*****หากปุถุชนคนธรรมดาเช่นเรา จะกล่าวถึงคุณธรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็เปรียบได้กับบุคคลที่มองดูขุนเขา ซึ่งสามารถมองเห็นได้เพียงแนวของสันเขา สีของแมกไม้ และแสงเงาที่สะท้อนขุนเขานั้น แต่มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่า ภายในขุนเขานั้น มีความยิ่งใหญ่ลี้ลับใดแฝงซ่อนอยู่ นับแต่วันที่คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ได้มอบมรดกธรรมให้แก่ภิกษุหนุ่มผู้ตั้งใจอุทิศตนเพื่อสืบสานงานต่อจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ นับได้ว่านั่นคือ จุดเริ่มต้นอันพิสุทธิ์ที่ท่านได้ทำหน้าที่ในการเป็นพ่อของโลก และท่านก็ทำหน้าที่เช่นนี้เสมอมา อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ แม้หลายต่อหลายครั้งที่ท่านจะต้องปะทะกับมรสุมของผู้หวังร้าย มรสุมของความไม่เข้าใจของผู้คนมากมาย แต่ท่านก็มิได้หวั่นหวาด ยังคงทำหน้าที่ในการเป็นจอมทัพแก้วนำพานาวาธรรมลำนี้ให้แล่นฝ่ามรสุมร้ายมาได้อย่างปลอดภัย กว่า ๓๘ พรรษาในเพศสมณะ ที่ท่านได้ทำหน้าที่ในการแจกจ่ายโปรยปรายธรรมะรัตนะของพระพุทธองค์ เป็นต้นบุญต้นแบบที่ดีให้กับลูกทางธรรม ให้แก่ชาวโลก และจรรโลงสร้างสรรค์ผลงานมากมายอันเป็นคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกายอย่างเอนกอนันต์ ดังจะเห็นได้จาก สื่อสีขาวผ่านจานดาวธรรม (DMC) ที่ท่านได้ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้เตรียมการสอน ผู้ดำเนินรายการ และเป็นทั้งครูผู้สอนในเวลาเดียวกัน เท่าที่กระผมทราบมา ตารางกิจกรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะลงตัวทุกวัน หลังฉันเช้าท่านก็จะเดินออกกำลังกาย แล้วให้เวลากับการรักษาขาของท่าน หลังจากนั้นก็จะนั่งธรรมะไปจนกระทั่งถึงเพล หลังฉันเพลเสร็จ ท่านก็จะไปที่กองพุทธศิลป์เพื่อตรวจดูงานที่ท่านจะใช้ในการสอนในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา หลังจากนั้น ท่านก็จะกลับมานั่งธรรมะค้น case study แล้วนำมาเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวของท่านเอง ตรองดูเถิดท่านทั้งหลาย ภิกษุผู้สูงวัยถึง ๖๓ ปีท่านนี้ ต้องเตรียมการสอนสำหรับดำเนินรายการด้วยตัวของท่านเองวันละ ๒-๓ ชั่วโมงทุกวัน (นี่ยังไม่นับโครงการก่อสร้างศาสนสถานและศาสนวัตถุต่างๆ ที่ท่านแบกรับภาระไว้อีกมากมายนะครับ) โดยพยายามจัดรูปแบบของเนื้อหาเป็นที่น่าสนใจนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ซึ่งท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ความอดทนของท่านนั้นเป็นเลิศ เป็นความอดทนบนพื้นฐานของความสุขและความสบายที่ท่านจะพึงมีพึงเป็น ครั้งหนึ่งท่านเคยพูดกับผู้ที่ท่านได้มอบหมายให้ไปสอนธรรมะว่า การที่จะต้องอธิบายธรรมะด้วยคำพูดเดิมๆ ซ้ำๆ กันทุกวันๆ หากไม่มีเมตตาเป็นพื้นฐานจริงๆ แล้ว ก็ยากที่จะทำได้ และเมื่อได้ทบทวนคำสอนที่ท่านได้ให้คำแนะนำ พร่ำเตือนไปกับผู้ที่ท่านมอบหมายให้สอนธรรมะ ย่อมจะพบว่า ท่านมีเมตตาจิตอันไม่มีประมาณเป็นพื้นฐานประจำใจของท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านจึงไม่มีความรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อการให้ธรรมทานในลักษณะนี้
*****คุณธรรมที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความเป็นผู้เคารพในการสอนธรรมะ เนื่องจากท่านเป็นบุคคลที่สูงส่งและมีความเข้าใจในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง ท่านจึงสามารถหยิบยกเอาข้อธรรมที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกมาสอนให้แก่คนในทุกระดับให้สามารถเข้าใจ และเข้าถึงแก่นแท้ในทางพระพุทธศาสนาได้อย่างง่ายๆ จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี และพยายามทำความเข้าใจในเรื่องราวที่ท่านนำมาสอน และน้อมนำเอาคำสอนนั้นมาพัฒนาปรับปรุงตนเอง นอกจากนี้ คุณธรรมในการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนั้น มีอยู่มากมายในพระเดชพระคุณหลวงพ่อ สังเกตได้จากเวลาที่ท่านสั่งงาน ท่านมักจะพูดกับลูกๆ ทีมงานของท่านอยู่เสมอๆ ว่า ต้องช่วยกันคิดนะ ดูให้รอบคอบ ช่วยหลวงพ่อคิดหน่อย ดังนี้เป็นต้น ท่านไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจที่คิดว่า ท่านทำถูกต้องทุกอย่าง ท่านพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของลูกๆ แล้วนำไปปรับปรุง ท่านพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของทุกคน กัลยาณมิตรท่านใดที่มีโอกาสได้มาร่วมงานกับท่านย่อมจะเห็นถึงความชัดเจนในรูปแบบของการทำงานของท่านว่า สิ่งใดที่ท่านสั่งแล้วจะต้องทำ และสิ่งใดที่ท่านหารือขอความเห็น พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพ่อที่หมั่นแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จากการสอนผ่านสื่อต่างๆ ของท่าน เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นได้ว่า ความรู้ที่ท่านแสวงหามานั้น มีความสดใหม่อยู่เสมอ ชีวิตในบั้นปลายของท่านนั้น เป็นชีวิตที่ไม่เคยหยุดการเรียนรู้ ส่วนเรื่องของการศึกษาธรรมะภายในของพระพ่อ กระผมจะขอยกไว้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่เป็นอจินไตยเกินกว่าปุถุชนอย่างกระผมจะพรรณนาให้หมดสิ้นและเข้าใจให้กระจ่างได้ตลอด ท่านแสวงหาความรู้ภายในเป็นปกติอยู่เนืองนิจ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านได้ไปที่อาศรมบัณฑิต พบกับพระเดชพระคุรหลวงพ่อทัตตชีโว ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับ ท่านได้พูดกับหลวงพ่อทัตตชีโวว่า “ถ้าไม่เจ็บป่วยใกล้ตาย ก็จะลงเทศน์สอนทุกวัน จึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่า บุคคลเช่นท่าน ถ้าเป็นการทำเพื่องานพระศาสนาแล้ว อะไรก็ได้ คำว่า “อะไรก็ได้” ในความหมายของท่านก็คือ แม้ชีวิตของท่านก็สามารถสละได้”
*****สุขภาพของท่านเองก็ใช่จะสู้ดีนัก หลวงพ่อท่านต้องใช้ยาหยอดตาทุกเช้าและกลางคืนติดต่อกันมานานเป็นปีแล้ว โรคประจำตัวที่มารุมเร้าท่านก็มากมาย อย่างที่พวกเราท่านทั้งหลายทราบกันดี แม้ว่ากายสังขารของท่าน ที่นับวันมีแต่จะเสื่อมลงไป แต่การสร้างบารมีของท่านกลับตรงกันข้ามกับสุขภาพร่างกายอย่างสิ้นเชิง ยิ่งรู้ว่าสังขารร่างกายนี้จะใช้ได้อีกไม่นาน ท่านยิ่งโหมงานแข่งกับเวลาชีวิตของท่านที่เหลืออยู่อีกไม่มาก
*****ในฐานะลูกในสายธรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้หนึ่ง อยากจะกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า ชีวิตของท่านได้ดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว และสังขารของท่านก็คงจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน (แม้ว่าเราอยากจะให้ท่านอยู่ถึง ๒๒o ปีก็ตาม) วัยล่วงหกสิบนับเป็นชีวิตที่นับถอยหลังแล้ว เป็นเวลาของชีวิตในช่วงท้ายสุดที่ท่านจะเร่งการสร้างบารมีแบบอุกฤษฏ์ในทุกๆ บุญ ทั้งงานด้านการเผยแผ่และการทำวิชชารบ ฉะนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ หากใครกระพริบตา หย่อนการสร้างบารมีแม้เพียงชั่วคราว ดวงบุญในตัวก็ต่างกันลิบลับแล้ว และเมื่อกระผมได้พิจารณาจากสังขารร่างกายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทำให้อดนึกถึงเมื่อคราวช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของคุณยายอาจารย์ไม่ได้ ท่านมีแต่จะนับวันจากพวกเราอยู่ (ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย) สังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ณ เวลานี้ ก็มิได้แตกต่างอะไรไปจากสังขารของคุณยาย ณ เวลานั้น และกระผมใคร่ขอนำเอาคำพูดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยพูดกับพวกเราไว้ เมื่อครั้งสมัยกฐิน ๙o ปีทองของคุณยายอาจารย์เมื่อสิบปีก่อนที่ว่า “ใครอยากจะเอาบุญกับคุณยายก็ให้รีบเอาเสียนะ” มาใช้ว่า “ใครจะเอาบุญกับหลวงพ่อก็ให้รีบทำเสียนะครับ”
*****เวลาของฉันเหลือน้อยเต็มที… กำลังริบหรี่เหมือนอาทิตย์ใกล้อัสดง… ชีวิตฉันคงไม่ยั่งยืนยง… มั่นคงเป็นหมื่นปี… โปรดเถิดท่านผู้มีบารมี… ให้โอกาสแก่ฉันเสียที… ได้ทำงานที่แท้จริง