ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

กอล์ฟ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 06 April 2007 - 11:57 AM

nerd_smile.gif ..คือว่าผมชอบเล่นกอล์ฟมากครับ ยังตัดใจไม่ได้
เหมือนกับตัดใจจากแฟน แล้วออกบวช นั่นแหละครับ

คิดว่าถ้าตัดใจเลิกเล่นกอล์ฟ คงมีเวลานั่งธรรม มากขึ้น
มีเวลาให้กับคนรัก และมีเวลามาวัด

และมีผู้รู้ได้รจนา เปรียบเทียบ ธรรมะ กับการเล่นกอล์ฟ
ไว้ดังที่ผมได้นำมาให้นักปราชญ์ DMC-Club พิจารณา ครับ

ผมขอคำแนะนำที่ดี จากนักปราชญ์ในห้อง DMC แนะนำให้ผม
ตีใจออกห่างจาก สัญญา จากกอล์ฟด้วยครับ

....................................................................................................................
เพื่อนผมหลายคนเล่นกอล์ฟ และ เมื่อมาฝึกจิต สร้างสติ ผลก็คือ ตั้งแต่ ฝึกสติ ทำให้ แต้มดีขึ้นอย่างมากมาย เพราะ จิตสงบ ใจนิ่ง อย่างไรก็ตาม การเล่นกอล์ฟ เล่นกีฬาใด ก็ดีขึ้น หากร่างกายแข็งแรงเท่าเดิมนะครับ

การเล่นกอล์ฟ มีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย แต่ ในหลักการฝึกธรรมะนั้น เราจะเอาข้อเสีย มาแปลงเป็นข้อดี เอาวิกฤตมาเป็นโอกาส ไหนๆ เราก็ไม่มีเวลาไปวัด เราก็เอาสนามกอล์ฟเป็นวัดเสียเลย
ด่านแรก ผ่านด่านขออนุญาตคู่ครองไปเล่น
ด่านนี้ฝึกยากที่สุด เพราะ ในอดีต เราคงได้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับเขาไว้มากมาย เราเอาเวลาที่ควรให้ครอบครัว พบหน้ากันพ่อแม่ลูก เราเอาไปให้กับก๊วนตีกอล์ฟของเรา
ด่านนี้ เมื่อโดน เมียด่า ให้รีบดูจิต ให้ทัน เราเริ่มรำคาญเมีย ตอนไหน ตอนคำพูดไหน เราสังเกต”สัญญา” ที่เรา ตีความเอาเอง ปรุงแต่ง(สังขาร) เอาเองต่างๆนานาๆไหม เช่น เมียอาจจะพูดแบบไม่ตั้งใจ เช่น “ออกแต่เช้านะพี่” แต่ หูของเรา ใจของเรา มีอคติ เราตีความ (ปรุงแต่ง) เอาเอง เวทนา(ทุกข์) ก็เกิดขึ้น จิตก็เกิดอาการ ไปตาม สัญญา ตามการปรุงแต่ง(สังขาร) นั้นๆ สติที่อ่อนไม่สามารถควบคุมจิตที่เป็นอกุศลได้ เราก็เลย ปล่อย วาจา และ ภาษากาย( กระแทก กระทั้น งอน ) เช่น “ ทำไม ....หุบปาก” ออกหางเสียงที่ไม่เป็นมิตร
ถ้าคู่ครอง ลูก หลาน ญาติ ของเรา โดนเรา ตอกกลับแบบนั้น และ เขาไม่ได้ฝึกจิต ตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 มาก่อน เขา ก็สติอ่อน จิตเกิดอกุศล เขาก็จะสวนเรากลับมา อย่างสาสมกัน จิตเกิดกันทั้งสองฝ่าย สามฝ่าย (ถ้ามี)
นี่แหละ ต้นตอ ของการทะเลาะเบาะแว้งกัน อันจะนำมาสู่เรื่องทะเลาะอื่นๆต่อไป เพราะ สังขาร เพราะ ทนเวทนาไม่ได้
จึงขอฝากนักกอล์ฟว่า ดูจิตให้ทัน และ ควบคุมสติให้ดี ตั้ง สติให้ดี จึง ขออนุญาต หรือ ไม่ไปเล่นก็ได้ เพราะ การทำหน้าที่ของสมมติ( ในที่นี้ คือ หน้าที่ของ คู่ครอง ของพ่อแม่ ของลูกหลาน) ได้ไม่ดี โอกาสที่จะบรรลุธรรม จะน้อยลงไปทันที เพราะ มรรค 8 คือ สัมมาอาชีโว (ทำอาชีพเหมาะสม ) บกพร่อง
อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้ เอาตำราเล่มนี้ ให้คู่ครองของท่านอ่านด้วย ให้เขาฝึกจิต ปลงสักหน่อย จะได้เข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น

ด่านสอง สอนคู่ครองตีกอล์ฟ
สอนใครสอนได้ สอนเมีย สอนผัว ให้ตีกอล์ฟ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะ ปัญหาอยู่ที่”ใจ” ของทั้งคนสอน และ คนเรียน นั่นแหละครับ สติ ไม่สามารถควบคุมใจได้ การเรียนการสอน ก็ล้มเหลว และ อาจจะลงเอย ด้วยการทะเลาะ เรื่องอื่นๆ ตามแต่ จะขุดกันออกมา ( ขุดออกมาจาก สัญญา)
พอ เรา (คนสอน) เห็น การตีที่ผิดไปจากที่สอนไว้ สัญญาของเรา จะบอกว่า นี่ผิด ตอนนี้เองที่ จิตเกิด โดยเราไม่รู้ตัว เวทนาเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์ เกิดขึ้นแล้ว กล้ามเนื้อบางมัดของเราเกิดอาการเกร็งแล้ว ( ในมหาสติปัฏฐาน 4 มี สี่ฐาน ที่เราต้องหมั่นพิจารณา คือ ฐานของ กาย เวทนา จิต ธรรม) กล้ามเนื้อเกิดอาการ เป็น เรื่องของ กายในกาย เวทนาที่เกิดเป็นเรื่องของเวทนา จิตเกิดอกุศลจิต เป็นเรื่องของจิต ธรรมที่เกิด คือ นิวรณ์ เช่น เบื่อ แค้น สงสัย ลังเลย ติดกาม
หาก เราหมั่นพิจารณา รู้ทัน (สติ คือ การรู้เท่าทัน) ว่า สี่ฐาน ดังต่อไปนี้ กาย เวทนา จิต ธรรม ( อย่างไหนเกิดก่อน รู้ทันก่อนก็ได้ หรือ จะรู้ทั้ง 4 เลยก็ได้)
เราจะเห็นได้ว่า แม้นการ ฝึกให้ใครเล่นกอล์ฟ เราก็ฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 ของเราไปด้วย คือ เราได้ สร้างสติ คนเรียนกอล์ฟ ได้ ความรู้เรื่องกอล์ฟ เราได้ มหาสติ
คนเรียน ก็เช่นกัน บางที คนสอน เขาพูดธรรมดาๆ พูดตรงๆ แต่ สัญญา สังขาร ของเมีย จะปรุงแต่งเร็วมาก และตีความว่า การพูดแบบนี้ คือ ด่า ปรุงแต่งว่า เขาว่าฉันโง่ ฉันโง่กว่าเขาไม่ได้ เสียฟอร์ม ( การมีฟอร์ม คือ มีอัตตา มีตัวตน ) ดังนั้น เวทนาจึงเกิดขึ้น นิวรณ์เกิดขึ้น จิตเป็นอกุศล กล้ามเนื้อบางกล้ามเกร็งตึง เช่น หน้าแดง หูชา ใจสั่น แน่นออก และ เพื่อ ลดทุกข์ดังเกล่า สังขาร ปรุงแต่งว่า ให้ “ด่ากลับไป” นี่แหละ อกุศลได้เกิดขึ้นแล้ว จิตเกิดแล้ว
คราวหน้า หากจิตเกิด ก็ให้ รีบ”ตบ” จิต ให้นิ่งให้สงบ เอาสติ ไปทำงานแทน ให้ตามดู รู้เท่าทันการทำงานของขันธ์ห้า มันก่อตัว มันปรุงแต่ง มันสร้างทุกขเวทนา อย่างไร



ด่านสาม หลุมแรก ฝึกจิตง่าย
การขึ้นตีหลุมแรกนั้น ขอให้หัดสังเกต อาการของใจ ให้ดีๆ ขยะทางความคิด ต่างๆ ความกังวลต่างๆ เพราะ การตีออก ที่หลุมแรก มีคนดูมากมาย เล่นเสียฟอร์มก็ไม่ได้ ดังนั้น ความคิดขาจรต่างๆ จะผุดขึ้นมา จนจิตเราเกิด
ลองฝึก แยก ความคิด สติ และ จิตให้ได้ นั่นคือ เอาสติ ไปตีกอล์ฟ อย่าเอาจิตไปตี



ด่านสี่ คนโลภ จะหัวไม่นิ่ง
ตอนที่เรา จรดไม้ และ เหวี่ยงไม้ ลงมาเพื่อกระทบลูก บ่อยครั้ง ที่เราโลภ อยากเห็นว่าตีแล้ว ลูกจะวิ่งไปทางไหน ผลก็คือ ลูกเฉือน หรือ ลูกสไลด์ (Slice) บางทีก็ ฮุก (Hook) เพราะ ศีรษะของเรา ไม่นิ่ง ไม่เป็น จุดหมุนที่คงที่นั่นเอง
สาเหตุ ที่ทำให้เราเป็นเช่นนั้น เพราะ เราโลภ เราหลงความคิด จิตเกิดอาการนั่นเอง



ด่านห้า คนมีพลังจิตดี จะตีลงน้ำ โดนต้นไม้
เรื่องที่สงสัยกันมาก คือ เหตุใด ทั้งสนาม มีต้นไม้ตนเดียว มีหนองน้ำหนองเดียว หลุมทรายหลุมเดียว ที่ขวางหน้าเรา แต่ ทำไม ตีลงน้ำ ลงหลุม โดนต้นไม้ประจำ ทั้งๆ ที่เล็งไปที่ ธงหรือกรีน
อำนาจจิต ของเรารุนแรงมาก จิตสุดท้าย ที่เรามองเห็น อุปสรรค เช่น น้ำ ทราย ต่างๆ ทำให้เราติดยึด จิตเกิดกังวล ผมคือ เป็นไปตามที่จิตเราสั่งนั่นเอง
ลองคิดดูว่า ในอดีตชาติ พระเทวทัต อาฆาตพระพุทธเจ้าไว้ แค่เรื่อง ถาดทองเหลืองเท่านั้น พระเทวทัต กำทรายหนึ่งกำ และ ตั้งจิตว่า ขอตามล้างแค้น พระพุทธเจ้า ทุกชาติ เท่าจำนวนเม็ดทรายที่กำ และ หลังจากนั้น พระเทวทัต ก็เวียนว่ายตายเกิด ตามสร้างบาป สร้างกรรมไว้
จิตสุดท้ายของเรา โดยเฉพาะก่อนตาย สำคัญมาก สามารถกำหนดชาติภพต่อไปได้ ว่า จะไปเกิดเป็นอะไร เช่น ก่อนตายคิดถึงเมีย ถึงบ้าน จิตออกจากร่างก็อาจจะ มีโอกาสวิ่งไปที่บ้าน ไม่ไปเกิด เป็นต้น ดังนั้น หากเราฝึกสติให้มากๆ ก่อนตาย ตั้งจิตให้ว่าง ให้สงบ ละบุญ ละบาป มุ่งเข้านิพพานไปเลยนะครับ
คนที่ตีลงน้ำ โดนต้นไม้ บ่อยๆ แสดงได้อย่างหนึ่งว่า มีพลังจิต พลังสมาธิ ที่ดี มีแววที่จะฝึกธรรมะได้ดีมาก น่าจะเอาพลังเรานั้น มาสร้างสติ ข่มจิต ข่มใจ ไม่ให้ ขึ้นมาทำงานร่วมกับ สมอง กับความคิดดีกว่า

ด่านหก แต้มไม่ดี
การเล่นกอล์ฟ คล้ายๆกับการฝึกธรรมะ คือ แข่งกับตนเอง
ใครจะเล่นดี ใครจะเล่นไม่ดี เราก็ โอปนยิโก ( แปลว่า น้อมดูจิตตน) หรือ “ซุงในตาตนเองมองไม่เห็น แต่ดันเห็นขี้ฝุ่นในตาคนอื่น” บางคน ก็มักจะบ่นแบบ “รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง” หรือ บางคนเป็นแบบที่ฝรั่งเรียกว่า Party blooper (คนทำลายบรรยากาศของงาน) คือ ไปไหนวงแตก เพราะ พอเล่นไม่ดี ก็บ่นๆๆ ด่าๆๆ พูดจาให้คนอื่นๆ เขาท้อแท้ หรือ ชวนเลิกเล่นไปเลย
แต้มไม่ดี เราก็สงบปาก สงบคำ สงบจิต สงบใจ จะพูดอะไร ก็ให้ใช้ ปิยวาจา อย่าไปทำ ให้คนที่เขาเล่นด้วย แม้นแต่คู่แข่งของเราจิตตก เพราะ ชนะในเกมส์ด้วยการพูดจาแกล้งเขา แต่จะแพ้นอกเกมส์ คือ จิตเป็นอกุศล มันไม่คุ้มครับ ชนะใจคนเล่น ดีกว่าชนะการแข่งขันครับ กีฬามีข้อดี คือ ชนะใจ ตนเอง และ ชนะคนอื่น สร้างมิตรภาพดีกว่า
เมื่อแต้มเสีย ขอให้คิดว่า หลุมต่อไป คือ หลุมแรก อย่าไปจำว่า หลุมที่ผ่านๆมา พลาดอย่างไร ให้ จำว่า Forget the past , start the new. What to do next. เอาไว้ ( ลืมเรื่องเก่า เริ่มกันใหม่ ทำอะไรต่อดี)
ให้คิดว่า คนที่ทำแต้มเสียในหลุมก่อนๆ ตายไปแล้ว เราเป็นคนใหม่ เรา Reloaded แล้ว ( จุติใหม่แล้ว) กำจัดขยะในจิต ออกไปให้ได้
เวลาทะเลาะกับเมีย กับผัว กับใครๆ ก็ ถือซะว่า คนที่ด่าเรา เมื่อ เสี้ยววินาที ที่แล้ว ตายไปแล้ว คนที่ยืนตรงหน้าเราเป็นคนใหม่ ตัวเราก็เช่นกัน เป็นคนใหม่ เพราะ กายของเรา เป็นสมมติ เกิดและดับ แบบ On-Off หรือ แบบ ศูนย์หนึ่ง ( Binary) เป็นล้านๆครั้ง ในเสี้ยวหนึ่งวินาที แต่ที่เรามองเห็นตลอดเวลา ก็เพราะ ตาของเรา เห็นภาพที่เกิดดับ หนึ่งส่วนสิบหก วินาที เท่านั้น
นี่แหละครับ ที่เขาเรียกกันว่า อยู่กับปัจจุบัน
ด่านเจ็ด
</> ลูกหาย
พอตีลูกหายเข้ามา ดูจิตทันไหม
จิตเป็นนามธรรม จิตเป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น ถ้าอยากจะรู้ว่าจิตเกิดอาการ ต้อง พิจารณาทางอ้อม คือ ดูอาการของกาย เช่น วูบวาบที่หน้าอก ( ตอนตกใจ ใจหาย แค้น ) หน้าแดง หูชา คับอกคับใจ ฯลฯ เราจะสังเกตว่า สุนัขนั้น จิตเกิดง่ายมาก คือ มันจะกระดิกหาง หรือ หุบหาง นั่นแหละ จิตของสุนัขเกิดอาการแล้ว ดีใจ ก็กระดิกหาง กลัวก็หุบหาง ฯลฯ แต่ เราเป็นคน เราไม่มีหาง ดังนั้น ถ้าจะดูจิตของเรา ก็ลองดู อาการของกาย ดังที่อธิบายมาแล้ว



ด่านแปด เดินอย่างมีสติ ในสนาม
ไหนๆ เราก็ไม่มีเวลา ที่จะไปวัด เราเอาเวลามาพักผ่อน ลูกเมียอนุญาตมาแล้ว เราไม่มีโอกาสไปเดินเดินจงกรมที่วัดไหน เราก็เดินที่ในสนามเสียเลย วัดอกวัดใจกันในสนาม นั่นคือ ในแต่ละก้าวที่เดิน ให้ทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้สงบ หากจิตเกิดอาการ ก็ ตบให้สงบ เช่น อาจจะใช้วิธี การกำหนด รู้ตลอดเวลา ว่า แต่ละก้าว ที่ก้าวไป เท้ากระทบพื้นก็ให้รู้ว่า เท้ากระทบพื้น ยิ่งตอนโกรธ ตอนหงุดหงิด ให้หายใจลึกๆ รู้ตัวว่า โกรธหนอ จิตเกิดแล้วหนอ ให้เราใช้ปัญญา ดับจิตให้สงบให้ได้ จะดับด้วยวิธีการใด เราต้องศึกษา วิจัยค้นคว้าเอาเอง แล้วจะพบเอง ทางใครทางมัน แต่ละคน แต่ละเหตุการณ์อาจจะใช้เทคนิค อุบาย วิธีการปลงให้จิตสงบต่างกัน
ขอให้ทำจิตให้ว่างๆ เอาสติมาทำงานแทนสมอง
เล่นกอล์ฟ แบบ ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่หลงความคิดตนเอง ไม่หลงการพนัน ไม่โลภแต้ม ไม่โลภคะแนน สลัดความคิดที่ทำให้ใจ ขุ่นมัวออกไป
วันนี้มาฝึกจิต มาสร้างสติควบคุมจิต ดุตนเอง บ้าง เช่น วันนี้มาฝึกสติ ไม่ได้มาโกรธใคร วันนี้มาพักผ่อน ไม่ได้มาแค้นใคร วันนี้มาสร้างสติ ไม่ใช่ มาฟิวส์ขาด สติขาด อาละวาดใครๆในสนาม
อย่าเกร็ง ทำตัวสบาย ถ้า จิตเกิดอาการ ก็ดูลมหายใจ กำหนดพุทโธ หรือ กำหนดสติที่เท้า ที่แตะพื้น ขณะเดิน ดีดความคิดฟุ้งซ่านออกไป
ยกวัดมาไว้ที่สนาม วัดอกวัดใจ ด้วยการมีสติ ดับโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่ วัดใจว่าใครกล้าบ้าบิ่นกว่ากัน นั่นเป็นกิเลส เป็นอัตตา
ชนะใจ ได้ผลประโยชน์มากกว่า ชนะคู่แข่งครับ เป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงที่สุด (High return on investment) เพราะ การฝึกจิต สร้างสติ เป็นการภาวนาที่ดี
การสร้างสติ ถือว่า เป็นการสะสมอริยทรัพย์ ใช้ข้ามภพข้ามชาติ เข้าสู่นิพพาน เป็นทรัพย์ที่ไม่มีใครมาปล้น ไม่มีใครมาขโมย ไม่มีวันสูญหายไป ตามติดเราไปแน่นอน ส่งผลแน่นอน



ด่านเก้า</> มารในสนาม
ในสนามมีมารผจญมากมาย เช่น คนที่คอยพูดจาให้เราหมดกำลังใจ คนที่คอยสอนๆๆ จนเรารำคาญ คนที่โกง เช่น เอาลูกมาวางให้เด่นๆ แกล้งนับผิด ตีเป็นสิบแต่บอกว่าพาร์ ก๊วนตามหลังที่ลูกมาตกใกล้ๆ ก๊วนก่อนหน้าที่ ตีช้าเหลือเกิน เสียงโทรศัพท์ดัง คุยกันหลุมละ 40 ครั้ง จะมาเล่น หรือ มาคุยโทรศัพท์กันแน่ บางคนเล็งแล้ว เล็งอีก ไม่พัทสักที เล็งจน ท่าทางจะปล่อยให้หญ้าท่วมตัวก็คงไม่พัท ฯลฯ
ขอให้เอามารเหล่านี้ มาพิจารณาว่า จิตเราเกิดอาการตอนไหน มีการปรุงแต่ง (สังขาร) อย่างไร เช่น ความคิดอกุศลต่างๆ ที่ผุดขึ้นมา เราตามดูความคิดเหล่านี้ทันไหม ถ้าไม่ทัน ก็เอาใหม่ฝึกดูขันธ์ห้า ให้ทัน
เมื่อจิตเกิด เราก็ตบจิตลง
ให้ สติ ไปควบคุมกาย วาจา ใจ ของตนเอง อย่าไปสร้างบาป สร้างกรรม ทะเลาะกับใคร หรือ จิตตก จนแต้มเสีย ตีผิด ตีพลาด
เมื่อเราได้ยินเสียง คนแซวเรา เรารู้ว่าแซวเพราะ สัญญา (Memory) มันบอก จากนั้น เราก็ปรุงแต่ง (สังขาร) อย่างรวดเร็ว เช่น มันด่าเรา เราเสียฟอร์ม ฯลฯ ตอนนี้แหละ เวทนาเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์เกิดขึ้นแล้ว จิตอกุศลเกิดขึ้นแล้ว กายน้อย ( กล้ามเนื้อบางกล้ามเนื้อ) เกิดอาการตึง เกร็ง ใจหวิวๆ ใจสั่นๆ มือไม้สั่น ทั้งแค้น ทั้งอาฆาต ฯลฯ เราดูทันไหม
เพื่อรู้ว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้ว การระลึกรู้ หรือ นึกขึ้นได้ว่า จิตเกิดอาการนี่เอง เรียกว่า มี”สติ”
เมื่อรู้แล้ว เราก็ตามดูขันธ์ห้า ว่าเขาทำงานอย่างไร จิต ( หรือ วิญญาณ) เกิดอาการได้อย่างไร พอตามดูเก่งแล้ว ก็”ตบ” ตั้งแต่ จิตมันก่อหวอดขึ้นมานิดเดียวก็ตบแล้ว อย่าไปรอให้ก่อตัวสูงขึ้น กิเลสมันจะได้ใจ กิเลสมันจะเคยตัว ดังนั้น รู้ว่าจิตเกิด ก็ตบเปรี้ยงเลย จิตสงบนิ่งแล้ว จะทำอะไร ก็ทำไป กายวาจาใจ ในช่วงที่จิตที่สงบแล้ว นี่แหละ เป็นสิ่งที่เรียกว่า อยู่กับสมมติแต่มีวิมุติ
ภายในวิมุติ ( จิตว่าง จิตสงบ) แต่ ยังอยู่ในโลก ยังทำงาน ยังเล่นกีฬา ฯลฯ ที่เป็นสมมติ ( สมมติ หมายถึง เรื่องทางโลก) ได้นั่นเอง
นี่แหละ บวชอยู่กับงาน บวชอยู่กับบ้าน บวชที่ใจ บวชในสนามกอล์ฟ ครับ



ด่านสิบ กลับมาเจอ คู่ครองที่บ้าน
ถ้าคู่ครองของเรา เขาฝึกสติมาไม่มากพอ และ เขาเจอคนที่ อะไร อะไรก็เป็นกอล์ฟไปหมด บ้ากอล์ฟ จนเข้าขั้นหลง เราก็ต้องเอาใจเขา มาใส่ใจเราบ้าง เขาอยู่บ้านเลี้ยงลูก เลี้ยงพ่อแม่ ทำงานบ้าน วันธรรมดาก็ไม่ค่อยจะเจอกัน วันหยุดก็โดนสนามกอล์ฟแย่งไป เงินที่หามาก็หวดออกไปหมด หมดไปกับไม้ใหม่ๆ ค่าซ้อม ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าเหล้ายาปลาปิ้ง ฯลฯ คู่ครองเขาก็คงดูจิตไม่ทัน ตั้งสติ ควบคุมจิตไม่ได้ จิตของเขาเกิดอกุศล สัญญา สังขารต่างๆประดังเข้ามา ทุกขเวทนารุมเร้า จนสติขาด ด่า หรือ ทำร้ายท่าน งอนท่าน มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว การรังแกให้คนอื่นจิตตก โดยเฉพาะคู่ครองของเรา ครอบครัวของเรา ดูจะไม่เหมาะสมนัก
เมื่อหูของเรา ได้ยินเสียง ได้เห็นหน้าตาของคู่ครองที่โกรธ จิตของเราเป็นอย่างไร จงใช้สติ อย่าได้เอาอกุศลจิตของเรา ไปเจออกุศลจิตของเขา ให้เอาสติ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์
เล่นกีฬา ทำอะไร ก็ต้องมีสติ มีมัชฌิมาบ้าง ทางสายกลางบ้าง สงสารคนอื่นบ้าง ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เลี้ยงดูครอบครัว เอาเวลาให้ครอบครัวบ้าง

...................................................
ถ้าแฟนไปวัดทำบุญนี่งสมาธิ ผมก็ฝากปัจจัยไปทำบุญ เธอไปนั่งสมาธิปฎิบัติธรรม
ส่วนผมก็ได้ฝากปัจจัยเธอไปทำ และผมก็ไปปฎิบัติธรรม ตามแนวทางข้างบน
อย่างนี้ผมจะได้บุญเท่ากับเธอ ไม๊ ครับ



ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#2 รัก แล้ว ทุกข์

รัก แล้ว ทุกข์
  • Members
  • 270 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 April 2007 - 12:44 PM

เล่นกอล์ฟมีการเล่นพนันไหม
ถ้ามีพนันก็ไม่ดี
เป็นอบายมุขนะครับ


#3 Smiling Girl

Smiling Girl
  • Members
  • 550 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 April 2007 - 02:15 PM

ขออนุญาตนำบทความไปเผยแพร่ให้นักเล่นกอล์ฟทั้งหลายได้อ่านเตือนสตินะคะ อนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ

เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)


#4 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 06 April 2007 - 04:21 PM

ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะเป็นถาดทองคำนะครับ ในด่านห้า
กระทู้ของคุณอาเถลิงเกียรติ อัดแน่นไปด้วยเนื้อหา รู้เท่าทันจิตใจ แต่จะปฏิบัติอย่างไรอีกเรื่องนึงนะครับ 555 น่าติดตาม อ่านแล้วขำ ๆ อย่างเรื่องกอล์ฟ ผมเองก็มีความคิด จะเริ่มเล่นเหมือนกัน คงถึงเวลาจะได้เข้าสังคม ฉีกไปอีกแบบหนึ่ง เรื่องครอบครัวเท่าที่คุณอาถ่ายทอดมา ก็น่าปวดเศียรเวียนเกล้า พอสมควร เป็นโสดมีอิสระมากกว่า มันก็จริง แต่ตอนนี้มันหวั่นใจยังไง ชอบกล อยากหาภาระ 555 biggrin.gif น่าตีไหมครับ รู้หมด แต่อดไม่ได้เนี่ย laugh.gif ขอกราบอนุโมทนาบุญกับคุณอาเถลิงเกียรติด้วยครับ สาธุ


#5 VRJD

VRJD
  • Members
  • 19 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 April 2007 - 09:48 PM


I am sure you knew these words below.

I always remind myself when I am in carelessness.
Skill from golf is useless in the dusit.
Skill from 072 is useful in the dusit.
Happy time in the world is short.
Happy time in the dusit is long.
The body in the world can make the more powerful merit than the body in the dusit.
We need more and more merit for the long long time in the dusit.
Less merit can cause us falling down from the dusit during the time, that is the most dangerous.

I knew you from here and feel good in your opinion.
You are so clever and confident.
Golf can not stop you, friend.
Just always thinking of THE DUSIT.
CHEER !

#6 ฉันจะติดตามเธอ

ฉันจะติดตามเธอ
  • Members
  • 135 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:วัดครับ
  • Interests:การฝึกตัวครับผม เรื่องน่ารู้ก็น่าสนใจนะ

โพสต์เมื่อ 07 April 2007 - 05:25 PM

อ่านแล้วตลกดีครับ แต่หัวผมไปไม่ทันไม่เข้าใจซักเท่าไหร่น่ะครับ แหะๆๆ พี่เถลิงเกียรติอย่าว่าผมนะ
เราก็เหมือนเด็กคนหนึ่ง ที่เพิ่งคลาน

#7 tor

tor
  • Members
  • 356 โพสต์
  • Location:BKK
  • Interests:meditation

โพสต์เมื่อ 08 April 2007 - 11:06 PM

ว้าว...คมมาก ผมกำลังหัด พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่ามันยากเย็นซะเหลือเกิน ขออนุญาตเอาไปแพร่เผยในกลุ่มเพื่อนโรงเรียนนะครับ สาธุ
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ = กายเป็นที่พึ่งแห่งกาย

#8 ลูกพระธัมฯ Merry Ma

ลูกพระธัมฯ Merry Ma

    The STRONGEST is the GENTLEST!!!

  • Members
  • 891 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Bangkok, Thailand

โพสต์เมื่อ 08 April 2007 - 11:58 PM

พี่เถลิงเกรียติ์คะ ถึงแมรี่ไม่ถนัดเรื่องกอล์ฟ

แต่เมื่ออ่านแล้วรู้ว่า พี่เถลิงเกียรต์กำลังคลั่งไคล้ หลงไหลมนต์เสน่ห์ของการเล่นกอล์ฟอยู่ค่ะ
ทำให้นึกอะไรก็สามารถจับมาร่วมความเกี่ยวข้องกันได้ ระหว่างการฝึกจิตกับการเล่นกอล์ฟ+ปัญหาคุ่ครอง

แสดงทั้ง 3 อย่างนี้ กำลังเป็นเรื่องที่มีอิทธิพลทางใจกับพี่เถลิงเกียรติ์อย่างมากเลยค่ะ

ปัญหามันไม่ใช่เรื่องที่เราเอามารวมกัน มาผสมกัน แล้วปั้นเป็นรูปร่างเรื่องราวอะไรตามที่พี่เถลิงเกียรติ์คิดเลยค่ะ
ปัญหาที่พี่คิดทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นปลายเหตุทั้งนั้น ที่นำมาผสมกันเอง เพราะว่ากำลังแก้ไม่ตกสักเรื่องเดียว

ปัญหาจริงๆอยู่ที่ตรงไหนเอ่ย.....
1. เป้าหมายทางจิตวิญญาณ การพัฒนาจิต เป็นสิ่งที่พี่อยากจะไปให้ถึง แล้วรู้สึกว่าตนก็มีพื้นฐานที่ดีมาก่อน
ในสถานะของผู้ที่มีความรู้และปัญญามามากในเรื่องนี้ ทำให้ยังคงถือว่าจะต้องรักษาระดับความสูงส่งเอาไว้
และควรจะไปให้ไกลขึ้นกว่าเดิมเพื่อเข้าขั้นบรรลุธรรม

2. คู่ครองเป็นสิ่งที่พี่ยังคงต้องการ ยังตัดใจไม่ได้ มีทั้งสุกๆ ดิบๆ / สุขๆ ทุกข์ๆ ในบางครั้ง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะบอกว่าทุกข์ให้ทิ้งไป ก็ทำไม่ได้มีเหตุผลมากมายที่สับสน เพราะว่ายังรู้สึกสุขอยู่บ้างในบางเวลา (ใช้ไหมหละคะ) และเรื่องคู่ครองนี้ก็ยังขัดแย้งกับทั้งเรื่องการบรรลุธรรมหรือเรื่องของจิตที่พี่อยากจะให้ตนเองพัฒนาต่อไป และก็แถมขัดกันกับเรื่องกอล์ฟด้วย

3. กอล์ฟ กำลังเป็นสิ่งที่ให้ความสุขแบบเพลินๆได้ เพราะว่าทั้งสองอย่างข้างบนไม่ได้อยู่ในจุดที่น่าพอใจในขณะนี้
กอล์ฟจึงกลายเป็นสิ่งใหม่ที่กำลังสนุกเรืยนรู้ ทำให้พี่ลืมความสับสนกับเรื่องคู่ครอง และความรุ้สึกเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ เหมือนว่าเราก็รู้เยอะแล้วและเหมือนขาดพร่องอยู่ ไม่ทะลุซะที

พี่พยายามเอาสิ่งนึ่งมาใช้หนุนสิ่งหนึ่ง กดอีกสิ่งหนึ่ง โดยเอาเรื่องกอล์ฟมาเป็นเรื่องการพัฒนาจิตเพื่อสนับสนุนความมั่นใจในตนเอง แล้วก็นำมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพื่อแบ่งตนเองแยกออกจากความสับสนในชีวิตคู่ ซึ่งก็ส่งผลให้ชีวิตคู่มีความขัดแย้งกันมากขึ้นด้วย

ดังนั้นปัญหาจริงๆอยู่ที่ตรงไหน..... อยู่ที่ใจพี่เถลิงเกียรติ์ ตอนนี้ไม่นิ่งแน่นอยู่กับตนเอง

แล้วอะไรที่ทำให้ชีวิตสงบนิ่ง สบายโปร่งเบา พร้อมทั้งได้คุณต่างๆมากขึ้นไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป ได้แก่
คุณวุฒิ คุณธรรม คุณวิเศษ คุณประโยชน์ คุณค่าของเวลา คุณงามความดีต่อผู้อื่น
คุณเครื่องของความสำเร็จในอนาคต ฯลฯ

ช่วงนี้เป็นข้อต่อของชีวิตพี่เถลิงเกียรติ์แล้วค่ะ ถ้าเลือกเดินถูกทาง ปัญหาก็จะน้อยลง จนวันนึงก็ข้ามผ่านไปได้
ถ้าเลือกผิดทาง ปัญหาก็จะมากขึ้น ทำให้เกิดความเสียหาย ผิดหวังได้ในรูปแบบต่างๆ ก็จะตามมา

น้องแมรี่ไม่ขอบังอาจชี้แนะพี่ในเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยนะคะ แต่ว่าให้แค่คำแนะนำเล็กน้อยว่า...
พี่เถลิงเกียรติ์ลองปลดความสับสนออกให้หมด เช่น ตนเองจะต้องมีเวลานั่งสมาธิ ลดค่าใช้จ่ายเพื่อมาทำบุญเยอะๆ
ต้องมีเวลาให้กับคู่ครอง ต้องเลิกกอล์ฟ เราต้องเล่นกอล์ฟเพราะว่ามันพัฒนาจิตและข้าสังคม
เพราะว่ามันไม่ใช่ตัวจริงของพี่เถลิงเกียรติ์เลยสักนิด มันเป็นอุปทานที่เราตั้งขึ้นโดยเอาสิ่งนอกตัวเป็นเกณฑ์
ทำให้สับสนไปหมด.... วิธีแก้ไขนะคะ...

1. พี่ต้องหยุดนิ่งถามตนเองว่าตัวพี่เองหนะจริงๆแล้ว กำลังเป็นอะไรอยู่ ทุกข์ใช่ไหม จากอะไรบ้าง
อย่าเอามามาปนกัน มันคือปัญหาในชีวิตที่เราตั้งขึ้นเองทั้งหมดเลยแหละ มันคือเรื่องนอกตัว
ตราบเท่าที่ยังคิดว่ายังไม่ทุกข์เท่าไหร่ ยังมีสุขอยู่บ้าง พี่ก็จะเอาทุกข์มาใส่ตัวอยู่ตลอดแหละค่ะ

2. แล้วจริงๆแล้วอะไรคือ สิ่งที่เราต้องการกันแน่ แล้วถามว่าจริงหรือว่าถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะมีความสุขได้จริง
ถ้าไม่ใช่ก็ถามว่าแล้วอะไร จนพบสิ่งที่เป็นนิโรธที่แท้จริงของพี่ ที่เป็น Self-Actualization จริงๆ ขอเน้นว่า
ไม่ใช่เกิดจาก Esteem Need หรือความต้องการที่จะได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่น เพราะว่ามันไม่เที่ยงค่ะ
เพราะ Self-Actualization Need เป็นความปรารถนาที่เป็นตัวเราจริงๆ พี่ต้องรู้จักตัวเองให้ชัดๆ
ถึงรู้ว่าพี่ต้องการอะไรกันแน่ในชีวิตอย่างไม่สับสน ตราบเท่าที่สิ่งที่อยากจะเป็นยังเป็นเพราะผู้อื่นนั้นไม่ใช่ของจริง
แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราพัฒนาตนเองเพื่อที่จะไปเป็นเช่นนั้นแล้ว นั้นคือความพึ่งพอใจในคุณสมบัติของตนเอง
นี่เป็นถึงจะเป็น Self-Actualization / Self-Development ที่เป็นสภาวะแห่งนิโรธจริงๆ
(ได้แก่ ปรารถนาจะได้กายมหาบุรุษ นี่คือ Self-Actualization ของแมรี่)

3. ถ้าหาเจอจุดที่เป็นนิโรธของพี่ได้จริงๆแล้วหละก็ พี่ก็หาว่าทำยังไงที่ทำให้พี่เป็นเช่นนั้น
หาให้เจอก่อนว่าทำยังไง นี่ก็คือมรรคนี่เอง ได้แก่ การปฏิบัติตาม มรรค 8, อิทธิบาท 4 , สัคหวัตถุ 4,
ไตรสิกขา, ฆราวาสธรรม, พละ 5, มงคลชีวิต ฯลฯ

4. ที่นี่พี่ก็จะเห็นสมุทัยได้ชัดเลยว่า อะไรหนอที่ทำให้ทุกข์ จริงๆแล้วพี่ควรจะเห็นตั้งแต่ต้นแล้ว
แต่มันมักลวงให้เราสับสน คิดว่าไม่ใช่มัน มันยังแกล้งเอาสุขแบบกระจอกมาประโลมเร้าเราให้หลงติด
ทำให้เราคิดว่าเราก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่ แล้วก็ไม่เบื่อมันเสียที ก็เลยมองไม่เห็นเหตุของทุกข์ที่พึงละทิ้ง

จริงๆแล้ว ทั้งหมดนี้ก็คือ เห็นอริยสัจจ์นั้นเองค่ะ แล้วก็ทำตามอริยสัจจ์เพื่อให้พ้นทุกข์ไปสู่สุขแท้จริง

มีมนุษย์/สรรพสัตว์ อยู่เยอะมากในโลก/ภพที่มองไม่เห็นสมุทัย แล้วก็ขลุกอยู่กับทุกข์ต่อไป
โดยตั้งเหตุผลต่างๆนานามาลบล้างเหตุแห่งทุกข์ เพราะถูกมันหลอกเจือสุขลวงให้คิดไปว่าตนไม่ทุกข์
แล้วมันก็ใส่ความคิดให้สร้างกฏเกณฑ์ สร้างระบบ สร้างรูปแบบมากมาย เพื่อขังตัวเองเอาไว้ในนั้น

ภพภูมิเกิดขึ้นก็เพราะด้วยความสับสนในลักษณะแบบนี้แหละค่ะ
เมื่อไม่เข้าใจตนเองก็ยิ่งเอาเรื่องราวมาพันกัน เป็นเกรียวเชือก ทอเป็นตาข่ายดักกันเองไว้แบบนี้
The Strongest is The Gentlest!

ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด

#9 somchet

somchet
  • Members
  • 900 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 April 2007 - 01:41 PM

เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา อุปกรณ์ก็แพง เพียงแค่ตีลูกกลมๆ ให้ลงหลุม

สู้เอาเวลา ไปทำภาวนา ทำใจให้หยุดนิ่ง ไมได้ครับ ท้าทายกว่าเยอะ ไม่เสียเงินด้วยครับ

#10 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 14 April 2007 - 03:41 PM

ขอบคุณครับ สำหรับคำแนะนำที่ดีของ คุณ.ลูกพระธัมฯ Merry Ma smile.gif

เป็นคำแนะนำที่ดีมาก ครับ ขอน้อมรับ และ อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

[๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันสตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ๕ ประการเป็นไฉน คือ สตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น
ความแก่ไปได้ ๑ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๑
เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ๑ เราจะต้องพลัดพรากจาก
ของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑ เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรม
เป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่ว
ก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑ ฯ

http://84000.org/tip...t...B=22&A=1649



ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  96_1920.jpg   45.12K   54 ดาวน์โหลด


ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม