* ทางหนึ่งแสวงหาลาภ ทางหนึ่งไปนิพพาน รู้อย่างนี้แล้ว ภิกษุพุทธสาวก
ไม่ควรไยดีลาภสักการะ ควรอยู่อย่างสงบ
* พราหมณ์เอย ท่านจงพยายามหยุดกระแส (ตัณหา) และบรรเทากามทั้งหลายเสีย พราหมณ์เอย
เมื่อท่านรู้ความสิ้นไปแห่งสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย ท่านก็จะรู้สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง (นิพพาน)
* ผู้ที่ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะละบาปได้ ชื่อว่าสมณะ เพราะมีจรรยาสงบ ชื่อว่าบรรพชิต เพราะละมลทินได้
* ผู้ที่ตัดชะเนาะ (ความโกรธ) เชือกหนัง (ตัณหา) เชือกป่าน (ความเห็นผิด) พร้อมทั้งอนุสัยกิเลส
ถอดลิ่มสลัก (อวิชชา) รู้แจ้งอริยสัจแล้ว เราเรียกว่า พราหมณ์
* ท่านผู้ใดควบคุมอินทรีย์คือ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ได้ เหมือนม้าที่สารถีควบคุมได้อย่างดี
ท่านผู้นี้หมดความไว้ตัว หมดกิเลส มั่นคง ย่อมเป็นที่โปรดปราน แม้กระทั่งของเทวดาทั้งหลาย
* ผู้ไม่มีความยึดถือทั้งเบื้องต้น (อดีต) ท่ามกลาง (ปัจจุบัน) ที่สุด (อนาคต)
ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เราเรียกว่า พราหมณ์
* ผู้ไม่เชื่อใครง่ายตนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตนเอง ๑ ผู้รู้แจ้งพระนิพพาน ๑ ผู้หมดการเวียนว่ายตายเกิด ๑
ผู้หมดโอกาสที่จะทำดีหรือชั่ว ๑ ผู้หมดกิเลสที่ทำให้หวัง ๑ ห้าประเภทนี้แล เรียกว่า "ยอดคน"
* ผู้ใดละบุญละบาปทุกชนิด ครองชีวิตประเสริฐสุด อยู่ในโลกมนุษย์ด้วยปัญญา ผู้นี้แลเรียกว่า ภิกษุ
* พระสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า ผู้รำลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ รำลึกถึงสภาพเป็นจริงของร่างกาย ผู้มีใจยินดีในความไม่เบียดเบียน ผู้มีใจยินดีในภาวนา เป็นนิจศีลทั้งกลางวัน กลางคืน ตื่นดีแล้วเสมอ
* การสละโลกียวิสัยออกบวช ก็ยาก การจะยินดีในเพศบรรพชิต ก็ยาก การครองเรือนไม่ดี เป็นทุกข์
การอยู่ร่วมกับผู้ไม่เสมอกัน ก็เป็นทุกข์ ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ไม่ควรท่องเที่ยวในสังสารวัฏ และไม่ควรแส่หาความทุกข์ใส่ตน
* ผู้ที่มองเห็นโลก ว่าไม่จีรังและหาสาระอะไรมิได้ เช่นเดียวกับคนมองฟองน้ำและพยับแดด
คนเช่นนี้พญามารย่อมตามหาไม่พบ
* ความไม่ประมาท เป็นทางอมตะ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
ผู้ไม่ประมาท ไม่มีวันตาย ผู้ประมาท ถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว
* ท่านผู้ฉลาดเหล่านั้น หมั่นเจริญกรรมฐาน มีความเพียรมั่นอยู่เป็นนิจศีล
บรรลุพระนิพพานอันเป็นสภาวะที่สูงส่ง อิสระจากกิเลสเครื่องผูกมัด
* ด้วยความขยัน ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความสำรวมระวัง และด้วยการข่มใจตนเอง
ผู้มีปัญญาควรสร้างเกาะ(ที่พึ่ง)แก่ตนเอง ที่ห้วงน้ำ(กิเลส) ไม่สามารถท่วมได้
* ควรละความโกรธ และมานะ เอาชนะกิเลสเครื่องผูกมัดทุกชนิด
ผู้ที่ไม่ติดอยู่ในรูปนาม หมดกิเลสแล้ว ย่อมคลาดแคล้วจากความทุกข์
* ผู้ใดยับยั้งความโกรธที่เกิดขึ้นได้ทันที เหมือนสารถีหยุดรถที่กำลังแล่นไว้ได้
ผู้นั้นไซร้เราเรียกว่า "สารถี" ส่วนคนนอกนี้ได้ชื่อเพียง "ผู้ถือเชือก"
* พึงเอาชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ พึงเอาชนะความร้าย ด้วยความดี
พึงเอาชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้ พึงเอาชนะคนพูดพล่อย ด้วยคำสัตย์
* อย่าติดอยู่ในสิ่งที่เรารัก หรือไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก เป็นทุกข์ การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์ * ที่ใดมีของรัก มีความรัก มีความยินดี มีความใคร่ มีความทะยานอยาก ที่นั่นมีโศก ที่นั่นมีภัย เมื่อไม่มีของรัก ไม่มีความรัก ไม่มีความยินดี ไม่มีความใคร่ ไม่มีความทะยานอยากเสียแล้ว โศก ภัย ก็ไม่มี
* ไม่มีไฟใดเสมอด้วยราคะ ไมีมีโทษใดเสมอด้วยโทสะ ไม่มี ข่ายดักสัตว์ใด เสมอโมหะ ไม่มี แม่น้ำใด เสมอตัณหา ไม่มีทุกข์ใดเสมอด้วยเบญจขันธ์ ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบ
* ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง ความรู้จักพอ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ความไว้วางใจกัน เป็นญาติอย่างยิ่ง พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
* มารย่อมไม่สามารถทำลายบุคคล ผู้ไม่ตกเป็นทาสของความสวยงาม รู้จักควบคุมการแสดงออก
รู้ประมาณในโภชนาหาร มีศรัทธา และมีความขยันหมั่นเพียร เหมือนลมไม่สามารถพัดโค่นภูเขา
* จิตควบคุมยาก เปลี่ยนแปลงเร็ว ใฝ่ในอารมณ์ตามที่ใคร่ ฝึกจิตเช่นนั้นได้เป็นการดี
เพราะจิตที่ฝึกดีแล้ว นำความสุขมาให้
* ผู้มีสติตื่นตัวอยู่เนืองนิตย์ มีจิตเป็นอิสระจากราคะและโทสะ ละบุญและบาปได้ ย่อมไม่กลัวอะไร
* เราจักอดทนต่อคำเสียดสีของคนอื่น เหมือนพญาคชสาร ในสนามรบ
ทนลูกศรที่ปล่อยออกไปจากคันธนู เพราะว่าคนโดยมาก ทุศีล
* มีเพื่อนตาย ก็มีความสุข ยินดีเท่าที่หามาได้ ก็มีความสุข
ทำบุญไว้ถึงคราวจะตายก็มีความสุข ละทุกข์ได้ทั้งหมด ก็มีความสุข
* ปฏิบัติชอบต่อมารดา ก็เป็นสุข ปฏิบัติชอบต่อบิดา ก็เป็นสุข
ปฏิบัติชอบต่อสมณะ ก็เป็นสุข ปฏิบัติชอบต่อพระผู้ประเสริฐ ก็เป็นสุข
* ศีลให้เกิดสุข ตราบเท่าชรา ศรัทธา ที่ตั้งมั่นแล้ว ให้เกิดสุข
ปัญญา ได้มาแล้ว ให้เกิดสุข การไม่ทำบาปทั้งหลาย ให้เกิดสุข
* กฤษณา หรือจันทน์ มีกลิ่นหอมน้อยนัก แต่กลิ่นหอมของท่านผู้ทรงศีลประเสริฐนัก
หอมฟุ้งกระทั่งถึงทวยเทพยดา
* ตนทำบาปเอง ตนก็เศร้าหมองเอง ตนไม่ทำบาปตนก็บริสุทธิ์เอง
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะให้คนอื่นบริสุทธิ์แทนไม่ได้
* เมื่อรากยังแข็งแรง ไม่ถูกทำลาย ต้นไม้แม้ที่ถูกตัดแล้ว ก็งอกได้ใหม่ฉันใด
เมื่อยังทำลายเชื้อตัณหาไม่ได้หมด ความทุกข์นี้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้เรื่อยไปฉันนั้น
* จงปล่อยวางทั้งอดีตอนาคตและปัจจุบัน และอยู่เหนือความมีความเป็น
เมื่อใจหลุดพ้นจากทุกอย่างแล้ว พวกเธอจักไม่เกิดไม่แก่อีกต่อไป
* พระอรหันตฺผู้ลุถึงจุดหมายปลายทางแล้ว หมดความสุดุ้ง หมดกิเลสตัณหาแล้ว
หักลูกศรคือกิเลสประจำภพแล้ว ร่างกายนี้เป็นร่างสุดท้ายของท่าน
* ธรรมทาน ชนะทานทุกอย่าง รสพระธรรม ชนะรสทุกอย่าง
ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทุกอย่าง ความสิ้นตัณหา ชนะทุกข์ทุกอย่าง
* ยอดแห่งมรรคา คืออัษฎางคิกมรรค ยอดแห่งสัจจะ คืออริยสัจสี่ประการ
ยอดแห่งธรรม คือความปราศจากราคะ ยอดแห่งมนุษย์ คือพระผู้เห็นแจ้ง
* "สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยงแท้" "สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์" "ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา" เมื่อใด บุคคลเห็นแจ้งด้วยปัญญาดังนี้ เมื่อนั้น เขาย่อมหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์
* พึงระวังวาจา พึงสำรวมใจ ไม่พึงทำบาปทางกาย พึงชำระทางกรรมทั้งสามนี้ให้หมดจด
* ปัญญาเกิดมีได้ เพราะตั้งใจพินิจ เสื่อมไป เพราะไม่ได้ตั้งใจพินิจ
เมื่อรู้ทางเจริญและทางเสื่อมของปัญญาแล้ว ควรจะทำตนโดยวิถีทางที่ปัญญาจะเจริญ
* ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงถางป่า (ราคะ) แต่อย่าตัดต้นไม้ (จริงๆ) ภัยย่อมเกิดจากป่า (ราคะ)
พวกเธอทำลายป่า และพุ่มไม้เล็กๆ (ราคะ) ได้แล้ว จักเป็นผู้ไม่มีป่า (ราคะ)
* ตราบใดบุรุษยังตัดความกำหนัด ต่ออิสตรีแม้นิดหน่อยยังไม่ขาด
ตราบนั้น เขาก็ยังคงมีจิตผูกพันอยู่ในภพ เหมือนลุกโคยังไม่หย่านมติดแม่โคแจฉะนั้น
* หญ้าคา ที่จับไม่ดี ย่อมบาดมือได้ ฉันใด พรหมจรรย์ที่ประพฤติไม่ดี ย่อมลากลงสู่นรก ฉันนั้น
* ขันติคือความอดทน เป็นตบะอย่างยอด นิพพาน ท่านผู้รู้กล่าวว่าเป็นยอด
ผู้ที่ยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ ไม่จัดว่าเป็นบรรพชิต ผู้ที่ยังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ ไม่จัดว่าเป็นสมณะ
* ไม่ว่าร้ายใคร ไม่กระทบกระทั่งใคร ระมัดระวังในปาติโมกข์ บริโภคพอประมาณ อยู่ในสถานสงัด
ฝึกหัดจิตให้สงบ นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
* ถึงแม้เงินตราจะไหลมาดังห่าฝน ความอยากของคนก็หาอิ่มไม่ กามวิสัยทั้งหลายมีความสุขจริงๆน้อย
เต็มไปด้วยความทุกข์สารพัด รู้ชัดดังนี้แล้ว สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย่อมไม่ยินดีในกามารมณ์แม้ที่เป็นทิพย์ หากแต่ยินดีในทางสิ้นกิเลสตัณหา
* ผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจด้วยปัญญาชอบ คือ
ทุกข์, เหตุของทุกข์, ความดับทุกข์ และ อริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางดับทุกข์ นั่นแลคือที่พึ่งอันปลอดภัย นั่นคือที่พึ่งอันสูงสุด คนเราอาศัยที่พึ่งชนิดนั้น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
* การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายให้เกิดสุข การแสดงพระสัทธรรมให้เกิดสุข
ความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข ความพยายามของหมู่ที่พร้อมเพรียงกันให้เกิดสุข
* ภิกษุผู้ไปสู่ที่สงัด มีใจสงบ เห็นแจ้งพระธรรมโดยชอบ ย่อมได้รับความยินดี ที่สามัญมนุษย์ไม่เคยได้ลิ้มรส
* ความเสื่อมของมนตรา อยู่ที่การไม่ทบทวน ควาามเสื่อมของเรือน อยู่ที่ไม่ซ่อมแซม
ความเสื่อมของความงาม อยู่ที่เกียจคร้านตบแต่ง ความเสื่อมของนายยาม อยู่ที่ความเผลอ
* ไม่มี รอยเท้าในอากาศ ไม่มี สมณะนอกศาสนานี้ ไม่มี สังขารที่เที่ยงแท้ ไม่มี ความหวั่นไหวสำหรับพระพุทธเจ้า
* ถึงจะแต่งกายแบบใด ๆ ก็ตาม ถ้าใจสงบระงับ ควบคุมตัวได้
มั่นคง บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบีนคนอื่น เรียกว่า พราหมณ์ สมณะ หรือ ภิกษุ
* บุคคลย่อมข้ามห้วงน้ำได้ด้วย ศรัทธา
ย่อมข้ามมหาสมุทรได้ด้วย ความไม่ประมาท
ย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วย ความเพียร
ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วย ปัญญา.
* จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรรหมจรรย์ เพื่อสำรอกราคะ.... เพื่อละสังโยชน์.... เพื่อถอนอานุสัย.... เพื่อรู้รอบสังสารวัฎอันยืดยาว.... เพื่อความสิ้นอาสวะ.... เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชชาและวิมมุติ.... เพื่อญาณทัศนะ.... เพื่อปรินิพพานอันปราศจากอุปทาน....
Weekend-Dhamma
เริ่มโดย ThDk, Mar 16 2007 12:10 PM
ไม่มีการตอบกลับในกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 16 March 2007 - 12:10 PM
โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน
โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่
โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง
โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.
- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้