ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

ทำบุญให้มารกิน คือ อะไร???


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 18 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 January 2006 - 05:35 PM

ทำบุญให้มารกิน คือ อะไร???
ทำทานให้มารกิน คือ ???
ใครทราบบ้าง ช่วยอธิบายหน่อยครับ


ก่อนจะเข้าใจคำถามต้องถอดความหมายของคำก่อนนะครับ
บุญคือ ? ทานคือ ?? มารคือ??? การกินคือ????


#2 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 31 January 2006 - 05:54 PM

เพิ่งเคยได้ยินประโยคนี้ นะ

เบื้องต้น คงเป็นก่อนทำ ขณะทำ หลังการทำบุญ ทำทาน ใจไม่ใสครบทั้ง 3 วาระ

บุญจึงตกหล่น ได้บุญไม่เต็มที่ เปรียบไปก็เหมือนเสียท่า ... เขา

ส่วนจะมีเบื้องลึก อย่างไร ไม่ทราบ

#3 rincycute

rincycute
  • Members
  • 4 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 January 2006 - 06:26 PM

ไม่เคยได้ยินนะเอาจากไหนเหรอ

#4 PS-Junior

PS-Junior
  • Members
  • 247 โพสต์
  • Location:Bangkok
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 31 January 2006 - 09:55 PM

ไม่เคยได้ยินคำนี้เหมือนกันค่ะ

#5 รัก แล้ว ทุกข์

รัก แล้ว ทุกข์
  • Members
  • 270 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 01:58 PM

แปลกครับไม่เคยได้ยินครับ

ผมว่าเราไม่ต้องเขาใจอะไรหมดทุกอย่างก็ได้ครับ

#6 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 05:08 PM

ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินจากครูบาอาจารย์ค่ะ
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#7 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 05:33 PM

เคยได้ยินมาบ้าง แต่ได้ยินมาว่า
"เวลานั่งธรรมะ ตรึกเข้าไป ต้องเดินกายธรรมก่อน ถ้าไม่เดินแล้วเห็นพระเป็นสายๆ นั่นคือมารมันจูงไป"

แต่ก็ไม่รู้แน้ว่าคืออะไร
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#8 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 07:39 PM

QUOTE
"เวลานั่งธรรมะ ตรึกเข้าไป ต้องเดินกายธรรมก่อน ถ้าไม่เดินแล้วเห็นพระเป็นสายๆ นั่นคือมารมันจูงไป"

โมทนาสาธุ ถ้าเป็นการเดินวิชชาก็ถูกต้องแล้วครับ แต่ในคำถามนี้ผมขอเพียง
แค่คำตอบพื้นๆ ก็พอครับวิชชาขั้นสูงคงยังไม่ต้องกล่าวในตอนนี้ก็ได้ครับ ผมเกรงว่าคนที่ไม่เข้าใจในวิชชาเดี๋ยวเขาจะถามเอาอุตลุตหนะครับ

หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#9 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 07:49 PM

ทำไม เจ้าของกระทู้ไม่เฉลย คำตอบสักที

ถ้ารู้จริง ก็ตอบๆ มาหน่อยสิ

#10 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 08:34 PM

ให้โอกาสเพื่อนๆ ได้คิดกันก่อนครับ? ถ้าไม่มีเพื่อนคนใดมารับบุญธรรมทานพรุ่งนี้ผมจะเฉลยให้ครับผม
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#11 JOYSA

JOYSA
  • Members
  • 234 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 09:22 PM

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า คำว่า มาร ถ้าโดยคำแปล แปลว่า ผู้ขัดขวางความดี หรือ สิ่งล้างผลาญคุณงามความดี คือถ้าใครจะทำความดีเมื่อไร พวกมารเป็นต้องเข้าไปขัดไม่ยอมให้ทำได้สะดวกๆ ต้องเข้าไปขวางไม่ให้ทำสำเร็จ ที่ร้ายกาจมากๆ ก็เข้าไปฆ่าบุคคลนั้นให้ตายไปจากคุณงามความดีเสียเลย จึงต้องตอบว่า มารมีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่เพียงการอุปมา แต่ว่ามีอยู่หลายรูปแบบ
โดยสรุปข้างต้น จึงได้ความว่า มารมีอยู่ ๕ ฝูง คือ


ฝูงที่ ๑ ชื่อกิเลสมาร ได้แก่ ความขุ่นมัวที่ฝังติดใจคนเราแล้ว ทำให้เราคิดแต่เรื่องร้ายๆ ซึ่งถ้าจะถามว่า เกิดจากอะไร? ก็เกิดจากการที่ใจของเราเคลื่อนออกจากศูนย์กลางกายไป แล้วเลยทำให้กิเลสได้โอกาสฝังติดใจแนบแน่น จึงทำให้ใจเกิดความคิดร้ายๆ ขึ้นมา เมื่อความคิดร้ายๆ นั้นเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เลยทำให้เราคิด พูด ทำแต่สิ่งที่ไม่ดี เป็นการตัดรอนความดีของเราลง แล้วเราเองก็กลายเป็นเสนาหรือผู้รับใช้ของเทวบุตรมารไปอีกทอดหนึ่งด้วย


ฝูงที่ ๒ ชื่อขันธมาร ได้แก่ร่างกายและจิตใจของเราที่ไม่สมประกอบ พิการไปด้วยเหตุอันใดอันหนึ่ง เช่นสุขภาพไม่ดี ร่างกายเสื่อมโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เลยทำให้ขันธ์ของเราเป็นมารแก่ตัวเอง แม้ที่สุดการที่กินข้าวผิดเวลา นอนดึกๆ ดื่นๆ หรืออยู่ในอิริยาบถเดียวต่อเนื่องกันไปนานๆ เช่น นั่งนานๆ เลยทำให้ปวดเมื่อยเกินเหตุ รวมทั้งการที่ตัวเรามีประสาทสัมผัสเสื่อม ความจำเสื่อม ความคิดไม่แล่น การตัดสินใจยืดยาด ไม่เด็ดขาด เหล่านี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นขันธมารบั่นทอนความดีของเราลงทั้งสิ้น


ฝูงที่ ๓ ชื่ออภิสังขารมาร ได้แก่ ผลกรรมชั่วในอดีตที่ตามมาล้างมาผลาญเรา แม้เราเลิกการกระทำเหล่านั้นแล้ว บาปกรรมก็ยังตามล้างผลาญไม่ลดละ แม้แต่ชาวบ้าน เขาก็ไม่เชื่อถือเรา ตามสาปแช่งเรา ตายแล้วยังแถมตกนรกหมกไหม้อีกด้วย พอเกิดมาใหม่ก็พิการ ใบ้ บ้า ปัญญาอ่อน


ฝูงที่ ๔ ชื่อมัจจุมาร คือความตายที่คอยจ้องตัดรอนชีวิตอยู่ทุกขณะจิต หากประมาทเมื่อใด เพียงหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ยิ่งไม่ออกไม่เข้ายิ่งตายเร็วหนักเข้าไปอีก รวมทั้งความกลัวตายที่พลอยผสมโรง ริดรอนกำลังใจด้วย


มารทั้ง ๔ ฝูงนี้ ล้วนอาศัยอยู่ในตัวของเราแต่ละคน มีแต่ มารฝูงที่ ๕ ชื่อเทวบุตรมาร ซึ่งอยู่นอกตัวเรา แต่ก็พร้อมจะเข้ามาสิงในตัวเราเมื่อไหร่ก็ได้ มันมีตัวตนจริงๆ พร้อมที่จะแสดงตัวออกมาด้วยกายหยาบก็ได้ กายละเอียดก็ได้ แม้แต่ท้องพระอรหันต์อย่างพระมหาโมคคัลลานะซึ่งทีฤทธิ์มาก มันก็ยังเข้าไปได้ง่ายๆ หากมันได้โอกาสก็พร้อมจะพิฆาตเข่นฆ่าเราทันที


ถามว่า แล้วเราจะต้องทำอย่างไรกับมารทั้ง ๕ ฝูงนี้ มันจึงจะหมดฤทธิ์ ไม่สามารถมาขัดขวางการทำความดีของเราอีกต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมารเธยยสูตรว่า


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้น


ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ๑


ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบแล้วด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้นฯ"


พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า


ภิกษุใด เจริญศีล สมาธิ และปัญญาดีแล้ว ภิกษุนั้นก้าวล่วงบ่วงแห่งมารได้แล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ ฉะนั้น ฯ (พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ ๕ ข้อที่ ๒๓๗ มารเธยยสูตร)


สำหรับศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็นของพระอเสขะ(พระอรหันต์)นั้น เป็นเรื่องลึกซึ้ง หมายถึง ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ซึ่งเป็นดวงธรรมมหึมาอยู่ในศูนย์กลางกายของธรรมกายอรหัต เป็นดวงธรรมซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างขนาด ๒๐ วา สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เที่ยงวัน มีอำนาจฆ่ากิเลสได้เด็ดขาด ทำให้ผู้เข้าถึงสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมาร หรือบ่วงมารได้ ผู้ที่จะรู้เห็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญาของพระอเสขะได้ จำเป็นต้องปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด เพื่อให้ใจหยุดนิ่งเข้าถึงธรรมกายให้ได้ก่อน


เพราะฉะนั้น ขอทุกคนอย่าได้ประมาท รู้จักตั้งสติ หมั่นประคองใจเอาไว้ที่ศูนย์กลางกายอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งประคองได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปียิ่งดี เมื่อตั้งใจประคับประคองใจอยู่อย่างนี้ โอกาสที่จะคิดชั่วก็จะหมดไป แล้วโอกาสที่จะพูดชั่ว ทำชั่วจะมีที่ไหน? ศีลก็จะเกิดขึ้นและตั้งมั่นอยู่ได้โดยอัตโนมัติเกิดเป็นดวงศีลส่องสว่างอยู่ภายใน สว่างไสวกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยง ใจก็ยิ่งมั่นคงไม่หวั่นไหวด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แม้ประสบความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ไม่สะทกสะท้าน เกิดเป็นดวงสมาธิส่องสว่างอยู่ภายใน ซึ่งสว่างไสวยิ่งกว่าดวงศีลนับร้อยเท่า พันเท่า ทวีคูณ แล้วอาศัยความสว่างจากดวงสมาธินั้น หล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มชื่น เอิบอาบ ซึมซาบ ด้วยความสงบสุข แล้วส่องให้เห็นดวงจิตตลอดจนมารทั้งหลายที่คอยมุ่งร้าย บ่อนทำลาย บีบคั้นให้จิตใจขุ่นมัว หลงใหล ฟุ้งซ่าน ซบเซา โง่เง่า อยู่ทุกขณะจิต ทำให้จิตใจไร้พลังถอยหลังไปสร้างบาป ส่องให้เห็นชัดเจนถึงอำนาจบุญทั้งหลายที่ตั้งใจสร้างสมไว้ว่า สามารถทำลายล้างผลาญมารทั้ง ๕ ฝูงได้ เกิดเป็นดวงปัญญาสว่างไสวนับร้อยเท่าพันเท่าทวีคูณของดวงสมาธิ ก่อให้เกิดดวงปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างน่าอัศจรรย์


เมื่อเราประคองใจไว้ที่ศูนย์กลางดวงปัญญาชำนาญดีแล้ว ไม่วันใดวันหนึ่ง เราก็จะเข้าถึงธรรมกายโดยง่าย เห็นหน้าเห็นตามารทั้ง ๕ ฝูงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถตามไล่ ตามล่า ตามล้าง ตามผลาญมารได้ทุกรูปแบบสมใจนึก เป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง บรรลุมรรคผลนิพพานตามเสด็จพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย

ที่มา http://dhamma.net/dhamma/Mara/0.html

QUOTE
จากคำถามที่ว่า ทำบุญให้มารกิน คือ อะไร??? ทำทานให้มารกิน คือ ???

ไปถามคุณแม่มา คุณแม่บอกว่าการทำบุญให้มารกิน ทำทานให้มารกินก็เหมือนทำบุญให้คนชั่ว คนเลว คนไม่ดี ทำแล้วได้บุญน้อยว่าการทำบุญให้เนื้อนาบุญ (เนื้อนาบุญหมายถึง หมายถึงที่นาแห่งบุญ บาลีใช้ ปุญฺญกฺเขตฺต สันสกฤต ใช้ บุณยเกษตร ไทยใช้ บุญเขต ในที่นี้หมายถึงพระสงฆ์ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งปลูกฝัง เผยแพร่ความดีงามของพระศาสนาได้ดีที่สุด) หรือนาที่มีปุ๋ยสมบูรณ์
ไม่ทราบว่าถูกไหมเพราะคุณแม่ก็ตอบตามความเข้าใจให้ฟังแบบนี้ค่ะ


#12 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 February 2006 - 12:26 AM

อภิโมทนาสาธุการด้วยครับ สำหรับคุณ JOYSA ทุกคำตอบสำหรับผมถือว่าถูกต้องเสมอครับ
ความหมายของมาร 5 ฝูงที่คุณ JOYSA ให้มามีประโยชน์มากๆ กับเพื่อนทุกๆ คนครับสาธุ ผมปรารถนาให้เพื่อนๆ ทุกคนมีส่วนร่วมในการให้ธรรมทานเป็นอย่างยิ่งครับ นี่คือเจตนาดั้งเดิม เจตนาดีครับ ถ้าเรามองโลกในแง่ดีในการจะสนทนาธรรม ความระแวงในธรรมจะไม่เกิดครับ เพราะธรรมะคือเรื่องรู้แจ้ง ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร เราทุกคนสามารถพิสูนจ์ธรรมะนี้ได้ด้วยตัวของเราเอง เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัปโพ วิญญูหิติ คำแปลว่าอย่างไรเชิญรับบุญได้เลยครับสาธุ
QUOTE
คุณแม่บอกว่าการทำบุญให้มารกิน ทำทานให้มารกินก็เหมือนทำบุญให้คนชั่ว คนเลว คนไม่ดี ทำแล้วได้บุญน้อยว่าการทำบุญให้เนื้อนาบุญ

ตอบ ถูกต้องส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ทั้งหมดเพราะมารที่แท้จริงหาใช่ใครที่ไหนครับแต่เป็นกิเลสมารในตัวเรานี่เองครับที่ร้ายที่สุด เหมือนดังที่คุณ JOYSA ได้ค้นคว้ามานั่นแหละครับ เพราะกิเลสมารนี่เองทำให้เราทุกคนยังต้องเวียนเกิดเวียนตายนับภพนับชาติไม่ถ้วน ถ้าเราไม่มาทำการศึกษาหรือรู้จักกิเลสมารในตนแต่เนิ่น ๆ หวังที่จะให้เข้าถึงธรรมกันก่อนค่อยไปศึกษาวิธีกำจัดกิเลสมารหละก็ แบบนี้แพ้กิเลสในตัวทุกชาติไปครับ พระพุทธเจ้าเราทรงชี้แจงการทำทานไว้แล้วครับว่าไม่ควรเลือกบุคคล หรือเลือกว่าต้องทำบุญกับพระไม่ทำบุญกับคนชั่วไม่ทำบุญกับสัตว์ แต่ทรงให้ทำทานกับสัพสัตว์ทั้งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ครับ ลองนึกดูสิครับว่าถ้าสังคมใดหรือโลกใดผู้คนมีใจเป็นกุศลให้ความช่วยเหลือกันแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน สังคมนั้นหรือโลกนั้นจะอบอุ่นและน่าอยู่ขนาดไหน

QUOTE
ทำบุญให้มารกิน คือ อะไร??? ทำทานให้มารกิน คือ

ในที่นี้ผมจะอธิบายแบบพื้นๆ ไม่เข้าหลักวิชชาขั้นสูงเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไมให้คนอื่นเขางงเล่นครับ ขอให้เพื่อนๆ สบายใจได้เลยครับ
บุญ แปลง่ายตรงๆ คือ ความสุขใจ ถ้ารักษาใจให้เป็นสุขได้ตลอดเวลาไม่ขุ่นมัวนั่นแหละเรียกว่า มีบุญ แต่ถ้าใครทำบุญแล้วบุญหกเพราะกิเลสมาร ไม่ว่าจะเป็นหกเพราะ ราคะ โทสะ โมหะ นั่นแหละครับเรียกว่า หมดบุญ
ทานคือ การสละออก การให้ ถ้าเป็นการให้ที่เป็นบุญจะต้องมุ่งเป้าให้เพื่อกำจัดกิเลสทุกตระกูลไม่เฉพาะความตระหนี่เท่านั้น
มารคือ ธรรมที่เป็นบาปอกุศลทั้งปวงที่คอยขัดขวางให้สัตว์ทั้งหลายเวียนเกิดเวียนตาย ตัดรอนให้บุญหก บุญหมดอยู่ร่ำไป
การกินคือ การบริโภค ใช้สอย มีการนำเข้าแล้วหมดไป มีการเพิ่ม และลดไป

ทำบุญให้มารกิน อย่างที่ 1 คือ ถ้าเวลาที่เราทำบุญแล้วไม่สละความตระหนี่ มีจิตที่เต็มไปด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเป็น คือ ถูกอำนาจของกิเลสมารคือ โลภะ ครอบงำตั้งแต่เริ่มทำแบบนี้เรียกว่า "ทำบุญให้มารกิน" เช่น เวลาทำบุญขอให้ได้สมบัติ ขอให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้อันเป็นเหตุเพื่อพอกพูนกิเลสอันนี้แหละครับเชื่อว่าทำบุญหวังเพิ่มกิเลสมารในตนครับ ยิ่งมีจิตอยากมาก ทำด้วยตัวอยากคือ ตัณหา กิเลสมารในตัว ก็จะโตมากอ้วนพีเลยตามส่วนครับ

ทำบุญให้มารกิน อย่างที่ 2 คือ เวลาทำบุญแล้วไม่สละความโกรธความถือตัว มีจิตคิดอยากดี อยากเด่น อยากใหญ่กว่าคนอื่น เต็มไปด้วยความทะยานอยาก มานะทิฐิถือตัว เราแน่กว่าเราเหนือกว่าเราสูงกว่า ใครจะว่าเราไม่ได้ เป็นต้น ยิ่งทำบุญมากบารมีมากกลับกลายเป็นความถือตัวมีมานะทิฐิมากตามไปด้วย ถ้าสั่งสมนิสัยของกิเลสมารคือโทสะมากๆ จะทำให้กลายเป็นคนที่ยินดีที่เห็นคนอื่นด้อยกว่า ยินดีที่คนอื่นเดือดร้อน ถือเป็นการทำบุญที่กิเลสมารไม่เบาบางลงชื่อว่า "ทำบุญให้มารกิน"

ทำบุญให้มารกิน อย่างที่ 3 คือ เวลาทำบุญแล้วมีความปรารถนาจะได้เบญจกามคุณชั้นเลิศ ที่ยิ่งๆ ขึ้นไป ต้องการเสวยผลบุญเพื่อสนองกิเลส ตัณหา ให้ชุ่มโชกยิ่งขึ้น ความอยากเสพเป็นเหตุ เมื่อเสพมากเข้าๆ บุญก็หมดเพราะอำนาจของกิเลสมารคือโมหะ เข้าครอบครองใจ

ทำทานให้มารกิน คือ การทำบุญปนบาป การบริจาคหรือให้ที่ก่อให้เกิดกิเลสมารเจริญขึ้นทั้งในตัวเราและบุคคลอื่นๆ เช่น ให้หญิงเป็นของกำนันในบางวัฒนธรรม ให้เงินใต้โต๊ะเพื่อคอรัปชั่น ให้ผ้าห่มมีโลโก้เพื่อให้ซื้อเบียร์ ให้อาหารหมู ไก่ ปลา อื่นๆ เพื่อเชือดเป็นต้น
ในโลกนี้มีการทำทานให้มารกินเยอะยกตัวอย่าง เช่น สมมุติว่ามีสตรีนางหนึ่งคิดจะใส่บาตรพระแต่เนื่องจากพระมาช้าเลยเกิดโทสะขึ้นหน้าทำให้หน้าตาบูดบึ้ง จิตใจขุ่นมัว ใจหนึ่งก็อยากทำบุญสุดๆ อยากได้บุญ เวลาพระมาถึงจึงใส่บาตรด้วยโทสะครอบงำ แบบนี้เรียกว่า "ทำบุญให้มารกิน" มารในที่นี้ไม่ใช่พระที่บิณฑบาตแต่เป็นกิเลสมารตัวโทสะที่เข้ายึดใจของเธอ แทนที่เธอจะได้บุญมาก กลายเป็นบุญหกไปเยอะเลยเพราะกิเลสมารคือโทสะทำให้บุญกระเฉาะเสียแล้ว

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ สมมุติอีกเช่นเคย มีชายคนหนึ่งเขาปราถนาจะทำทานเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการถวายไก่ ถวายหมู เป็นทานในวันรุ่งขึ้นเขาจึงจัดแจงลับมีดแล้วเชือดไก่ เชือดหมู ในเวลาใกล้รุ่งด้วยใจเต็มเปี่ยมไปด้วยกุศลเจตนาคิดว่าเช้านี้เราจะได้ทำบุญถวายทานแล้ว ทำไปก็ยิ้มไปสุขใจไป เชือดคอไก่ และหมูไปก็คิดว่าขอให้ชาติหน้าเรามีไก่มีหมูกินไม่อดอยากเหมือนชาตินี้เทอญ แบบนี้แหละครับเรียกว่า "ทำบุญให้มารกิน"เพราะกิเลสคือโมหะ ความไม่รู้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ เข้ายึดใจของสัตว์โลก ทำให้พลาดท่าทำบุญปนบาป เป็นต้น

ในข้อกิเลสมารโมหะมีเยอะครับ เช่น ทำทานเลี้ยงเหล้าในงานบวช ,ทำบุญเลี้ยงพระขึ้นบ้านใหม่ แล้วควบเลี้ยงเหล้าแขกผู้มีเกียรติ ,เลี้ยงโต๊ะจีนงานแต่ง เบื้องหลังเชือดเป็ด เชือดไก่ เป็นต้น

สรุปเนื้อหาก็คือ การทำบุญให้มารกิน ก็คือ การทำบุญให้ทานใดๆ แล้วกิเลสมารในตนไม่เบาบางลงแต่กลับเจริญขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือ การทำบุญปนบาปนั่นเอง ดังนั้นสาเหตุที่ทำให้การสร้างบารมีเพื่อไปที่สุดแห่งธรรมได้ช้า และใช้เวลานานก็ล้วนแล้วมาจากกิเลสมารคือ โลภะ โทสะ โมหะ ยังไม่เบาบางลงนั่นเองครับ เมื่อรู้อย่างนี้ก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องหมั่นทำใจให้หยุดให้นิ่ง ป้องกันและระวังใจให้ใสสะอาดปราศจากกิเลสมาร 3 ตระกูลไว้เสมอๆ จึงจะชื่อว่า ทำบุญเป็นครับ

#13 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 02 February 2006 - 02:45 PM

โมทนาสาธุ ด้วยครับ คุณ xlmen ที่ขยายความ ปริศนาธรรม ได้แจ่มดี



การทำบุญปนปาป หรือ การทำกุศลปนโมหะ ทำให้นึกถึงอีกเรื่อง คือ

กุศลจิต ก่ออกุศลจิต นะครับ

หมายความว่า เริ่มต้นด้วยกุศลจิต ต่อมาๆ โดนกิเลสมาสอดแทรก

ให้เกิดอกุศลจิต นำไปสู่ การทำอกุศลกรรม

ยกตัวอย่าง ปฐมปาราชิกของภิกษุณี

พอจำได้รางๆว่า

มีอุบาสก ชื่อ สาฬหะ มีกุศลจิต ปรารถนาสร้างวิหารทานแด่ภิกษุณีสงฆ์

ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ก็มอบหมายงานให้ ภิกษุณี ชื่อ สุนทรีนันทา ซึ่งยังไม่บรรลุอรหัตผล

ไปช่วยดูแลงานก่อสร้าง คงคล้ายเป็นผู้ประสานงาน ต้องติดต่อกับ นายสาฬหะ

ซึ่งต่อมา ทั้งสอง มีจิตปฏิพัทธ์ มีความกำหนัด ยินดีสัมผัสกายกัน

สุดท้ายจึงกลายเป็น ปฐมปาราชิกฝ่ายภิกษุณีสงฆ์

..... เรื่องนี้ทำให้คิดว่า ใครที่ยังไม่หมดกิเลส แม้ใฝ่การทำบุญกุศล

อยู่ในเส้นทางสร้างบารมีมาตลอด ก็ยังไม่ปลอดภัย โดนมารบังคับบัญชาสั่งการทำอกุศลกรรมได้

.......... เลยนึกไปถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ เรื่อง การสร้างบารมีให้ตลอดรอดฝั่ง

ย่อๆ คือ ไม่ประมาท ( สำคัญที่สุด ) + มีกัลยาณมิตร + อธิษฐานล้อมไว้

..... ขอให้นักสร้างบารมีทุกๆท่าน สร้างบารมีได้ตลอดรอดฝั่ง

มีแต่ความสุข ความสำเร็จ ความเจริญในการสร้างบารมี อย่างไม่ถอยหลัง ด้วยกันทุกท่านนะครับ .. สาธุ













ไฟล์แนบ



#14 นลิน

นลิน
  • Members
  • 30 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 February 2006 - 06:38 AM

สาธุค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับคุณ xlmen และ คุณdangdee นะค่ะ สำหรับธรรมทาน ให้ข้อคิดและเตือนสติดีมากๆ

#15 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 17 March 2007 - 04:35 PM

กราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

#16 usr37337

usr37337
  • Members
  • 20 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 November 2010 - 03:49 AM

...

ไฟล์แนบ



#17 สาหร่าย

สาหร่าย
  • Members
  • 123 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 04 November 2010 - 10:02 PM

QUOTE
การทำบุญให้มารกิน ก็คือ การทำบุญให้ทานใดๆ แล้วกิเลสมารในตนไม่เบาบางลงแต่กลับเจริญขึ้น


#18 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 November 2010 - 01:33 AM

การสร้างทานบารมีมีทั้ง ฝ่ายรับ และ ฝ่ายละ ตามนัยพระพุทธพจน์

ฝ่ายรับคือ อานิสงส์แห่งบุญ ตามที่มีปรากฏเป็นพุทธพจน์ เช่นมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และเป็นฐานพละไปสู่นิพพานสมบัติ

ฝ่ายละ คือ กุศล ที่กำจัดความตระหนี่ขี้เหนียว ขจัดความโลภ ขจัดขัดเกลากิเลศในใจตนเอง ให้หมดไป
........................

ฝ่ายรับ นั้นต้องคอยมีสติโดยธรรมไม่ให้เผลอหลงใหลไปกับสมบัติจนลืมตัวกลายเป็นการสั่งสมกิเลศ นั่นคือต้องเข้าใจว่ามีสมบัติไว้สร้างบารมีและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเชิงรุก โดยเฉพาะเป็นกองเสบียงให้ภาคปราบ

การที่ทำทานอย่างทุ่มสุดตัวโดยธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี มีตัวอย่างจากพระอริยะเจ้าและพุทธศาสนิกชนที่ดีมากมายในพระพุทธศาสนา แต่ต้องให้เหมาะสมแก่กาละเทศะต่อตนเองและผู้อื่นไม่เดือดร้อน ประกอบด้วยธรรมะและปัญญา ทำเพื่อปราถนาผลบุญ ให้ผลบุญช่วยเรื่องโลกิยะ และชีวิต เป็นพละที่จะสร้างผังที่ดีๆจากภายใน ไปจนถึงเป็นกุศลเป็นพละในระดับโลกุตตระเพื่อพระนิพพาน

คนเหล่านี้เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง แม้ตัวตายก็ยังปลื้มอยู่ในบุญ โดยไม่มีมัวหมองใจแม้เพียงนิดเดียว เพราะหวังแต่ผลบุญบารมี และเป็นอิสระจากพันธนาการของกิเลศ

แต่บางท่านอาจจะเข้าใจผิด ว่าต้องลงทุนทุ่มทำทานเยอะๆจะได้กลับมาเยอะๆ ทำบุญไม่หวังผลบุญบารมี แต่ทำบุญหวังผลตามใจกิเลศ แบบนี้เป็นการสะสมกิเลศ ความโลภ โกรธ หลง ไม่ลด แต่ยิ่งมากขึ้นเข้าใจผิดอย่างมากมาย บางคนทำจนหมดตัวชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้น ลูกเมียเดือดร้อน เป็นเป้าให้คนโจมตีวัด พอชีวิตแย่ลงเรื่อยๆก็เลยพาลด่าวัดด่าบุญด่าพาลไปจนถึงด่าศาสนาไปซะฉิบ

แบบนี้ไงครับ เข้าทางธาตุธรรมภาคมารเขาเลย อร่อยเหาะ...


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#19 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 05 November 2010 - 10:51 AM

รู้สึกประทับใจในคำตอบต่าง ๆ ได้ข้อคิดดี ๆ มากมาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำทานด้วยปัญญาสำคัญมาก ๆ ใจบริสุทธิ์และเจตนาดีนั้นไม่พอเพียงค่ะ ผลรับของคนโง่ปัญญาน้อยทำทานนั้น

เป็นการเบียดเบียนตัวเองเป็นอย่างยิ่งเพราะโง่ทำให้บุญหกบุญหล่นยังไม่พอยังจิตใจเศร้าหมองเมื่อตามตรึกระลึกนึกถึงบุญ ทำแล้วเดือด

ร้อนตัวเอง(ภายหลังโดนด่าว่าโง่ยังไม่พอยังมีแถมอีก) และเดือดร้อนผู้รับอย่างคาดไม่ถึง เป็นการข้ามหน้าข้ามตากันก็มี แสบค่ะนานด้วย



ฉะนั้นศึกษาให้ดี ๆ นะคะกระทู้ข้างบนมีบอกเล่าเก้าสิบไว้แล้ว อย่าอ่านผ่านใครที่รู้ตัวว่า อิน โน เซ๊นส์ หรือปัญญายังน้อย ๆเพราะบางทีคาด

ไม่ถึงจริง ๆ การเสียใจทำให้ดวงบาปคงโตขึ้นเพราะจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส เราให้ทานเพราะหวังบุญมิใช่บาป จะเสียเวลา เงินทองแล้วจิต

เศร้าหมองไม่คุ้มเลย เว้นเสียแต่ว่าเจอผู้ใหญ่ใจดีเขามีวิธีชี้แนะอย่างชาญฉลาดด้วยอุบายในการอบรมสั่งสอนผู้น้อยด้อยปัญญาปรารถนา

บุญอย่างมีศิลปะ ก็รอดตัวไป


คนที่ห่างวัดไปนาน ๆเพราะเหตุใดก็ตามต้องระวังมาก ๆเพราะอาจจะทำผิดพลาดได้ง่าย ก็ระวัง ๆสะกิด ๆกันนิดหน่อยไหน ๆก็จะทำหน้าที่กัลฯ

ให้กันทั่วโลกแล้ว