่ข้างถนน ทั้งที่รถยังมีรอยการเจิม นี่มันเป็นแบบนี้ครับ หุหุ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 24 November 2006 - 11:41 AM
#13
โพสต์เมื่อ 28 November 2006 - 03:04 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#14 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 25 May 2011 - 04:19 PM