คนต่างศาสนาตายแล้วไปไหนครับ
#1
โพสต์เมื่อ 30 December 2007 - 09:29 PM
ผมมีข้อสงสัยครับ คือ
1.ผมอยากทราบว่าคนต่างศาสนาพุทธ เช่น คนจีน แขก
พวกแอฟริกา คนยุโรป เป็นต้น เมื่อตายไปแล้วเป็นยังไงครับ
2. ทำไมศาสนาอื่นของเขาง่ายจังครับ ทำบาปไปแล้วสามารถล้างบาปได้
แล้วการล้างบาปทำได้จริงหรือครับ
ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ
#2
โพสต์เมื่อ 30 December 2007 - 10:48 PM
1. คนตายแล้ว เป็น " ศพ "
2. ถ้าสมมุติ คุณไปตัดหัวใครเข้า หลุดออกจากกัน แล้ว เพิ่งมาคิดสำนึกได้ทีหลัง เลยเอาหัวเค้าไปต่อกลับที่เดิม แล้วบอก " โหสิ โหสิ " คุณว่ามันจะเหมือนเดิมมั้ย ???
นั่นสิ ทีบอก " ทำบุญ ทำบุญ " ทำไมยากจัง ??? เป็นงง ??? 0_o ???
#3
โพสต์เมื่อ 31 December 2007 - 06:27 AM
#4
โพสต์เมื่อ 31 December 2007 - 10:52 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#5
โพสต์เมื่อ 31 December 2007 - 09:32 PM
#6
โพสต์เมื่อ 01 January 2008 - 02:31 PM
คติความเชื่อของพุทธศาสนา นั้น ไม่ว่าท่านจะนับถือศาสนาใด ๆ
ล้วนแต่มีสวรรค์ นรก อันเดียวกันนะครับ
#7
โพสต์เมื่อ 01 January 2008 - 09:41 PM
เหมือนนำในแก้วที่มีเกลือที่แทนความเค็ม ซึ่งเกลือเปรียบเสมือนบาปอกุศลที่เราเคยทำมา และปริมาณนำเปรียบเสมือนบุญที่เราทำและสั่งสมมา --> เราไม่สามรถเอาเกลือหรือบาปอกุศลออกไปได้ (หรือไม่สามารถล้างบาปได้นั่นเอง) แต่เราสามารถเจือจางความเค็ม (หรือบาปอกุศลของเราได้) โดยการสั่งสมบุญบารมีของเรา ซึ่งจะทำให้ความเค็มถูกเจือจางลง และถ้าบุญมากจนเต็มเปี่ยม ความเค็มนั่นก็จะเหมือนหายไปเลย ..ครับ
#8
โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 12:10 AM
มนุษย์ทั้งโลก ใช้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ดวงเดียวกันทั้งโลก นรก สวรรค์ เหมือนในพระพุทธศาสนาทุกอย่างนั่นแหละครับ
แต่การสอนหารเรียกอ่านแตกต่างกัน หรือ บางความเชื่อนั้น อาจจะยังไม่มีความรู้เรื่องกฎแห่งธรรมดีเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสอนต่อๆกันมาแบนั้น สุดท้าย ทำดี ขึ้นสวรรค์ ทำชั่ว ลงนรก มีทุคติเป็นที่ไป บุญ บาป มีผลกับสรรพชีวิตทั้งหมด
ส่วนเรื่องการล้างบาปนั้น คงไม่อาจก้าวล่วงคำสอนของความเชื่อนั้นได้ แต่คงอธิบายได้เพียงว่า
.... เสมือนบาปเป็นเกลือ 1 ช้อน ใส่ลงในแก้ว เทน้ำคือบุญ ลงไป มากเท่าไหร่ บาปหรือเกลือก็จะจืดจาง ส่งผลได้น้อย แต่ไม่หายไป ตราบใดที่ยังสร้างบุญหรือเติมน้ำเรื่อย เกลือก็ไม่เค็ม บาปก็ไม่ส่งผล แต่ถ้าตราบใดที่ไม่สร้างบุญเลย น้ำไม่เติมลงในแก้วเลย ความร้อนจะค่อยๆระเหยออก จนน้ำแห้งลง เกลือก็เริ่มเค็ม ถ้าจะให้ล้างบาปจริงๆ คงต้องมีบุญชนิดพิเศษมากๆๆๆๆๆ ประเภท บรรลุธรรม หรือ บุญพิเศษมากที่ หลวงพ่อจัดให้ทำนองนั้นล่ะครับ..... คงอธิบายได้อ้อมๆแบบนี้ล่ะครับ ... แล้วแต่จะพินิจตามนะครับ อนุโมทนา
#9
โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 09:57 AM
ผลไม้ที่ไม่มีพิษ ไม่ว่า คนชาติไหน ศาสนาไหน จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่า ผลไม้นี้ไม่มีพิษ หากเขากินเข้าไป เขาย่อมไม่ต้องถูกพิษทุกคนครับ
ไฟเป็นของร้อน ไม่ว่า คนชาติไหน ศาสนาไหน จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่า ไฟร้อน เมื่อเขาจับต้องไฟ เขาย่อมต้องสัมผัสความร้อนของไฟกันทุกคนครับ
น้ำเป็นของเย็น ไม่ว่า คนชาติไหน ศาสนาไหน จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่า น้ำเป็นของเย็น เมื่อเขาจับต้องน้ำ เขาย่อมต้องสัมผัสความเย็นของน้ำกันทุกคนครับ
ชีวิตหลังความตายเป็นของสากล ไม่ว่า คนชาติไหน ศาสนาไหน จะเชื่อชีวิตหลังความตายเหมือนกัน หรือไม่ เมื่อเขาตาย เขาย่อมต้องประสบชีวิตหลังความตายที่เป็นกฎสากล เหมือนกันทุกคนครับ ไม่ว่าเขาจะเชื่อแบบพุทธ แบบคริสต์ หรือ แบบไหนๆ ก็ตาม เข้าใจไหมครับ
#10
โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 11:49 AM
ชาวพุทธถ้าทำดีไม่ทำชั่วแต่ไม่นับถือพระเจ้า ศาสนาอื่นบอกไปนรก
นี่คือสาเหตุที่ปัญญาชนตะวันตกหันมาเป็นชาวพุทธกันมากๆในปัจจุบัน
เพราะศาสนาพุทธสมเหตุสมผลและปัญญาคำสอนลึกซึ้งกว่ามากๆ
#11
โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 03:11 PM
#12
โพสต์เมื่อ 02 January 2008 - 04:26 PM
จำนวนความเห็น: 2ความคิดเห็น #7 | ผมว่านะครับ คุนไม่ได้คิดเองหรอกครับ คุณไปเอามาจาก พระ มหาสมปอง ใช้ปะครับ อนุโมทนาบุญครับ
#13
โพสต์เมื่อ 03 January 2008 - 07:01 PM
#14
โพสต์เมื่อ 04 January 2008 - 11:01 AM
ได้ยินหลวงพ่อทัตตะ เทศน์มามากกว่า ๒๐ ปีแล้วครับ
#15
โพสต์เมื่อ 04 January 2008 - 12:44 PM
ด้วยความเคารพ
หยุดสงสัย และ ตั้งใจปฏิบัติ
#16
โพสต์เมื่อ 05 January 2008 - 12:43 PM
ทำไมผมถึงกล้าบอกกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะ หากเราทุกคนลองย้อนนึกไปถึงตอนสมัยที่เรายังเป็นเด็กทารก เราจะพบว่า เราไม่มีความรู้อะไรติดตัวเรามาเลย ความรู้ต่างๆ เราล้วนได้มาจากผู้อื่นในภายหลังทั้งสิ้นครับ
บางอย่างแม้เราจะอ้างว่า เราคิดได้เอง แต่ความจริงแล้ว ก็เป็นการคิดได้เอง โดยอาศัยพื้นฐานความรู้ของผู้อื่นที่เราได้รับมาก่อนทั้งสิ้น
อุปมาเหมือน แม่ส่งก้อนหิน 7 สีให้ลูกเล่นทีละลูก ไม่ว่าลูกจะบอกว่า เขาลองยื่นลูกสีแดงคืนให้แม่ หรือ เขาจะบอกว่า เขาคิดเอง โดยการยื่นลูกสีแดง และสีน้ำเงินให้แม่พร้อมๆ กันเลย (ตอนแม่ส่งให้เขาส่งทีละลูก แต่เขาคิดใหม่ยื่นให้แม่ทีเดียว 2 ลูก) เราก็ไม่อาจบอกได้หรอกครับว่า เขาคิดได้เอง เพราะเขาก็มีลูกหินอยู่แค่ 7 ลูกเหมือนเดิม
แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เดิมแม่ยื่นก้อนหินให้ลูก 7 สี แต่ลูกไปคิดค้นขึ้นมาใหม่ สามารถพัฒนาก้อนหินสีที่ 8 ขึ้นมาได้ อย่างนี้สิครับ จึงจะเรียกว่า คิดได้เอง
ซึ่งบุคคลที่ทำได้เช่นนี้ ในโลกนี้มีอยู่เพียงคนเดียว คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ พระองค์ตรัสรู้ธรรมได้โดยพระองค์เองโดยไม่มีใครสอน
#17 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 18 February 2008 - 10:19 PM