ไม่สามารถพูดหรือวิจารณ์พระสงฆ์ได้...กรณีที่มีข่าวเกิดขึ้น
#1
โพสต์เมื่อ 19 May 2006 - 11:22 AM
ซึ่งเดี๋ยวนี้เวลาที่มีข่าวพระสงฆ์ออกมา...หากมีใครงคนไหนพูด น้อง ๆ ก็จะรีบบอกกันว่าไม่ได้นะ พูดไม่ได้ เดี๋ยวทำอะไรจะไม่เจริญ
ถ้าเค้ายังสวมอยู่ในชุดพระสงฆ์อยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงตามข่าว ก็ยังว่าไม่ได้...ต้องรอให้สึกก่อนแล้วค่อยวิจารณ์
...อยากถามว่าเป็นความจริงหรือไม่...ทั้งกรณีของคุณเทพ...และกรณีที่น้อง ๆ คิดเช่นนั้น...จะได้นำข้อมูลไปให้น้อง ๆ ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 19 May 2006 - 10:23 PM
เพราะฉะนั้นเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปกล่าวตำหนิท่านได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม
แต่ในกรณีของคุณเทพ.. อันนี้ไม่แน่ใจค่ะ แต่ถ้ามองในแง่ของกฎแห่งกรรมแล้ว ก็มีส่วนเป็นไปได้ค่ะ เพราะเพียงแค่วจีกรรม ก็สามารถส่งผลให้ชีวิตคนๆนั้นไม่ประสบผลสำเร็จได้ทั้งชีวิตเลยค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#3
โพสต์เมื่อ 20 May 2006 - 07:23 PM
การวิจารณ์พระสงฆ์เป็นการกระทบถึงศรัทธาโดยรวมของคณะพระภิกษุสงฆ์ทั้งประเทศครับ บางคนที่ศรัทธาคลอนแคลน ไม่เข้าใจความเป็นจริงอย่างถ่องแท้ พอได้ยินว่ามีข่าวพระภิกษุบางรูปทำผิด ก็จะเหมารวมได้ว่า พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดเป็นเช่นนั้น ดังนั้น การวิจารณ์พระภิกษุสงฆ์เป็นการกระทบถึงศรัทธามหาชนในวงกว้าง
ดังนั้น ถ้าเกิดพระภิกษุนั้นทำผิดจริง ก็น่าจะไปแจ้งให้พระผู้ปกครองรับทราบ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ท่านจัดการกันเองตามพระธรรมวินัยครับ ซึ่งถ้าท่านจัดการกันเองแล้ว ศรัทธาของมหาชนโดยรวมก็ไม่กระทบครับ ดังนั้นห้ามออกข่าวในสาธารณะชนไม่ว่าในกรณีใดๆ ครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#4
โพสต์เมื่อ 20 May 2006 - 08:03 PM
อย่างนี้ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า จะทำอะไรก็เกรงใจ ผ้าเหลือง บ้าง ก็เพราะกลัวจะกระทบ
ศรัทธาโดยรวมนั่นเอง บางทีพระทำผิดจะตำหนิก็ไม่ได้ ถ้ายังใส่ผ้าเหลือง (จีวรอยู่ ) บาปทั้งนั้น
#5
โพสต์เมื่อ 20 May 2006 - 10:36 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#6
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 12:12 AM
โอวาทของคุณยายแสดงโดยผู้นำบุญท่านหนึ่งเมื่องานบุญหลายอาทิตย์ก่อน
#7
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 03:48 PM
พวกน้องสับสนหรือปล่าวครับ
แล้วถ้างั้นที่พระเจ้าอโศกสิกอลัชชีมากมายก็ผิดซิครับ
พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกโดยไม่ตีและว่ากล่าวเลย------เลี้ยงถูกหรือครับ
ผมว่าขี้นอยู่กับการวิจาร์ณว่า-----จักนำไปสู่การแก้ปัญหาและแก้ไขทั้งตัวท่านเหล่านั้นมากกว่า
หรือแค่นิททาประจานจนเกิดการเสียหายโดยส่วนรวม---อย่างนี้ผิดแน่ครับ
#8
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 05:02 PM
" หยุดเป็นตัวสำเร็จ "
#9
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 07:48 PM
ผมจึงคิดว่าในทางกลับกัน ... ถ้าทำบาปอกุศล กับภิกษแม้เป็นุผู้มีเพียงผ้ากาสายะแขวนคอ ก็จะได้ผลในทางกลับกันเช่นเดียวกันครับ
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#10
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 09:20 PM
พวกน้องสับสนหรือปล่าวครับ
ถ้าเป็นพระที่บวชถูกต้องแล้วทำผิดก็แจ้งพระผู้ปกครองมาจัดการครับ แต่ถ้าเป็นพระเก๊ ก็เช็คจากสุทธิสงฆ์ได้ แล้วให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจัดการครับ แต่การออกประโคมข่าวให้กระเทือนศรัทธาสาธุชนในวงกว้างไม่ควรทำ ไม่ว่าในกรณีใดๆ
ไม่ผิดครับ สมัยพระเจ้าอโศกมีจากสึกอสัชชีเป็นจำนวนมาก แต่อย่าลืมนะครับ ท่านทำบนพื้นฐานของเจตนาดีที่ต้องการสะสางพระศาสนาทั้งแผ่นดิน ซึ่งท่านก็มีอำนาจที่จะกระทำได้อย่างสมบูรณ์ แก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นพระอรหันต์ในยุคนั้นคอยตรวจสอบด้วย ดังนั้น การทำของท่านน่าจะเป็นการยกยอพระศาสนา
การวิพากษ์วิจารณ์ในปัจจุบัน ถ้ามองผิวเผินเหมือนการจัดการกับอลัชชี แต่ถ้ามองลึกๆ เหมือนการทำการตลาดเอาพระศาสนามาขาย หาข่าวกินมากกว่า แล้วคนที่วิจารณ์ในปัจจุบันมีความสามารถในการชำระพระศาสนาได้มากน้อยแค่ไหน หรือ ได้แค่วิจารณ์ไปวันๆ ให้คนฟังใจตก เสื่อมศรัทธาในพระศาสนาแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่สามารถทำอะไรเป็นรูปธรรมได้
ดังนั้นผมว่าการนำเหตุการณ์การสึกอลัชชีสมัยพระเจ้าอโศก กับการวิจารณ์พระ มันคนละเรื่องเดียวกัน ของพระเจ้าอโศกมีการทำเป็นรูปธรรมชัดเจน มีการตรวจสอบที่แน่ชัด แต่การวิจารณ์นั้น ได้แต่พูด พูด พูด แล้วก็พูด แต่ไม่ได้ทำอะไรเป็นรูปธรรมเลยนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#11
โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 10:02 PM
ตอบ เรื่องผลของกรรมนั้นถ้าจะให้ดีควรจะปฏิบัติสมาธิไปรู้เองเห็นเองจะดีที่สุดครับ ถึงเราจะฟังใครเขาเล่ามาว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อครับ เพราะถ้าเราเชื่อโดยที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ก็เท่ากับเรากำลังหูเบาและงมงายครับ
โดยมากในพระไตรปิฏกก็ได้มีระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วครับว่า
ถ้าใครผิดศีลข้อที่ 1 มามาก ก็จะอายุสั้น ขี้โรค ประสบอุบัติเหตุ ถูกฆ่า ถูกทำร้าย
ผิดศีลข้อที่ 2 ทรัพย์สมบัติจะวอดวาย สุญหาย ถูกโกง ถูกหลอก ทำกิจการไม่รุ่งเรือง
ผิดศีลข้อที่ 3 เป็นที่รังเกียจของบุคคลทั้งหลาย มีศัตรูมาก มีโรคภัยไข้เจ็บทางเพศ
ผิดศีลข้อที่ 4 มักจะได้ยินได้ฟังแต่คำไม่จริง คำไม่ไพเราะ มักถูกโกหกหลอกลวง
ผิดศีลข้อที่ 5 มักจะขี้ลืมหลงลืม ความจำสั้น เรียนรู้ช้า บ้า ใบ้ ปัญญาอ่อน มีความเห็นผิดๆ พลาดๆ เห็นผิดเป็นชอบติดตัวข้ามชาติ
ดังนั้นก่อนที่เราจะเชื่อสิ่งใดควรใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะเชื่อครับยึดหลักกาลามสูตรได้ก็จะยิ่งดีใหญ่เลยครับ
[๖๘] ดูกรคหบดีทั้งหลาย โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีลมี ๕ ประการ เหล่านี้ ๕ ประการเป็นไฉน
ดูกรคหบดีทั้งหลาย
คนทุศีล ผู้มีศีลวิบัติในโลกนี้ย่อมเข้าถึงความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ใหญ่หลวง เพราะเหตุแห่งความประมาท นี้เป็นโทษข้อที่ ๑ แห่งศีลวิบัติ ของคนทุศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย อนึ่ง โทษข้ออื่นยังมีอีก ชื่อเสียงอันลามกของคนทุศีล ผู้มีศีลวิบัติย่อมเฟื่องฟุ้งไป นี้เป็นโทษข้อที่ ๒ แห่งศีลวิบัติ ของคนทุศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย อนึ่ง โทษข้ออื่นยังมีอีก คนทุศีล ผู้มีศีลวิบัติ เข้าไปหาบริษัทใดๆ เช่น ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัทย่อมเป็นผู้ครั่นคร้าม ขวยเขินเข้าไปหาบริษัทนั้นๆ นี้เป็นโทษข้อที่ ๓ แห่งศีลวิบัติของคนทุศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย อนึ่ง โทษข้ออื่นยังมีอีก คนทุศีล ผู้มีศีลวิบัติ ย่อมเป็นผู้หลงทำกาละ นี้เป็นโทษข้อที่ ๔ แห่งศีลวิบัติของคนทุศีล.
ดูกรคหบดี อนึ่ง โทษข้ออื่นยังมีอีก คนทุศีล ผู้มีศีลวิบัติ เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก นี้เป็นโทษข้อที่ ๕ แห่งศีลวิบัติ ของคนทุศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีล มี ๕ ประการนี้แล.
[๖๙] ดูกรคหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีลมี ๕ ประการ เหล่านี้ ๕ประการเป็นไฉน?
ดูกรคหบดีทั้งหลาย คนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีลในโลกนี้ ย่อมได้กองโภคทรัพย์ใหญ่หลวง เพราะเหตุแห่งความไม่ประมาท นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑ แห่งศีลสมบัติ ของคนมีศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย อนึ่ง อานิสงส์ข้ออื่นยังมีอีก ชื่อเสียงอันดีงามของคนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเฟื่องฟุ้งไป นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒ แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย อนึ่ง อานิสงส์ข้ออื่นยังมีอีก คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล เข้าไปหาบริษัทใดๆ เช่น ขัตติยบริษัท พรหมณบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัท ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ขวยเขินเข้าไปหาบริษัทนั้นๆ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๓ แห่งศีลสมบัติ ของคนมีศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย อนึ่ง อานิสงส์ข้ออื่นยังมีอีก คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมไม่หลงทำกาละ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔ แห่งศีลสมบัติ ของคนมีศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย อนึ่ง อานิสงส์ข้ออื่นยังมีอีก คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีล เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕ แห่งศีลสมบัติ ของคนมีศีล.
ดูกรคหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติ ของคนมีศีล มี ๕ ประการ นี้แล.
ที่มา : http://84000.org/tip...=5&A=1742&w=ศีล
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#12
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 08:04 AM
พุทธบริษัท 4 ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนตะวันที่มีดวงเดียว
#13
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 01:10 PM
ขำไม่ได้นะคะ
ห้ามเด็ดขากเลยค่ะ
เป็นการไม่เคารพ "พระรัตนตัย"เชียวนะคะ
ที่เคยทำไปก็ลืมๆไปเสีย เพราะกลับไปแก้ไม่ได้
แต่... อย่าทำอีกนะคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#14
โพสต์เมื่อ 22 May 2006 - 03:53 PM
วันหลังถ้าได้ยินคนรอบข้าง(ที่สนิท)กล่าว/พูด.....
จะได้คอยบอกเค้าค่ะ