อยากทราบเรื่องเกี่ยวกับไดโนเสาร์ครับ
#1 *หนุ่ย*
โพสต์เมื่อ 07 October 2005 - 01:17 PM
ขอบพระคุณมากครับ
#2
โพสต์เมื่อ 08 October 2005 - 07:44 AM
http://www.dmc.tv/fo...p?showtopic=733
#3 *anจี้*
โพสต์เมื่อ 10 October 2005 - 10:16 AM
1. ถ้าไดโนเสาอยู่ในยุคที่เรียกว่ามิคสัญญีจริง คือยุคที่มีการฆ่ากัน มีมนุษย์หน้าเหมือนลิงอะไรแบบนี้ แสดงว่านั่นเป็นสัญญานการสิ้นสุดของกัปไขลงแล้วสิครับ สังเกตุว่าในกระทู้เขียนว่าหลังจากนั้นมนุษย์เริ่มหันมารักษาศีล แล้วอายุก็ยืนขึ้น
2. นั่นหมายความว่ายุคนี้จะเป็นยุคกับไขขึ้นสิคะ ซึ่งมันไม่น่าใช่ เพราะอายุเฉลี่ยเราสั้นลง 1 ปี ในทุก 100 ปี อีกทั้งหลายตำราก็บอกว่ากัปนี้เป็นไขลง (อันนี้ถ้าผิดก็ชี้แนะด้วยค่ะ)
3. ถ้าจะบอกว่าช่วงระหว่างยุคไดโนเสากับยุคเรา มีอีกกัปหนึ่งแทรกอยู่ ก็ไม่น่าใช่ เพราะเราห่างจากยุคไดโนเสาแค่ล้านปี ไม่น่าจะมีกัปแทรกระหว่างนี้ ช่วงอธิบายหน่อยด้วยนะคะ
แองgie ค่ะ
เป็นกระทู้เก่าใน dmc น่ะครับ นี่ผมลองค้นหาใน google ได้มาดังข้างล่างนี้
http://www.dmc.tv/fo...p?showtopic=733
#4
โพสต์เมื่อ 10 October 2005 - 10:28 PM
ยุคของไดโนเสาร์ไม่ใช่แค่ล้านกว่าปีที่แล้ว
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผมจะไม่เอามาพูดล่ะ
ลองเข้าไปศึกษาดูเอาเองดีกว่าครับ ยกตัวอย่างเว็บด้านล่างนี้
http://web.ku.ac.th/...snet4/dinosaur/
http://www.dmr.go.th...ht/TI2dinhD.htm
หรือ search google คำว่า "ไดโนเสาร์" หรือ "dinosaur"
#5
โพสต์เมื่อ 11 October 2005 - 02:25 PM
ไม่ว่าจะไดโนเสาจะอยู่เมื่อ 60 ล้าน หรือ 500 กว่าล้านปีก่อนก็ตาม ก็ไม่น่ามีกัปอื่นๆแทรำอยู่นะคะ
จริงๆ อันนี้เกี่ยวกับปัญหาที่ดิฉันสงสัยอีกอันหนึ่งด้วยว่ากัปเราเป็นไขลงใช่มั้ยคะ ถ้าใช่ มนุษย์ก็ควรมีอายุลดลงจาก 100000ปี ลงมาเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าเราน่าจะมีอารยธรรมของมนุษย์ที่อายุ ประมาน 200ปี หรือ 300 ปีสิคะ นี่ทำไมเหมือนไม่มีอารยธรรมของบรรพบุรุษเราเหลือเลย งงมั้ยคะ ถ้างง ดิฉันโรไปอธิบายให้ก็ได้ให้ทิ้งเบอร์ไว้
angie
คุณ anจี้ เข้าใจผิดแล้วครับ
ยุคของไดโนเสาร์ไม่ใช่แค่ล้านกว่าปีที่แล้ว
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผมจะไม่เอามาพูดล่ะ
ลองเข้าไปศึกษาดูเอาเองดีกว่าครับ ยกตัวอย่างเว็บด้านล่างนี้
http://web.ku.ac.th/...snet4/dinosaur/
http://www.dmr.go.th...ht/TI2dinhD.htm
หรือ search google คำว่า "ไดโนเสาร์" หรือ "dinosaur"
#6
โพสต์เมื่อ 11 October 2005 - 02:35 PM
นั่นก็คือ
มนุษย์อายุขัย 1 อสงไขยปี ----> ยุคไดโนเสาร์ ----> ยุคเรา ----> มนุษย์อายุขัยเฉลี่ย 10 ปี (มิคสัญญี)
ตอนนี้เราอยู่ในช่วงไขลงครับ...
นั่นก็คือสมัยไดโนเสาร์ ก็จะมีมนุษย์อยู่ด้วยครับ และมนุษย์ในอดีต ร่างกายจะสูงใหญ่กว่านี้ แต่จะสูงเท่าไดโนเสาร์หรือไม่ มิอาจทราบได้ครับ เพราะนักวิทยาศาสตร์ยังขุดไม่เจอซากกระดูกของมนุษย์โบราณ
สำหรับท่านที่อาจจะยังไม่รู้นะครับ
1 กัป = โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป... ประกอบด้วย 256 อันตรกัปย่อย ใน 1 กัป จะมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นตั้งแต่ 0 ถึง 5 พระองค์ กัปป์ที่เราอยู่เรียกว่าภัทรกัป มีพระพุทธเ้จ้ามาบังเกิดขึ้นถึง 5 พระองค์
ส่วนระยะเวลา 1 อันตรกัป ก็คือ
ระยะเวลาที่มนุษย์มีอายุ 1 อสงไขยปี (แปลว่านับจำนวนปีไม่ได้) ทุกๆ ร้อยปี มนุษย์จะมีอายุขัยเฉลี่ยลดลง 1 ปี เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งมนุษย์อายุขัยเฉลี่ย 10 ปี (เรียกว่ายุค มิคสัญญี) ซึ่งจะมี 7 วัน ที่มนุษย์ฆ่ากันตายหมด แต่มีมนุษย์บางกลุ่มที่เห็นภัยในศึกสงคราม ไปหลบอยู่ในถ้ำที่ปลอดภัย เมื่อเห็นผลจากสงคราม ก็เกิดความสลดใจ จึงเร่งทำความดี จนครบ 100 ปี อายุขัยเฉลี่ยๆ ก็จะเพิ่มทีละ 1 ปี ไปเรื่อยๆ ไปจนถึงยุคอสงไขยปีอีกครั้ง อันนี้เรียกว่า ไขขึ้นครับ
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#7
โพสต์เมื่อ 12 October 2005 - 02:37 AM
๑ กัป หากคำนวณเทียบเป็นเวลาแล้ว จะเท่ากับ บ่อรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ภายในบ่อบรรจุเต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด เมื่อเวลาผ่านไปทุกๆ ๑oo ปี จึงหยิบออก ๑ เมล็ด ทำเช่นนี้กระทั่งหมดบ่อ จึงเทียบเป็นเวลาได้ ๑ กัป
สำหรับมหากัปนั้น มีวิธีในการคำนวณดังนี้ คือ
๑ รอบอสงไขยปี (ไขขึ้น-ไขลงครบ ๑ คู่) คิดเป็น ๑ อันตรกัป
๖๔ อันตรกัป เท่ากับ ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป เท่ากับ ๑ มหากัป
เพราะฉะนั้น ๑ มหากัป จึงเท่ากับระยะเวลาทั้งหมด ๒๕๖ อันตรกัป ครับ
หมายเหตุ; คำว่า "อสงไขยปี" เทียบเป็นระยะเวลาเท่ากับ ๑o ยกกำลัง ๑๔o (คนละอย่างกับคำว่า "อสงไขยกัป" นะครับ)
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 12 October 2005 - 03:09 AM
ผมเอามาจากจักรวาลวิทยาบทที่ 4 น่ะครับ หน้า 78 (หน้า 6 ในฉบับ)
แต่ผมสะกดคำว่ากัปผิด ผมไปเขียนว่ากัปป์ ต้องขออภัยด้วยครับ
"ดูก่อนภิกษุ เหมือนอย่างว่า นครที่ทำด้วยเหล็กยาวหนึ่งโยชน์ กว้างหนึ่งโยชน์ สูงหนึ่งโยชน์ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดในกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไปหมดไป เพราะความพยายานี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไปหมดไป กัปนานอย่างนี้แล"
อีกอุปมาหนึ่งใน ปัพพสูตร ว่า
"ดูก่อนภิกษุ เหมือนอย่างว่า ภูเขาหินลูกใหญ่ยาวโยชน์หนึ่ง กว้างโยนช์หนึ่ง สูงโยชน์ ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทับ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสีมา แล้วปัดภูเขานั้น 100 ปี ต่อครั้ง ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงถึงการหมดไป สิ้นไป กัปนานอย่างนี้แล"
ดังนี้จะเห็นว่านิยามของคำว่ามหากัป ในหนังสือจักรวาลวิทยา จะตรงกับคำว่ากัปของน้องก้องที่บอกว่าคนชอบใช้สลับกับคำว่ามหากัป จริงๆ แล้วผมเข้าใจมาตลอดว่าถ้าพูดถึงคำว่ากัปเฉยๆ ให้ตีความหมายว่าเป็นมหากัป ซึ่งผมอาจจะเข้าใจผิด ตามที่น้องก้องบอก แต่ว่าตามนิยามในหนังสือจักรวาลวิทยา เขาก็ใช้คำว่ากัป กับมหากัป แทนกัน น่ะครับ
ถ้าอย่างนั้น กัป เฉยๆ จะใช้เมื่อไหร่ครับ?
ตอนนี้ผมอ่านจักรวาลวิืทยานี้อีกรอบ แล้วก็เข้าใจดังนี้ว่า
กัปเป็นคำพูดกลางๆ
4.2.1 อายุกัปป์ หมายถึง อายุขัยของสัตว์ที่เกิดในภูมินั้นๆ และโลกมนุษย์เรานี้ เมื่อพุทธกาล คนส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 100 ปี ก็นับเอา 100 ปี เป็นอายุกัป ปัจจุบันอายุมนุษย์เฉลี่ย 75 ปี ก็นับเอา 75 ปี เป็นอายุกัป ในส่วนเทวภูมิ เช่น จาตุมหาราชิกามีอายุขัย 500 ปีทิพย์ ก็นับเอาจำนวนดังกล่าวเป็นอายุกัป แม้ในภูมิอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
4.2.2 อันตรกัป มีวิธีนับดังนี้คือ เมื่อสมัยต้นกัป มนุษย์มีอายุยืนถึง 1 อสงไขยปี ต่อมามนุษย์อายุลดลงตามอำนาจอกุศลกรรม ลดลงเรื่อยๆ จนถึงอายุ 10 ปี แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกุศลกรรม จนถึงอสงไขยปี ครบเวลาไขอายุลง และไขอายุขึ้นอีกรอบหนึ่ง เรียกระยะเวลาดังกล่าวว่า 1 อันตรกัป
4.2.3 อสงไขกัป จำนวนเวลาของอันตรกัป ที่กล่าวข้างต้น 64 อันตรกัป เรียกว่า 1 อสงไขยกัป มีปรากฏในกัปปสูตร ว่าด้วยอสงไขย 4 แห่งกัป คือ สังวัฏอสงไขยกัป, สังวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป, วิวัฏอสงไขยกัป, วิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป
4.2.4 มหากัปป์... ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น...
ขอความกรุณาชี้แจงด้วยครับ
จริงๆ แล้วผมควรจะใช้คำว่ามหากัป ใช้ชัดเจนไปเลยน่าจะตัดปัญหาทั้งหมดครับ แหะๆ
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#9
โพสต์เมื่อ 12 October 2005 - 04:29 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#10
โพสต์เมื่อ 13 October 2005 - 01:13 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#11
โพสต์เมื่อ 10 May 2006 - 03:08 PM
http://www.kalyanami...?bmb=4&dmd=1#41
#12
โพสต์เมื่อ 04 February 2007 - 04:57 PM