เพราะเหตุใด พระวังคีสะ จึงจับกระโหลกศรีษะพระอรหันต์ที่นิพพานไปล้ว จึงไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ครับ
พระวังคีสะ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญเติบโตแล้ว ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์ในลัทธิของพราหมณ์ จนจบไตรเพท และได้เรียนมนต์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ฉวสีสมนต์ เป็นมนต์สำหรับพิสูจน์กะโหลหศีรษะของซากศพ แม้ตายแล้วหลายปีสามารถรู้ได้ว่าไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน วังคีสพราหมณ์ได้อาศัยมนต์นั้นเป็นเครื่องหาทรัพย์เลี้ยงชีวิต ในตอนแรกได้แสดงมนต์นั้นให้พวกชนชาวพระนครได้ดูกัน ต่อมาพวกพราหมณ์ทั้งหลายได้เห็นแล้วคิดกันว่า พวกเราอาศัยวังคีสพราหมณ์นี้เลี้ยงชีวิตได้ จึงได้พาเที่ยวไปสู่ชนบทน้อยใหญ่ประกาศแก่หมู่มนุษย์เหล่านั้นว่า วังคีสพราหมณ์นี้รู้มนต์วิเศษ คือ เมื่อร่ายมนต์แล้วใช้เล็บเคาะที่กะโหลกศีรษะแห่งสัตว์ที่ตายแล้วสามารถรู้ได้ว่า ผู้นี้ไปเกิดในนรก ผู้นี้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ผู้นี้ไปเกิดในเปรตวิสัย ผู้นี้ไปเกิดในเทวโลก เมื่อพวกมนุษย์ได้ยินประกาศอย่างนั้น มีความประสงค์จะถามถึงพวกญาติของตน ๆ บ้าง จึงจ่ายทรัพย์ให้ตามกำลังของตนมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วถามถึงที่เกิดของพวกญาติของตน ๆ
พวกพราหมณ์เหล่านั้นพาวังคีสพราหมณ์เที่ยวไปในนิคมและชนบทอย่างนี้แล้วกลับมาถึงพระนครสาวัตถี พักอยู่ในที่ใกล้พระเชตวันมหาวิหาร เช้าวันหนึ่งพวกพราหมณ์เหล่านั้นเห็นมนุษย์เป็นอันมากถือดอกไม้ธูปเทียนไปเพื่อจะฟังเทศน์ในพระเชตวันมหาวิหาร จึงถาม ครั้นทราบความนั้นแล้วจึงพูดว่า พวกท่านจะไปที่นั่นทำไม เพราะคนที่จะดีวิเศษเช่นกับวังคีสพราหมณ์ของพวกเราหาไม่ได้อีกแล้ว เพราะเธอเรียนรู้มนต์มาก พวกมนุษย์ก็เถียงว่า วังคีสพราหมณ์จะรู้อะไร คนที่จะเหมือนกับพระบรมศาสดาของพวกเราก็หาไม่ได้เหมือนกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างก็เถียงกันแต่ก็ตกลงกันไม่ได้ จึงได้พร้อมกันไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร
พระบรมศาสดาทรงทราบว่า พวกวังคีสพราหมณ์มาสู่ที่ประทับพระองค์จึงรับสั่งให้นำกะโหลกศีรษะคนตายมา ๕ กะโหลก คือ กะโหลกของสัตว์ที่เกิดในนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน มนุษยโลก เทวโลก อย่างละกะโหลก และกะโหลกศีรษะของพระขีณาสพอีกหนึ่งกะโหลก ตั้งเรียงไว้โดยลำดับ เมื่อวังคีสพราหมณ์เข้ามาเฝ้าแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่าเราได้ทราบว่า ท่านร่ายมนต์แล้วใช้เล็บเคาะกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่ตายแล้ว สามารถรู้ที่เกิดของเขาได้หรือ ? วังคีสพราหมณ์ กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์รู้ พระองค์จึงตรัสถามกะโหลกศีรษะของสัตว์ที่เกิดในที่ทั้งสี่ วังคีสพราหมณ์ก็ตอบได้ถูกต้องทั้งหมด พระองค์จึงตรัสประทานสาธุการว่าดีละ ๆ ถูกต้องละ จากนั้นพระองค์จึงตรัสถามกะโหลกที่ห้าว่า ผู้นี้ไปเกิดที่ไหน ? วังคีสพราหมณ์ร่ายมนต์แล้วเคาะกะโหลกแต่ไม่สามารถรู้ที่เกิดได้ เพราะเป็นกะโหลกศีรษะของพระอรหันต์ จึงนิ่งเฉยอยู่ พระบรมศาสดาตรัสถามว่า เธอไม่รู้หรือวังคีสะ ? ครั้นวังคีสพราหมณ์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้ พระองค์จึงตรัสว่าแต่เรารู้ เขาทูลถามต่อไปอีกว่าพระองค์รู้ด้วยอะไร ? พระพุทธองค์ประทานคำตอบว่า รู้ด้วยกำลังมนต์ของเรา
เมื่อวังคีสพราหมณ์ได้ทราบเช่นนั้นจึงได้ทูลขอเรียนมนต์นั้น พระองค์จึงตรัสว่าคนที่ไม่บวชเราให้เรียนไม่ได้ วังคีสพราหมณ์จึงคิดว่า ถ้าเราเรียนมนต์นี้ได้แล้ว เราจักเป็นใหญ่ใสชมพูทวีปทั้งสิ้น ครั้นแล้วจึงได้ส่งพวกพราหมณ์ที่เหลือเหล่านั้นไปพร้อมกับสั่งว่า พวกท่านจงกลับไปรอเราอยู่ที่นั่นแหละสักสองสามวัน เราจักบวชในสำนักของพระบรมศาสดา ครั้นวังคีสพราหมณ์ได้อุปสมบทแล้ว พระบรมศาสดาประทานกรรมฐานมีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ ตรัสสั่งให้ท่องบ่นบริกรรมซึ่งมนต์นั้น ครั้นท่านสาธยายมนต์นั้นอยู่อย่างนี้ พวกพราหมณ์ก็คอยมาถามอยู่ว่าเรียนมนต์จบแล้วหรือยัง ? ก็ได้รับคำตอบว่า กำลังเรียนอยู่ ต่อมาไม่นานท่านพระวังคีสะก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
ครั้นท่านได้บรรลุพระอรหัตตผล เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ณ ที่ใด ๆ ก็ตาม ย่อมกล่าวคาถาสรรเสริญพระพุทธคุณของพระองค์บทหนึ่ง ๆ ก่อนเสมอ ด้วยเหตุนี้เอง พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างมีปัญญาปฏิภาณฉลาดในการผูกเป็นบทบาทคาถา ครั้นท่านพระวังคีสะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน