ความรู้น้อยๆจากธรรมชาติ
#1
โพสต์เมื่อ 15 October 2015 - 04:58 PM
ปัญญาเกิดจากการคิดสอนตนเองได้ มองขี้หมาเป็นธรรมะได้
มองต้นไม้ สัตว์ และหลายๆอย่างนำมาคิดวิเคราะห์จนกลายเป็นความรู้ให้ตนเองได้ คนที่ใจมืดบอดจะไม่สามารถมองออกเพราะเขาจะมัวเมาทางโลกไปวันๆเห็นต้นไม้เป็นต้นไม้ เห็นสุนัขเป็นเตะ
แต่การฝึกสมาธิเพื่อเพ่งอยากรู้โน้นนี่ มันจะทำให้ระดับปัญญาสั่นสะเทือนได้อย่างไรกัน ก็ไม่ต่างกับทำข้อสอบแต่ลอกข้อสอบมานั่นละ แล้วบอกว่าตนเองฉลาด เพราะรู้คำตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย
**ดูท้องฟ้ายามเย็น เปิดใจให้กว้าง**
#2
โพสต์เมื่อ 15 October 2015 - 06:06 PM
การที่เราสามารถรู้เห็นสิ่งต่างๆ ได้จากการปฏิบัติธรรม ไม่ไช่ปัญญาครับ แต่เป็นเพียงผลพลอยได้จากการทำใจหยุด ใจนิ่ง ทำให้ใจมีพลัง
เหมือนกับการที่เราเรียนบวก ลบ คูณ หารในโรงเรียน เราหมั่นท่อง หมั่นจำ เพื่อที่จะสามารถสอบผ่าน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็สามารถใช้ความรู้นั้น ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ตลอดจนไปถึงการประกอบสัมมาอาชีวะได้ด้วย
คนที่มีปัญญา เมื่อเห็นผลของการปฏิบัติธรรมแล้ว ก็จะใช้ปัญญานั้นพิจารณาต่อไปว่า จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่นต่อไปอย่างไร
หรือ แม้กระทั่งสุดท้ายแล้ว พิจารณาแล้วว่า สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่ไม่มีประโยชน์กับตนเอง แถมยังเป็นห่วงที่ผูกพันตัวเองเอาไว้ บัณฑิตนั้นก็จะใช้ปัญญาละทิ้งผลแห่งการปฏิบัติธรรมนั้นเสีย เพื่อพิจารณาธรรมอันลึกซึ้งมากขึ้นต่อไปครับ
ปัญญา มีไว้เพื่อพิจารณาให้เห็นแจ้งในทุกสิ่ง เพื่อการพัฒนาตัวเองให้สะอาด บริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้นไป ... แต่ก็อย่างที่ทราบ มนุษย์เราถูกกิเลสปรุงแต่งให้แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้น การใช้ปัญญาตามจริตของแต่ละคน ตื้นเขิน ลึกซึ้ง ลุ่มลึก แตกต่างกันไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ
#3
โพสต์เมื่อ 16 October 2015 - 09:30 AM
ปัญญาที่สูงสุด (ultimate wisdom) คือปัญญาที่เกิดจาก การรู้แจ้งด้วยธรรมจักขุ รู้ด้วยญาณทัสนะของธรรมกาย แล้วสามารถนำไปปฏิบัติจนหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวลด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องอาศัยความคิด ไม่ต้องอาศัยการฟังหรือการอ่านเรียกว่า ภาวนามยปัญญา
ถ้ายังคิดอยู่เพื่อให้ได้ความรู้ต่างๆนั้น เรียกว่ามีปัญญา เหมือนกัน แต่เรียกว่า ปัญญาในระดับใช้ความคิด (จินตมยปัญญา) ซึ่งต้องเริ่มต้นมาจากการสั่งสมปัญญาระดับแรกมามากๆก่อนแทบทั้งสิ้น นั่นคือด้วยการอ่านและการฟังจน "จำ" ได้ (สุตมยปัญญา)
การรู้คำตอบทุกอย่างโดยไม่ต้องทำข้อสอบหรือคิดแก้ปัญหา(หมายถึงเป็นผู้มีคำตอบรออยู่มากมาย มากกว่าคำถาม) ถือว่าเป็น สุดยอดผู้รู้ผู้มีปัญญา ซึ่งจะได้คุณสมบัติลักษณะนี้ก็ต่อเมื่อบรรลุถึงปัญญาระดับ ภาวนามยปัญญาแล้วเท่านั้น และการที่จะเข้าถึงความเป็นผู้มีปัญญาระดับนี้ ต้องอาศัยการฝึกฝนตามพุทธวิธี (ศีล+สมาธิ -->ทำให้ได้ ปัญญาสูงสุด)
ผู้มีปัญญาสูงสุด(รู้โดยไม่ต้องคิด) ยกตัวอย่างเช่น เพียงแค่มองเห็นต้นไม้ ก็ไม่ต้องไปวิเคราะห์ ทดลองหาคำตอบใดๆ แต่อาจ "เห็น และรู้แจ้ง" ถึงองค์ประกอบต่างๆ(ด้วยญาณทัสนะภายใน ตามที่ตัวเองต้องการ) ว่ามันประกอบด้วยธาตุดินน้ำลมไฟ(แยกธาตุตามคัมภีร์โบราณ)อะไร มีสิ่งใดอาศัยอยู่(รุกขเทวดา,สัตว์กี่ชนิด กี่ตัวตั้งแต่ฝังอยู่ในราก ลำต้น กิ่งใบยอด) รอยแผลเป็นตรงโคนต้นนี้เกิดจากอะไร(มีมนุษย์คนหนึ่งมาฟัน เพราะโมโหไม่ได้ทานข้าว) เกิดขึ้นมาได้อย่างไร(เพราะบุญของสรรพสัตว์บริเวณนั้นมาหล่อเลี้ยง) อะไรทำให้เติบโต(มีภาคผู้เลี้ยงดูแลรักษา) เห็นถึงอดีตว่า ต้นดังกล่าวมาจากเมล็ดจากต้นแม่ต้นไหน หรืออาจสามารถสืบต่อไปในอดีตว่า กำเนิดเผ่าพันธ์ุของต้นนี้มาจากที่ไหน กี่ร้อยกี่ล้านปีมาแล้ว โดยใครเป็นผู้เอามา หรือว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวในยุคแรกๆเอามาปลูก (นี่เป็นเหตุการณ์สมมุติขึ้นเพื่อเป็ฯตัวอย่างนะครับ สำหรับผุ้มีปัญญาโดยไม่ต้องคิดทดลอง แต่ "เห็นและรู้แจ้ง" ด้วยญาณทัสนะภายในซึ่งคุณสมบัติที่สามารถ "รู้แจ้งตามความเป็นจริง" ได้อย่างไม่มีขอบเขตนี้อาจเรียกอีกอย่างว่า สัพพัญญุตญาณ ซึ่งมีอยู่ในองค์พระพุทธศาสดา )ฯลฯ
ครั้นพอ ผู้มีปัญญาท่านนี้ มองดูสุนัข ก็ "เห็นและรู้แจ้งตามความเป็นจริง" ว่า สุนัขตัวนั้น กำลังคิดอะไรอยู่ มันกำลังจะทำอะไร ทำไมมันมาเกิดเป็นสุนัข มันเกิดเป็นสุนัขมากี่ชาติแล้ว ทำอย่างไรมันถึงจะหมดกรรมเกิดเป็นสุนัข แล้วยอ้นอดีตไปได้อีกนับชาติไม่ถ้วน มันอาจเคยเกิดเป็นพระราชา(เหตุการณ์เล่าประกอบสมมุตินะครับเพื่อให้เจ้าของกระทู้ได้เข้าใจมากขึ้นว่า การรู้เห็นไปตามความเป็นจริงโดยไม่ต้องคิด วิเคราะห์ มันจะมาช่วยอะไรชีวิตใครได้บ้าง) มองเห็นในร่างกายของมันว่าเป็นมะเร็งอยู่ตรงโคนขาหน้า เพราะกรรมอะไร และมันต้องเกิดเป็นหมาอย่างนี้อีกกี่ชาติจึงจะหลุดพ้น แล้วถ้าเราเอาข้าวให้มันกิน เราจะได้บุญมากแค่ไหน มันแค้นใครหรือมันอยากจะกัดใครหรือเปล่า ทำไมมันต้องแค้นใจกับคนๆนั้น เพราะทำกรรมอะไรร่วมกันมา แล้วมัน....บลา ๆๆๆๆๆๆ แม้กระทั่งย้อนไปดูชาติแรกที่เขาได้เกิดเป็นมนุษย์ เขาเกิดมาเพื่อต้องการมาทำอะไร เป้าหมายแรกของชีวิตที่สุนัขตัวนั้นได้เกิดมา เพื่อมาทำอะไร.... ฯลฯ.....
ครั้นพอ ผู้มีปัญญาสูงสุด(โดยไม่ต้องคิดวิเคราะห์ใดๆ) เห็นคนไทยรบกัน ทะเลาะกัน ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งทันทีว่า อะไรเป็นสาเหตุ เพราะไปยึดมั่นตัวตนบุคคลที่เป็นสิ่ง "สมมุติกันขึ้นมา" ไปยึดถือขอบขัณฑสีมา ประเทศชาติว่า ของกู ของกู ทั้งๆที่ความจริงไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งใดทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นทางผ่านเกิดมาสร้างกรรรมใหม่ ชดใช้กรรมเก่า กลุ่มที่ทะเลาะกันโดยมีแกนนำคนนั้น ในอดีตเขาเคยเกิดเป็นกษัตริย์เมืองประเทศราชทางตอนใต้ แล้วยกทัพจับศึกกับอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งแค้นจองเวรกันมาข้ามชาติโดยไปยึดติดในธาตุดินน้ำลมไฟที่สมมุติกันขึ้นมาว่า เป็นของกู ของกู ทั้งๆที่ความจริง แกนนำทั้งคู่ก็เคยเกิดเป็นเพื่อนซี้กันมาก่อนในชาติหนึ่ง(อย่าลืมนะครับนี่ผมสมมุติขึ้นมาให้เจ้าของกระทู้มองภาพชัดขึ้นเท่านั้น) แต่ภายหลังผิดใจกันจองเวรกันเป็นชาติแรกเพราะไปแย่งหญิงสาวคนหนึ่ง.... บลาๆๆๆๆๆๆ ฯลฯ
เห็นรึยังครับว่า "การรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริงด้วยญาณทัสนะโดยไม่ต้องคิด อาศัยการฝึกฝนเบื้องต้นจากการนั่งสมาธิ ทำใจหยุดนิ่งๆ .... จะทำให้เกิดปัญญาได้อย่างไร พอมีปัญญาระดับนี้ขึ้นมาเท่านั้นแหละครับ อะไรๆก็ไม่มีปัญหา อะไรๆ ก็ดูว่างเปล่า ไม่มีสาระอะไรที่แท้จริง ความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่ในทุกกิจกรรมของชีวิตคืออะไร ทำไมเราต้องปฏิบัติธรรมเพื่อไปสู่พระนิพพาน.....
สรุปแล้ว ชีวิตอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม ตอ้งเข้านิพพาน จึงจะหลุดพ้นความเกิด ตาย วนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ การทดลองใดๆ การหาคำตอบใดๆในโลกนี้ แม้ในอดีต ในปัจจุบัน หรือในอนาคต ก็คือวังวน เพราะเคยเกิดขึันมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่สัตว์เหล่านั้น ไม่รู้(ไม่มีปัญญาสูงสุด) นั่นเอง ฯลฯ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่่านั้นครับ ที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบให้เจ้าของกระทู้ได้มองเห็นภาพชัดขึ้น เกี่ยวกับ ปัญญาที่เกิดจากญาณทัสนะ ไม่ต้องอาศัยความคิด
#4
โพสต์เมื่อ 16 October 2015 - 05:44 PM
ลองสังเกตุร่างกายตนเองดูนะ ว่ามันเหมือนต้นไม้ไหม
มีผมเสมือนใบไม้บนยอดไม้
มีลำตัวเสมือนลำต้น
มีแขนเสมือนกิ่งที่แตกออกไปทางข้างลำต้น
มีนิ้วทั้งห้าที่แนบสนิทกันจะดูเหมือนใบไม้
มีขาและนิ้วเท้าเสมือนจุดยืนต้นและรากของต้นถ้ากางนิ้วเท้าออก
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "เราคือโลก โลกคือเรา"
**ดูท้องฟ้ายามเย็น เปิดใจให้กว้าง**
#5
โพสต์เมื่อ 16 October 2015 - 05:51 PM
มนุษย์เราอาศัยอยู่ได้เพราะช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน
"หญิงสร้างสรรค์ ชายปกป้อง"
อย่าคิดว่าเกิดเป็นชายแล้วจะมีบุญมากตามที่ใครเขาบอกกัน
**ดูท้องฟ้ายามเย็น เปิดใจให้กว้าง**
#6
โพสต์เมื่อ 17 October 2015 - 07:36 AM
ผมพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว
การถกเรื่องพุทธแบบเถรวาท กับ วิถีแห่งเซน งานนี้ท่าทางจะยาว ขออนุญาติส่งเรื่องให้พระอาจารย์ท่านพิจารณานะครับ ว่าจะยังไงดี
ไม่ใช่ว่าคุยไม่ได้นะครับ แต่การคุยผ่านตัวอักษรจะทำให้ความชัดเจน ถูกต้องน้อยลงมาก อีกทั้งพื้นฐานความเข้าใจก็ไม่เสมอกัน(ผมไม่ได้ใช้คำว่าแตกต่างกันนะครับ - ขอย้ำ) ... โดยรวมก็อาจจะทำให้เข้าใจผิดกันได้ง่ายครับ
#7
โพสต์เมื่อ 17 October 2015 - 06:18 PM
จากที่ผมได้สัมผัสวัดพระธรรมกายมาตลอด ๘-๙ ปี ในทุกอาทิตย์ต้นเดือนและงานบุญสำคัญๆ ส่วนมากจะให้สวดมนตร์และให้นั่งสมาธิถวายข้าวพระเลย พอตกบ่ายก็จะมีพระอาจารย์มาเทศน์โดยใช้สื่อเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่เข้าใจทำไมต้องใช้สื่อด้วยในการเทศนา สื่อมันดูมีมนต์ขลังมากมีเพลงประกอบปลุกใจมากๆนะเผลอแผลบเดียวใจก็อาจจะเออ ออ ไปได้ง่ายๆเลย ส่วนโรงเรียนอนุบาล ผมนั่งฟังอย่างเต็มที่พยายามคิดวิเคราะห์ตามโดยใช้ปัญญา และเปิดใจให้กว้าง แต่ก็ไม่ได้อะไรเลยนอกจากตายแล้วไปไหน ส่วนมากจะเรื่องเกี่ยวกับอดีตชาติ เรื่องที่เหนือความคาดหมายซึ่งไม่สามารถจินตนาการได้จึงต้องเชื่อเท่านั้นเพราะเราไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัส สำหรับผมนรก สวรรค์มีจริง ผมเชื่อเต็มร้อย แต่ทำไมถึงอยากไปสวรรค์กัน ตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์พิจารณาธรรมไม่ดีกว่าหรอ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหลายกัปต์ หลายปี เอาแต่โทษว่าเกิดมามีแต่ทุกข์แตตายแล้วขอไปสวรรค์ ไปเสวยสุขผลบุญที่ทำ สำราญเลยทีนี
หากท่านมีอะไรจะเสนอหรือแลกเปลี่ยนความรู้กัน ด้วยความเคารพครับ
ผมยินดี หากเป็นคนอื่นป่านนี้ด่าทอผมไปแล้ว ขอบคุณ
**ดูท้องฟ้ายามเย็น เปิดใจให้กว้าง**
#8
โพสต์เมื่อ 21 October 2015 - 12:04 PM
ความคิดเห็นส่วนหนึ่งคิดว่า.......
ความเชื่อดั้งเดิมของมนุษย์ เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ เชื่อว่า ไฟเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง หากบูชาไฟ เซ่นสรวงให้เทพเจ้าผู้รักษาทรงพอพระทัย เทพเจ้าจะทรงทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข บางจำพวกพากันบูชาเทพเจ้าแห่งลม เพื่อไม่ให้ลมพัดแรงจนเกินไปและอาจก่อความพิบัติให้กับมนุษย์ได้ ที่มนุษย์เชื่อว่ามีเทพผู้รักษา เข้าใจว่ามนุษย์เองเมื่อเกิดมาย่อมใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นเบื้องต้น และมีการเฝ้าดูธรรมชาติ เกิดคำถามว่า ทำไมฝนจึงตก ทำไมลมจึงพัดแรง คงจะต้องมีใครที่มีมหิทธานุภาพในการควบคุมธรรมชาติเหล่านี้
การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในแง่ของมานุษยวิทยาวัฒนธรรม เมื่ออยู่ร่วมกันหมู่มาก ย่อมเอาความเชื่อมาเป็นบรรทัดฐานในการปกครอง ถ้าเชื่อในเรื่องธรรมชาติ ก็นำความเชื่อเรื่องธรรมชาติเข้ามาปกครอง เช่นกับชนกลุ่มหนึ่งในภาคใต้ของไทยที่สามารถรักษาต้นน้ำไว้ได้ด้วยความเชื่อที่ว่ามีเจ้าพ่อพญาจระเข้เฝ้ารักษาต้นน้ำ และเจ้าพ่อพญาจระเข้ไม่ชอบให้คนเข้าไปตัดไม้บริเวณที่ท่านอยู่ ไม่มีใครเคยเห็นว่ามีพญาจระเข้อยู่จริงหรือไม่ แต่คนในหมู่บ้านนั้นก็ยังมีความเชื่อ ไม่ล่วงละเมิดเข้าไปในส่วนที่เชื่อว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ต้นน้ำแห่งนั้นยังคงรักษาไว้ได้
ในอินเดียครั้งโบราณกาล ความเชื่อก่อให้เกิดการแบ่งเป็นวรรณะต่างๆ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมวรรณะของอินเดีย ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ความกดดันของสังคมวรรณะทำให้แสวงหาทางออก มีนักปรัชญาหลายสำนักเกิดขึ้น เพื่อแสวงหาความจริงของชีวิต แสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้น มีทั้งกลุ่มนักคิด นักปรัชญาที่เชื่อในเทพเจ้าและไม่เชื่อเทพเจ้า พวกที่ทุกขนิยม เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์จึงต้องทรมานกาย ฝึกจิต ฝึกตน เพื่อให้เทพเจ้าพอใจ ในสุขนิยมเชื่อว่าเมื่อได้เกิดมาแล้วต้องแสวงหาความสุขให้เต็มที่ ชีวิตเกิดมาครั้งเดียวตายครั้งเดียวจึงดื่ม กิน เสพกามกันอย่างเต็มที่ ไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็น ทุกขนิยม และสุขนิยม ได้ทรงแสวงหาคำตอบด้วยพระองค์เอง การแสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้นด้วยทุกรกิริยา ไม่ใช่ทางหลุดพ้น ในด้านสุขนิยมสุดขั้ว พระองค์ท่านได้ประสบมาก่อนที่จะทรงออกบวช
ในความเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ มีหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก มีพยานยืนยันมากมาก และขอยกตัวอย่างของพระเถระ ที่ได้ถวายประทีปแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยอานิสงส์ของบุญส่งผลให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ และได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ได้มาสร้างบารมีจนพบพระนิพพาน อันเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้น ดังเช่นพระอนุรุทธเถระ ดังนี้
ในอนุรุทธเถราปทานที่ ๖ ว่าด้วยผลแห่งการถวายประทีป “...เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสุเมธเชฏฐบุรุษของโลก เป็นนระผู้ องอาจ ผู้นายกของโลก เสด็จหลีกออกเร้นอยู่ จึงได้เข้าไปเฝ้าพระสุเมธสัมพุทธเจ้า ผู้นายกของโลก แล้วได้ประคองอัญชลีทูลอ้อนวอนพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้เชฏฐบุรุษของโลก เป็นนระ ผู้องอาจ ขอจงทรงอนุเคราะห์เถิด ข้าพระองค์ขอถวายประทีปแก่ พระองค์ผู้เข้าฌานอยู่ที่ควงไม้ พระสยัมภูผู้ประเสริฐธีรเจ้านั้น ทรงรับคำ แล้ว เราจึงห้อยไว้ที่ต้นไม้ประกอบยนต์ในกาลนั้น ได้ถวายไส้ตะเกียง น้ำมันพันหนึ่ง แก่พระพุทธเจ้าผู้เผ่าพันธุ์ของโลก ประทีปโพลงอยู่ตลอด ๗ วันแล้วดับไปเอง ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น และด้วยการตั้งเจตนาไว้ เรา ละกายมนุษย์แล้ว ได้เข้าถึงวิมาน เมื่อเราเข้าถึงความเป็นเทวดา วิมาน อันบุญกุศลนิรมิตไว้เรียบร้อย ย่อมรุ่งโรจน์โดยรอบ นี้เป็นผลแห่งการถวาย ประทีป เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๘ ครั้ง เวลานั้น เรามองเห็นได้ ตลอดโยชน์หนึ่งโดยรอบ ทั้งกลางวันกลางคืน เราย่อมไพโรจน์ทั่วโยชน์ หนึ่งโดยรอบ ในกาลนั้นย่อมครอบงำเทวดาทั้งปวงได้ นี้เป็นผลแห่งการ ถวายประทีป เราได้เห็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ กัลป ใครๆ ย่อมดูหมิ่นเราได้ นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป เราได้บรรลุทิพย จักษุ ย่อมมองเห็นได้ด้วยญาณตลอดพันโลก ในศาสนาของพระพุทธเจ้า นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสุเมธ เสด็จอุบัติในสามหมื่นกัลปแต่กัลปนี้ เรามีจิตผ่องใส ได้ถวายประทีปแก่ พระองค์ คุณวิเศษคือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.
ทราบว่า ท่านพระอนุรุทธเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล
(พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๒ หน้าที่๓๒ ข้อที่ ๖)
ในสาริปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ ว่าด้วยนางเปรตเคยเป็นมารดาพระสารีบุตร กล่าวถึงอดีตชาติของนางเปรตตนหนึ่งซึ่งเคยเกิดเป็นมารดาของพระสารีบุตร นางเปรตตนนี้เคยมีบุพกรรมที่ต้องตกนรก ดังนี้
พระสารีบุตรเถระถามหญิงเปรตตนหนึ่งว่า
“...ดูกรนางเปรตผู้ผอมมีแต่ซี่โครง ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านเป็นใครหรือ มายืนอยู่ในที่นี้?
นางเปรตนั้นตอบว่า เมื่อก่อนดิฉันเป็นมารดาของท่าน ในชาติเหล่าอื่น ดิฉันเข้าถึงเปรตวิสัย เพรียบพร้อมไปด้วยความหิวและความกระหาย เมื่อถูกความหิวครอบงำ แล้ว ย่อมกินน้ำลาย น้ำมูก เสมหะอันเขาถ่มทิ้งแล้ว และกินมันเหลว แห่งซากศพที่เขาเผาอยู่ที่เชิงตะกอน กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอด บุตรและโลหิตแห่งบุรุษทั้งหลายที่ถูกตัดมือ เท้า และศีรษะที่เป็นแผล กินเนื้อ เอ็น และข้อมือข้อเท้าเป็นต้นของชายหญิง กินหนองและ และเลือดแห่งปศุสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อยู่อาศัย
นอนบนเตียงของผู้ตาย ซึ่งเขาทิ้งไว้ในป่าช้า ลูกเอ๋ย ขอลูกจงให้ทาน แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้แม่บ้าง ไฉนหนอ แม่จึงจะพ้นจากการกินหนองและเลือด. ท่านพระสารีบุตรเถระผู้มีจิตอนุเคราะห์ ได้ฟังคำของมารดาแล้ว จึงปรึกษากับท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านพระอนุรุทธะ และท่านพระกัปปินะ แล้วให้สร้างกุฎี ๔ หลัง ในทิศทั้ง ๔ แล้วถวายกุฎีเหล่านั้น ข้าวและน้ำแก่สงฆ์ อุทิศส่วนกุศลไปให้มารดา
ในทันใดนั้นเอง ข้าว น้ำและผ้า ก็บังเกิดเป็นวิบาก นี้เป็นผลแห่งทักษิณา ภายหลังนางมีร่างกายบริสุทธิ์สะอาด นุ่งห่มผ้าอันมีค่ายิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับด้วยวัตถาภรณ์อันวิจิตรเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ.
ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระจึงถามว่าดูกรนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ
สถิตอยู่ดุจดาวประกายพฤกษ์ ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะกรรมอะไร อิฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ เพราะกรรมอะไร และโภคะทุกสิ่ง ทุกอย่างอันเป็นที่รักแห่งใจ ย่อมบังเกิดแก่ท่านเพราะกรรมอะไร ดูกรนางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน เมื่อท่านเป็นมนุษยได้ทำบุญอะไรไว้ อนึ่ง ท่านมีอานุภาพรุ่งเรืองและมีรัศมีกายสว่างไสว
ไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร...”
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๖ข้อที่ ๙๙ หน้าที่ ๑๓๖
ในโลกของปัจจุบัน มักจะกล่าวกันว่า “ในทางวิทยาศาสตร์ ต้องมีการพิสูจน์ “ นรก สวรรค์ พิสูจน์ไม่ได้ ขาดหลักการในการพิสูจน์ ทั้งที่จริงๆ เรื่องไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องของทางวิทยาศาสตร์ น่าจะพิสูจน์ได้ จับต้องได้ แต่ทำไมเราจึงไม้ได้เห็นกระแสไฟฟ้า ไหลตามสายไฟเมื่อเราเสียบปลั๊กไฟ แต่เมื่อไฟฟ้ารั่ว เรากลับโดนไฟดูด
การที่เกิดมาแล้วมีแต่ทุกข์ เข้าใจว่า น่าจะยังไม่เข้าใจของผลของการกระทำในอดีตมากกว่า ดังเช่นเมื่อเราอยากได้ถั่ว เราขุดดิน พรวนดิน โปรยเมล็ดถั่วลงไป ย่อมได้ถั่ว แต่ระยะเวลาการรอคอยต้องใช้เวลา การปลูกถั่ว ยังต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย เมื่อใบอ่อนชำแรกผลิออกจากเมล็ดถั่ว เกิดมีแมลงมากัดแทะและเล็ม ผู้ปลูกย่อมเกิดความทุกข์ ความกังวล หาหนทางไล่แมลง หรือหาหนทางกำจัด เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง หากลงมือปลูกถั่วแล้วไร้แมลง ใบอ่อนชำแรกออกมาแล้วแข็งแรงผลิดอก ออกฝัก เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ผู้ปลูกต้องคอยเก็บผลผลิตที่ล้ำค่ากับการรอคอย
“ตายแล้วขอไปสวรรค์ ไปเสวยสุขผลบุญที่ทำ” ก่อนตายนั้น เข้าใจว่า หากมีกุศลจิต ย่อมได้เข้าสู่สุคติสวรรค์แน่นอน เพราะใจ สบาย ไร้ความกังวล ประดุจได้เก็บผลผลิต จากการปลูกถั่ว
ก่อนที่จะโทษอะไร คงต้องมองดูที่ตัวเองก่อน สำรวจตรวจให้ละเอียดก่อนจะดีที่สุด และอาจจะแก้ไขในสิ่งที่ตนเองบกพร่อง
สิ่งที่แสวงหานั้น อยู่ภายในตน
กราบอนุโมทนาบุญค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 26 October 2015 - 10:04 AM
ผมมองว่า เป็นการบริหารความเสี่ยงชีวิตในสังสารวัฏฏ์อีกวิธีการหนึ่งน่ะครับ คุณสกายวอล์คเกอร์ และเป็นการบริหารความเสี่ยงฯ แบบผู้รู้ด้วยสิครับ (ไม่ใช่บริหารแบบผู้ไม่รู้) จริงอยู่ครับว่า ผู้รู้ในที่นี้ผมหมายเอาครูบาอาจารย์ แต่ทุกคนที่เข้าวัดมานานจะสัมผัสได้ครับว่า ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้ต้องการเป็นผู้รู้แต่เพียงผู้เดียว แต่กลับพยายามเคี่ยวเข็ญแล้วเคี่ยวเข็ญอีก จำ้จี้จำ้ไชแล้วจำ้จี้จำ้ไชอีก บอกแล้วบอกอีก ให้กำลังใจแล้วให้กำลังใจอีก ทุกวันตั้งแต่จันทร์ถึงอาทิตย์ ฯลฯ เพื่อต้องการให้ลูกศิษย์ทั้งหลาย "เข้าถึง และไปรู้ไปเห็นด้วยตัวเองให้ได้" ด้วยการให้นั่งธรรมะอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน(เรามักจะคุ้นคำนี้ดีครับ) ท่านไม่ต้องการให้พวกเรามีแต่ "ความเชื่อ"ไงครับ แต่ต้องการให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง
แม้การบอกเล่าเรื่องราวอดีตชาติต่างๆ อานิสงส์บุญฯลฯ จุดประสงค์อย่างหนึ่งในหลายๆข้อก็เป็นไปเพื่อ "หวังว่า" จะเป็นกำลังใจ เป็นแรงกระตุ้นให้พวกเรา ไปรู้ไปเห็นด้วยตนเอง จะดีที่สุดครับ ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ความเชื่อของผมคนเดียวแน่นอน เพราะมีเพื่อนๆกัลยาณมิตรที่ผมรู้จักหลายๆท่าน พยายามฝึกฝนตัวเองปฏิบัติธรรมตามอย่างครูบาอาจารย์เพราะได้กำลังใจจากตรงนี้จริงๆ
พระอาจารย์รูปหนึ่งได้ให้ข้อคิดเอาไว้ว่า.... จริงอยู่ที่เราปรารถนาจะเข้าพระนิพพานในอนาคต แต่ถามว่า 1.ใครตอบได้บ้างไหมว่า อีกนานแค่ไหนจึงจะเข้าพระนิพพานได้?
เพราะเหตุที่เราทุกๆคน ไม่มีใครตอบได้ ไม่มีใครจะมารับประกันได้ว่า อีกเท่านั้นปี อีกเท่านั้นชาติ เราจะเข้าพระนิพพานได้นี่เอง
จึงเป็นที่มาของคำถามต่อไปว่า.... 2.แล้วระหว่างทางที่เรายังไปไม่ถึงพระนิพพานเนี่ย เราควรจะอยู่ตรงไหน พักค้างรอนแรมกันตรงไหนจึงจะดีที่สุด?
คำว่า "จุดพักค้าง(การเดินทางในสังสารวัฏฏ์)ที่ดีที่สุด" อยู่ตรงไหน อันนี้ก็ต้องไปค้นดู ไปศึกษาดูทั้งหมดว่า 3.ภพภูมิที่เรามีสิทธิ์จะไปเกิดในจักรวาฬนี้มีกี่ภพภูมิ แต่ละภพภูมิมีคุณสมบัติ การเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมอย่างไร? เพื่อที่ว่า เราจะได้ เลือก ไปอยู่ที่นั่นแล้ว "คาดว่าจะปลอดภัยที่สุด"
ความว่า "ปลอดภัยที่สุด" อันนี้ก็ต้องขยายความต่อไปอีกว่า 4.ปลอดจาก "ภัยอะไร" บ้าง?
สุดท้ายบทสรุปของทั้ง 4 คำถามเบื้องต้นไล่เรียงมานี่แหละครับ จึงได้คำตอบว่า
"เป้าหมายชีวิตที่ทุกคนต้องไปให้ถึงคือพระนิพพาน แต่ในระหว่างที่ยังไม่ถึงปลายทางดังกล่าว ควรจะต้องหมั่นสั่งสมบุญมากๆเพื่อจะได้ ไปพักกลางทางที่ ดุสิตาเทวภูมิ ในเขตแดนที่แวดล้อมไปด้วย พระบรมโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ พระอริยบุคคล บัณฑิตนักปราชญ์ชาวพุทธที่สั่งสมบารมีมามากๆๆๆๆๆๆๆ นับไม่ถ้วน ซึ่งจะคิดพูดและทำแต่สิ่งที่เป็นมงคล เป็นบุญกุศลล้วนๆ ไม่เที่ยวเตร่ เที่ยวชมทิพยสมบัติเหมือนดังเทวดาบางชั้น ซึ่งใครทำได้อย่างนี้ จะมีสิทธิ์ "เลือกจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ " ในยุคที่เหมาะสมพร้อมในการสร้างความดีต่อยอดไปเรื่อยๆ จนถึงพระนิพพานในที่สุด"