สอนให้รวย นะครับไม่ใช่สอนให้โลภ
#1
โพสต์เมื่อ 21 May 2009 - 10:12 AM
มีหลายท่านไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องรวย มีทรัพย์มาก
แต่ เรารวยเราก็ไม่ได้เก็บทรัพย์มาไว้คนเดียว เรารวยเพื่อนำมาช่วยให้คนบรรลุธรรม
ขยายวิชาสมาธิ ไปทั่วโลก แล้วก็บริจาค ให้กับผู้ที่ขาดแคลนเช่น น้ำท่วม ภาคใต้
มีทรัพย์มากกเราก็ช่วยคนได้มาก มีน้อยเราก็ช่วยได้ตามกำลังเรา
บางทีความยากจน ก็ทำให้เราต้องมีเรื่องเครียด จนทำให้ต้องทำให้ผู้อื่นเดีอดร้อน
ทั้งต้องไปยืม ขอความช่วยเหลือผู้อื่น ทำอาชีพมิจฉาอาชีวะ ฆ่าสัตว์
แต่ถ้าเรามีทรัพย์ใครเดือดร้อนเราก็ให้เขายืมจนฟื้นตัวได้
เรามีทรัพย์มากเราก็ช่วยคนได้มาก มีมากทำมากครับใช่ว่ามีมากเราจะเก็บไว้ให้ตัวเอง เพราะตายไปก็เอาไปไม่ได้
ยืนยันตัวจริงเสียงจริงเจ้าของกรณีศึกษากฎแห่งกรรม
http://video.dmc.tv/programs/life_in_samsara/page5.html
หนังสือเรียนธรรมะ DOU http://book.dou.us/d...ya-book-gl.html
GL 101 จักรวาลวิทยา http://book.dou.us/gl101.html
GL 102 ปรโลกวิทยา http://book.dou.us/gl102.html
GL 203 กฎแห่งกรรม http://book.dou.us/gl203.html
GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์ http://book.dou.us/gl305.html
#2
โพสต์เมื่อ 21 May 2009 - 11:01 AM
#3
โพสต์เมื่อ 21 May 2009 - 11:20 AM
ดังนั้นไม่ว่าจะมั่งมี หรือ ยากไร้...ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับคำว่า ตระหนี่ หรือ บริจาค เสมอไป
#4
โพสต์เมื่อ 21 May 2009 - 12:34 PM
หากทำบุญแล้วอธิษฐานให้มีทรัพย์มากอย่างเดียว เวลาบุญส่งผล ก็จะทำให้มีทรัพย์มากโดยไม่เลือกวิธีการ จึงอาจกลายเป็นมีทรัพย์มากในธุรกิจที่เป็นบาปอกุศลได้
ดังนั้นคุณครูจึงสอนให้อธิษฐานกำกับไว้เสมอว่า ให้มีทรัยพ์มาก เพื่อที่จะนำมาใช้สร้างบุญสร้างบารมี จนกระทั่งได้บรรลุธรรมน่ะครับ เพราะบางทีแม้ชาตินี้ เรามีทรัพย์มากและตั้งใจสร้างบุญบารมีก็จริง แต่พอชาติใหม่เกิดใหม่ หากไม่พานพบผู้รู้ โอกาสจะใช้ทรัพย์ไปในทางไม่สมควรมีได้ตลอด ดังนั้นจึงต้องอธิษฐานล้อมกรอบไว้ให้ครบถ้วนจึงจะดีครับ
#5
โพสต์เมื่อ 21 May 2009 - 03:43 PM
นอกจากต้องรวยด้วยสัมมาอาชีวะแล้ว, ยังต้องรวยในบุญเขตของพระพุทธศาสนาด้วย,
แม้เป็นฝ่ายเสบียงก็ต้องศึกษาพุทธธรรม,รักษาศีลและเจริญภาวนาด้วย.
#6
โพสต์เมื่อ 21 May 2009 - 04:19 PM
#7
โพสต์เมื่อ 21 May 2009 - 10:18 PM
#8
โพสต์เมื่อ 22 May 2009 - 05:39 AM
#9
โพสต์เมื่อ 22 May 2009 - 10:18 AM
#10
โพสต์เมื่อ 22 May 2009 - 10:54 PM
แต่ตอนจบ เขาก็แนะนำให้ใช้ชีวิตแบบพอเพียง แล้วสรุปว่า อย่ารวยเลย รวยแล้วมีความทุกข์ ให้อยู่แบบพออยู่พอกิน
เลยงง ว่า คนรวยนี่มีทุกข์กว่าคนจนเหรอ ใครจะบอกว่า รวยทุกข์กว่าจนได้เต็มปาก มันต้องเคยเป็นทั้งคนรวยและคนจน แล้วถึงจะรู้รสชาติ
เคยเจอแต่คนบอกเข็ดความจนกันทั้งนั้น ยังไม่เคยเจอคนเข็ดความรวยเลยนะ
#11
โพสต์เมื่อ 23 May 2009 - 09:09 PM
การที่คนมีกิเลสความโลภ เพราะคนมีนัยน์ตา มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ต้องตา ต้องใจ ดังนั้น ความโลภจึงเกิดขึ้น
วิธีแก้ไข ของคนกลุ่มนี้ คือ ให้ควักนัยน์ตาออกเสีย จะได้ไม่ต้องมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดกิเลสความโลภ เป็นต้น
พวกเขาหาได้เข้าใจไม่ครับ หากควักนัยน์ตาออกไปจริงๆ ก็หาได้ลดทอนกิเลสความโลภให้ลดน้อยถอยลงได้ไม่ นั่นเป็นเพราะกิเลสเกิดจากใจ ไม่ได้เกิดจากตา เมื่อแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ย่อมไม่อาจแก้ไขปัญหาได้
เรื่องของความรวยความจนก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความโลภ แต่สิ่งจะที่บ่งบอกถึงความโลภก็คือใจของคนคนนั้นนั่นเอง
คนรวยหากความโลภเกิดขึ้น ก็อาจใช้ทรัพย์ที่ตนมีแสวงหาสิ่งที่ตนปรารถนาในทางมิชอบ
คนจนหากความโลภเกิดขึ้น ก็อาจไปเป็นโจรเป็นขโมย ลักขโมยทรัพย์ผู้อื่นเช่นกัน
#12
โพสต์เมื่อ 24 May 2009 - 09:36 AM
ความมั่งมี มิใช่ indicator ของความโลภ... ความตระหนี่ในใจของปุถุชนต่างหาก...ที่นำมาสู่การสะสมภาวะตัณหาความอยากได้อยากมี และ การหวงแหนสิ่งของที่เกินจากปัจจัย4 เกินความจำเป็นอันเป็นเครื่องล่อ เครื่องกังวล (TAKE, not GIVE)
ดังนั้นไม่ว่ามั่งมีหรือยากไร้ก็ตาม ผู้เป็นสัตบุรุษซึ่งขวนขวายหาทรัพย์ด้วยสัมมาอาชีวะ จึงทำทานเพื่อฆ่าความตระหนี่...(GIVE & Donate) ...ส่วนอานิสงส์ผลบุญย่อมบังเกิดตามกำลัง พร้อมด้วยฐานะ 5ประการ อันได้แก่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และ ปฏิภาณ
เราจึงใช้คำว่า"รวย"ในนัยยะ...ไม่อดอยาก ไม่ขาดแคลน ไม่แห้งแล้ง...
และ รวย ในนัยยะ...อุดมสมบูรณ์พูนสุขไปด้วยที่สุดของทรัพย์สมบัติ บริวารสมบัติ รูปสมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผล นิพพาน...และ วิชชาธรรมกาย
...รู้เช่นนี้แล้ว...ใครเล่า...ที่ไม่อยากรวย...
...ใครเล่าที่ทำทานแล้วอธิษฐานให้ยากไร้...ไม่มีหรอก...มีแต่อธิษฐานให้มั่งมี ทรัพย์ไหลมาเทมากันทั้งนั้น